|
กุมารทอง หลวงปู่ชื่น วัดตาอี (๒) โดย อ.เล็ก พลูโต
๓. กุมารเทพ กุมารชนิดนี้สามารถใช้วัสดุต่างๆ สร้างได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะปั้นด้วยดิน, แกะด้วยไม้, หล่อด้วยโลหะชนิดต่างๆ หรือกดพิมพ์ลอยองค์เป็นรูปกุมารด้วยผงพุทธคุณ ซึ่งพระเกจิอาจารย์ที่สร้างอาจผสมผงพรายกุมาร หรือบรรจุวัสดุอาถรรพณ์ลงในวัสดุที่สร้างด้วยก็ได้ หรือ ไม่บรรจุก็ได้ แต่องค์อาจารย์ผู้ปลุกเสก จะต้องเป็นผู้ที่ได้ญาณสมาบัติชั้นสูง ส่วนมากมักจะเป็นพระสุปฏิปันโน หรือพระฤาษีที่มีตบะเดชะแก่กล้า การปลุกเสกคล้ายๆ กับ กุมารพราย คือ อาจารย์ผู้เสกจะประจุอาคมพระเวทย์ จิต ตั้งธาตุ หนุนธาตุ เรียกอาการ ๓๒ เรียกนาม จนเกิดเป็นวิญญานเด็กอุบัติขึ้นมา
ซึ่งวิญญาณดังกล่าว ไม่ใช่วิญญาณธรรมดา แต่เป็นวิญญาณเทพ ชั้นจาตุมหาราชิกา ที่ต้องการสร้างบุญบารมี เพื่อที่จะได้บรรลุความเป็นเทพชั้นสูงขึ้นไป หรือเป็นวิญญาณเทพที่รอการจุติ แต่ยังไม่ทันปฏิสนธิวิญญาณในครรภ์มารดา ตัวอ่อนที่อยู่ในครรภ์ก็แท้งเสียก่อน เลยไม่ได้จุติตามกำหนด จึงถูกอัญเชิญให้มาจุติในหุ่นกุมารทองเพื่อสร้างบุญบารมีในโลกมนุษย์
กุมารเทพจะเป็นกุมารที่ให้คุณอย่างเดียว ไม่ให้โทษ ไม่โต และไม่สูญสลายไปตามกาลเวลา นอกเสียจากกุมารเทพองค์นั้น จะหมดอายุขัยในภพภูมิเทพชั้นจาตุมหาราชิกา (๙ ล้านปี มนุษย์) หรือบรรลุความเป็นเทพชั้นสูงขึ้นไปเท่านั้น
สำนักที่สร้างกุมารเทพ และมีชื่อเสียงโด่งดังมาแต่อดีต ได้แก่ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จ.นครปฐม ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อเต๋ ส่วนมากจะสร้างด้วยโลหะผสม เป็นรูปกุมารดูดรก มีพุทธคุณโดดเด่น ในเรื่องการดลบันดาลให้เกิดลาภผลแก่ผู้สักการะบูชา มีขนาดเล็กพกพาติดตัว กุมารดูดรกของหลวงพ่อแช่ม เป็นวิญญาณเทพ จึงไม่ต้องมีการเซ่นไหว้ใดๆ ทั้งสิ้น และไม่มีวันเสื่อม ไม่ให้โทษแก่ผู้สักการะบูชา แต่ไม่ค่อยเฮี้ยน หรือมาปรากฎตัวให้เห็น ผู้สักการะบูชาพกพา จะไม่มีความรู้สึกสัมผัสกับวิญญาณโดยตรง เว้นแต่บางครั้งจะมาเข้าฝันให้ลาภ หรือเตือนภัยเท่านั้น
ปัจจุบันการสร้างกุมารเทพ มีมากมายหลายสำนัก เช่น หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม, หลวงพ่อโป่ย วัดป่าดงศิลาราม จ.นครราชสีมา, หลวงปู่ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี เชียงใหม่ ฯลฯ และที่สร้างเป็นพระขุนแผน ด้านหลังกุมารทอง เช่น หลวงปู่ทิม วัดพระขาว อยุธยา กุมารทองหลังองค์พระ หรืออยู่ใต้องค์พระนี้ ถือว่าเป็น “กุมารเทพ” จึงอยู่กับพระได้อย่างสบาย
