ธรรมะคือธรรมชาติของจิต ที่มีความเป็นเองตามธรรมดาของเหตุปัจจัย
ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ ล้วนมีความเป็นเองตามธรรมดาของเหตุปัจจัย หรือเรียกว่าสภาวธรรม
เช่นความดี หรือความชั่ว ย่อมมีเหตุมีผลส่งต่อกันให้เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ความดี
ย่อมเกิดจากกุศลธรรม ส่วนความชั่ว ก็ย่อมเกิดจากอกุศลธรรม อกุศลธรรมเป็นรากเหง้าของ
โลภะ โทสะ โมหะ ที่ทำให้คนประพฤติผิดไปในทางชั่ว เป็นไปในทุจริตธรรม ๓ คือ...
ทางกายทุจริต
ทางวาจาทุจริต
และทางใจทุจริต
ทุจริตทั้ง ๓ อย่างไม่ควรประพฤติเพราะจะทำให้สังคมเดือดร้อน
อกุศลเกิดได้อย่างไร ???
ก็เกิดจากความไม่มีการสังวรอินทรีย์
ปล่อยให้เกิดความรู้สึกยินดียินร้ายบ้าง
ความรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจบ้าง
ความรู้สึกชอบใจหรือไม่ชอบใจบ้าง
ความรู้สึกเหล่านี้เกิดจากการได้เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสทางกายมีเย็นหรือร้อนอ่อนหรือแข็ง
นี่แหละคือเหตุปัจจัยให้เป็นไปในอกุศล อกุศลธรรม เป็นเหตุให้คนเรามี อัตตาและอคติมองคนในแง่ร้าย ติเตียนว่าร้ายใครๆในใจอยู่เสมอๆแม้พ่อแม่ก็ไม่เว้น และคิดพยาบาทอาฆาต คิดร้ายใครๆในใจอยู่เสมอๆ จึงเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ตามมาให้ผล มีทุกข์ในชาตินี้ และทุกข์ในชาติหน้าด้วย
แต่เมื่อเราได้มาฝึกจิตให้มีสติ ด้วยการเจริญภาวนาในธัมมะภาวนาอยู่เสมอๆ เพื่อให้ธรรมะเป็นเครื่องรู้ของจิตจนจิตมีความรู้ตัว ก็จะเป็นเหตุให้จิตของเรามีสติพลิกกับมาเป็นฝ่ายกุศลได้ จึงไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ครอบงำจิต เพราะการมีสติ ก็จะทำให้เรามีความประพฤติถูกในทางความดี เป็นไปในทางสุจริตธรรม ๓ คือทางกายสุจริต ทางวาจาสุจริต และทางใจสุจริต ผู้ประพฤติสุจริตธรรมย่อมมีแต่ความเป็นสุข เพราะไม่เป็นผู้ให้โทษกับใครๆ ฉะนั้นท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นผู้ประมาท ควรฝึกจิตของตนไว้อยู่เสมอๆให้มีสติ ด้วยการท่องธัมมะภาวนาไว้ในใจเป็นประจำในชีวิตประจำวันว่า
“อย่ายินดียินร้าย...อย่าว่าร้ายใคร...อย่าคิดร้ายใคร...”
จะทำให้ท่านมีสติรู้ปล่อยวางในบาปอกุศล จิตของท่านจะมีความสงบและนิ่งเป็นสุข
มีสุขชาตินี้ และสุขชาติหน้าด้วย เพราะบุญกุศล ดังนี้
หลวงพ่ออุดม มหาปุญโญ วัดป่าหนองเลง
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=45641 |