ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2529
ตอบกลับ: 3
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

เพราะถูกด่า...จึงได้เป็นอรหันต์ ?

[คัดลอกลิงก์]
ข้อนี้มาในเรื่องกุมารกัสสปะ...ผู้ได้รับเอตทัคคะทางด้านแสดงธรรมอันวิจิตร
         ทุกวันนี้ อ่านข่าวเรื่องราวที่ไหน ๆ ก็ไปเจอแต่คำด่า...ด่ากันไป ด่ากันมา..เลยหาดูว่า ผู้ที่ถูกด่าแล้วได้ดี มีบ้างไหมในสมัยครั้งพุทธกาล ก็มีเรื่องนี้แล..พอจะเป็นตัวอย่างการด่าได้ดี..

พระกุมารกัสสปะ เป็นบุตรของธิดาเศรษฐีในเมืองราชคฤห์ เดิมชื่อว่า “กัสสปะ” แต่ เพราะท่านได้รับการบำรุงเลี้ยงดูจากพระเจ้าเสนทิโกศล ดังนั้นประชาชน จึงเรียกท่านว่า “กุมารกัสสปะ” ประวัติชีวิตของท่าน มีดังต่อไปนี้:-

มารดาภิกษุณีตั้งท้อง
ขณะเมื่อมารดาของท่าน ยังเป็นสาวรุ่นอยู่นั้น มีศรัทธาปรารถนาจะบวชเป็นภิกษุณีใน พระพุทธศาสนา แต่บิดามารดาไม่อนุญาต อยู่ต่อมาจนกระทั่งนางได้แต่งงาน มีสามีอยู่ครองเรือน ระยะหนึ่ง นางได้ปฏิบัติต่อสามีเป็นอย่างดี จนสามารถเกิคความพอใจแล้วได้อ้อนวอนขออนุญาต บวช สามีก็ไม่ขัดใจ อนุญาตให้นางบวชตามความปรารถนา นางจึงไปขอบวชในสำนักของนาง ภิกษุณี ผู้เป็นศิษย์ของพระเทวทัต

ครั้นบวชแล้ว ได้ไม่นานปรากฏว่าครรภ์ของนางโตขึ้น จึงเป็นที่รังเกียจสงสัยของเพื่อน นางภิกษุณีทั้งหลาย และได้นำเรื่องนี้ไปแจ้งแก่พระเทวทัต เพื่อให้ตัดสินความ พระเทวทัตได้ตัด สินให้เธอสระสมณเพศ สึกออกไปเสียจากสำนัก

นางได้ฟังคำตัดสิน เกิดความเสียใจเป็นอย่างมาก ได้พูดอ้อนวอนขอร้องให้โปรดอย่า ลง โทษเธอถึงขนาดนั้นเลย เพราะนางมิได้ประพฤติชั่ว ทำผิดพระธรรมวินัยเลย เมื่อคำอ้อนวอนของ นางไม่เป็นผล นางจึงกล่าวว่า:-
“ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ดิฉันมิได้บวชอุทิศตนต่อพระเทวทัต แต่ดิฉันบวชอุทิศตนต่อ พระบรมศาสดา ดังนั้น ขอท่านทั้งหลายจงพาดิฉันไปสู่สำนักของพระบรมศาสดาด้วยเถิด”

พระอุบาลีตัดสินคดีภิกษุณีท้อง
นางภิกษุณีทั้งหลาย จึงพานางไปเข้าเฝ้า กราบทูลเนื้อความนั้นให้ทรงทราบโดยลำดับ ตั้ง แต่ต้น แม้พระผู้มีพระภาคจะทรงทราบอย่างแจ่มชัด ด้วยพระองค์เองแล้วว่า “นางตั้งครรภ์มา ตั้งแต่ก่อนบวช” แต่เพื่อให้เนื้อความนี้แจ่มชัด ขจัดความสงสัย ของชนทั้งหลายให้สิ้นไป จึงรับ สั่งให้พระอุบาลีเถระ ดำเนินการชำระอธิกรณ์เรื่องนี้ให้ชัดเจน