๔. กุมารเทพกึ่งพราย หรือพรายเทพกุมาร กุมารชนิดนี้สามารถสร้างด้วยวัสดุต่างๆ เหมือนกับกุมารเทพ แต่พระอาจารย์ผู้สร้างจะเชิญวิญญาณของเด็กที่เร่ร่อน (สัมภเวสี) ที่ตายก่อนกำหนด (ตายโดยไม่ทันโต หรือตายในขณะเป็นทารก) หรือ วิญญาณของเด็กที่เกิดจากการทำแท้งของพ่อแม่, วิญญาณเด็กที่ถูกพ่อแม่ฆ่า หรือนำไปทิ้ง ปล่อยให้ตาย ฯลฯ ซึ่งมีเป็นจำนวนมากในสังคมที่ฟอนเฟะในปัจจุบัน ให้มาสิงสถิตอยู่ในรูปกุมาร โดยไม่มีการบังคับ หรือสะกดวิญญาณ โดยมักจะมีวัสดุอาถรรพณ์ เช่น โลหะที่หลอมมาจากโกศใส่กระดูกเด็ก ดินเจ็ดป่าช้า หรือผงพรายกุมาร ผสม หรือบรรจุอยู่ในรูปกุมาร เพื่อเป็นสื่อสถิตวิญญาณ (จะไม่เชิญวิญญาณเทพ เหมือนประเภทที่ ๓)
จากนั้นก็ใช้พระเวทอาคมปลุกเสก หรือแผ่บุญบารมีให้แก่วิญญาณเด็กดังกล่าวจน วิญญาณธรรมดาที่บริสุทธิ์ของเด็ก (ยังไม่ได้เกิดมาก่อกรรมทำชั่วอะไรในภพภูมิมนุษย์ ก็ต้องมาตายเพราะกรรมเก่าก่อนเกิด หรือ เกิดได้ไม่นาน ไม่ทันเติบโต) ยกระดับฐานะเป็นวิญญาณเทพชั้นจาตุมหาชิกา ไม่โต และไม่สูญสลายไปตามกาลเวลา นอกจากหมดอายุขัยในภพภูมิเทพชั้นที่ ๑ หรือ บรรลุความเป็นเทพชั้นสูง จากนั้นให้รับศีลห้า และตั้งสัจจะว่าจะบำเพ็ญบุญบารมีร่วมกับผู้ที่นำไปสักการบูชา หรือพ่อแม่ที่จะนำไปเลี้ยง และจะไม่สร้างความเดือดร้อนใดๆ แก่ผู้เลี้ยงดูในทุกกรณี พระอาจารย์ที่จะสร้าง และปลุกเสกพรายเทพกุมารได้ มักจะเป็นพระอริยสงฆ์ทรงสมาบัติชั้นสูง มีบุญบารมีแก่กล้าเพียงพอ ที่จะแผ่กุศลผลบุญของตนให้วิญญาณเด็กที่บริสุทธิ์เหล่านั้น กลายเป็นวิญญาณเทพได้
กุมารทองของสำนักวัดสามง่าม อ.ดอนตูม จ.นครปฐม โดย หลวงพ่อเต๋ คงทอง และ หลวงพ่อแย้ม ผู้เป็นศิษย์สืบทอดตำราการสร้าง จัดอยู่ในกุมารเทพกึ่งพราย หรือ พรายเทพกุมาร มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “ตุ๊กตาทอง” โดยทางพระอาจารย์ผู้ปลุกเสก จะตั้งชื่อไว้ให้ (ยุคปัจจุบัน หลวงพ่อแย้มลูกศิษย์สร้างปลุกเสก กำหนดให้ตั้งชื่อเอง)
ปัจจุบันพระอาจารย์ที่สร้างพรายเทพกุมารที่มีชื่อเสียง และได้รับความนิยมอย่างสูง คือ พระอาจารย์ปุ้ม วัดศาลาแดง กรุงเทพฯ , หลวงปู่ชวน วัดเขาแก้ว จ.อ่างทอง (ลูกศิษย์อีกองค์หนึ่งของหลวงพ่อเต๋) , หลวงพ่อมัก วัดเขาเล็กรางสะเดา จ.กาญจนบุรี, หลวงพ่อกอย วัดเขาดินใต้ จ.บุรีรัมย์, หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ฯลฯ
|
|