พระอุบาลีเถระ ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มาร่วมกันพิสูจน์ โดยมีพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นประธาน มีนางวิสาขามหาอุบาสิกา อนาถปิณฑิกะเศรษฐี และตระกูลอื่น เป็นต้น นาง วิสาขา ให้ขึงผ้าม่านโดยรอบแล้ว เรียกนางภิกษุณีเข้าไป แล้วตรวจดูมือ เท้า สะดือ และลักษณะ ของครรภ์ แล้วนับวัน นับเดือน สอบประวัติย้อนหลัง โดยละเอียดแล้ว ก็ทราบชัดเจนว่า “นางตั้ง ครรภ์มาตั้งแต่ก่อนบวช” พระอุบาลีเถระ จึงได้ประกาศตัดสินอธิกรณ์ ในท่ามกลางพุทธบริษัท ทั้ง ๔ ว่า นางภิกษุณีรูปนี้ยังมีศีลบริสุทธิ์อยู่ แล้วกราบทูลเนื้อความ ให้พระบรมศาสดาทรงทราบ พระพุทธองค์ได้ตรัสอนุโมทนาสาธุการ แก่พระเถระว่า ชำระความได้ถูกต้องยุติธรรม

พระเจ้าปเสนทิโกศลขอบุตรนางภิกษุณีไปเลี้ยง
ครั้นเวลาล่วงเลยไป ครรภ์ของนางได้โตขึ้นเป็นลำดับ จนครบกำหนดได้คลอดบุตรออก มา นางได้เลี้ยงดูอยู่ในสำนักของนางภิกษุณีนั้น วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จผ่านมาได้ สดับเสียงทารกร้องในห้องของนางภิกษุณี จึงตรัสถามได้ทราบความโดยตลอดแล้ว ทรงมีพระ เมตตา ขอรับทารกไปบำรุงเลี้ยง เป็นโอรสบุญธรรม นำไปชุบเลี้ยงในพระบรมมหาราชวัง ประทานนามว่า “กัสสปะ” แต่เพราะพระองค์ทรงชุบเลี้ยง ประดูจราชกุมาร จึงเรียกกันว่า “กุมารกัสสปะ

เมื่อกุมารกัสสปะ เจริญเติบโตขึ้น ได้วิ่งเล่นกับราชกุมารอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน เมื่อขัดใจ กันขึ้นกุมารกัสสปะ ก็มักจะใช้มือตีเพื่อน ๆ เหล่านั้น แล้วถูก เพื่อน ๆ ติเตียนว่า “พวกเราถูกเด็ก ไม่มีพ่อแม่ตี”

กุมารกัสสปะ เกิดความสงสัย จึงกราบทูลถามพระเจ้าปเสนทิโกศล ซึ่งพระองค์ก็ได้ พยายามบ่ายเบี่ยง ปกปิดมาโดยตลอด แต่เมื่อถูกอ้อนวอน รบเร้าหนักขึ้น ก็ไม่สามารถจะปกปิด ได้ จึงตรัสบอกความจริง

กุมารกัสสปะ ได้ทราบความจริงแล้ว รู้สึกสลดใจในชะตาชีวิตของตน จึงกราบทูลขอ อนุญาตบวชในพระพุทธศาสนา เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ได้ไปบวชเป็นสามเณรในสำนักพระบรม ศาสดา ศึกษาพระกรรมฐาน และพระธรรมวินัยจากพระบรมศาสดา และอาจารย์ทั้งหลาย จวบจน อายุครบ ๒๐ ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว กราบทูลลาพระผู้มีพระภาค เพื่อไปทำความ เพียร บำเพ็ญสมณธรรมในป่า ได้บรรลุคุณพิเศษเบื้องต้นแล้ว จึงกลับมาศึกษาพระกรรมฐานใน ระดับสูงยิ่ง ๆ ขึ้นแล้วเข้าไปสู่ป่าอันธวัน บำเพ็ญเพียรอย่างอุกฤษฎ์จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

พระกุมารกัสสปเถระต่อว่ามารดา
                      ฝ่ายนางภิกษุณี ผู้เป็นมารดาของพระกุมารกัสสปะ ตั้งแต่วันที่พระเจ้าปเสนทิโกศล รับ เอาบุตรของนางไปชุบเลี้ยง เป็นต้นมา น้ำตาของนางก็ได้ไหลหลั่ง เพราะความทุกข์เกิดจากการ พลัดพรากจากบุตร ผู้เป็นที่รัก เป็นเวลานานถึง ๑๒ ปี แม้ต่อมาจะทราบว่า บุตรชายของนางมา บวชแล้วก็ตาม แต่นางก็ยังมิได้เห็นหน้าพระลูกชายเลย จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง นางได้พบท่าน พระกุมารกัสสปะ กำลังออกเดินรับบิณฑบาตอยู่ ด้วยความดีใจสุดจะยับยั้ง นางได้ร้องเรียกขึ้น ว่า “ลูก ลูก” แล้ววิ่งเข้าไปหาเพื่อสวมกอดพระลูกชาย แต่เพราะว่านางรีบร้อนเกินไป จึงได้ สะดุดล้มลงเสียก่อน

                    พระกุมารกัสสปะคิดว่า “ถ้าหากว่าเราพูดกับมารดา ด้วยถ้อยคำอันไพเราะแล้ว นางก็ยิ่ง เกิดความสิเนหา รักใคร่ ในตัวเรามากยิ่งขึ้น และจะเป็นเหตุทำให้นาง เสื่อมเสียโอกาสบรรลุ อมตธรรมได้ ควรที่เราจะกล่าวคำพูด ที่ทำให้นางหมดอาลัยในตัวเราแล้ว นางก็จะได้บรรลุ อมตธรรม” ดังนี้แล้ว จึงกล่าวแก่นางว่า “ท่านมัวทำอะไรอยู่ จึงตัดไม่ได้แม้กระทั่งความรัก”

                     ถ้อยคำของพระกุมารกัสสปะ ทำให้นางรู้สึกน้อยใจ และเสียใจเป็นอย่างยิ่ง นางคิดว่า “เราร้องไห้เพราะคิดถึงลูกชาย นานถึง ๑๒ ปี เมื่อพบลูกชายแล้ว กลับถูกลูกชายพูดจาตัดเยื่อใย ให้ต้องช้ำใจอีก” ด้วยความน้อยใจเช่นนี้ นางจึงตัดรักตัดอาลัย หมดความสิเนหาในตัวลูกชาย อย่างสิ้นเชิง แล้วนางก็ได้ตั้งใจ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนได้บรรลุพระอรหัตผลในวันนั้นนั่น เอง

ได้รับยกย่องวาแสดงธรรมอย่างวิจิตร
พระกุมารกัสสปะนั้น ท่านได้เป็นกำลังช่วยเหลือกิจการพระศาสนาเต็มกำลังความ สามารถ ท่านมีความสามารถพิเศษ ในการแสดงธรรมได้อย่างวิจิตรพิสดาร ทั้งข้ออุปมาอุปไมย เปรียบเทียบ ให้ผู้ฟังรู้แจ้งเห็นจริง เข้าใจอย่างง่ายดาย

ครั้งหนึ่ง ท่านได้แสดงธรรม โปรดพระเจ้าปายาสิ ผู้ครองนครเสตัพยะ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิดว่า โลกหน้าไม่มี กรรมดีกรรมชั่ว ไม่มีผล นรกสวรรค์ก็ไม่มี เมื่อได้ฟังธรรมจาก พระเถระแล้ว กลับเป็นสัมมทิฏฐิ ประกาศตนเป็นอุบาสก นับถือพระรัตนตรัยตลอดพระชนม์ชีพ

ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดา จึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุ ทั้งหลายในทางผู้แสดงธรรมอันวิจิตร

ท่านดำรงอายุสังขารถึงอายุ ๑๒๐ ปีกาล ก็ดับขันธปรินิพพาน


             เพราะเหตุแห่งพระภิกษุณีผู้มารดา ถูกพระลูกชายด่า...จึงตัดอกตัดใจ ตัดความรักความห่วงหาอาลัย จึงได้บรรลุถึงพระอรหันต์
              ดังนั้นหากจะมีใครสักคนถูกด่า..แล้วพิจารณาคำด่า..หันมาพัฒนาตน อาศัยคำที่ด่าเป็นฐานแห่งการปฏิบัติธรรมได้ด้วยสติ อันมุ่งมั่น ไม่แน่นะ..คำด่าก็จะกลายเป็นคำที่พลิกด้าน จากร้ายกลายเป็นดีได้..เพราะฉะนั้นหากใครที่ถูกด่า..แล้วใช้โอกาสอย่างเช่นมารดาของพระกุมารกัสสปะนี้..มีสิทธิ์เข้าถึงความหลุดพ้นได้.. แต่คนที่ด่าคนอื่น ต้องมีเจตนาอันดี บริสุทธิ์ หวังความเจริญของผู้ที่จะด่า..มิฉะนั้นการด่า ก็จะสร้างเวรกรรมนำไปสู่ความทุกข์อื่น ๆ ที่จะตามมาเพราะอำนาจแห่งการด่าไม่รู้จบสิ้นเช่นกัน
                 ท่านคมสรณ์ - พระธรรมทูตอินเดีย
                 ๒๒ กันยายน ๒๕๕๕
ทำไมวาสนาเรามันน้อยจัง..

ด่าใคร(เชิงสอน) มีแต่น้อยใจ สบัดตูดหนี ทุกรายไป




}





ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้