ไอ้ความทุกข์มันเกิดมาภายหลังเราไม่เห็น นึกว่ามันจะไม่เป็นอย่างนี้ เมื่อมันมาถึงเข้าแล้ว จึงรู้ว่า โอ! มันเป็นทุกข์ ทุกข์อย่างนั้นจึงมองเห็นยาก ทุกข์ในตัวเรานะโยม พูดตามประสาบ้านนอกเรา เรื่องฟันของเรานะโยม ตอนไปเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย ขี้ถ่านไฟก็ยังเอามาถูฟัน ให้มันขาว ไปถึงบ้านก็ไปยิงฟันใส่กระจก นึกว่ามันขาว ถูฟันแล้วนี่ ไปชอบกระดูกของเจ้าของ ไม่รู้เรื่อง พออายุถึง ๕๐-๖๐ ปีฟันมันโยก เออ! เอาซิฟันโยก มันจะร้องไห้กินข้าว น้ำตามันก็ไหล เหมือนกับถูกศอก ถูกเข่าเขาอยู่ทุกเวลา ฟันมันเจ็บมันปวด มันทุกข์มันยาก มันลำบาก นี่อาตมาผ่านมาแล้ว เรื่องนี้ ถอนออกหมดเลย ในปากนี้ เป็นฟันปลอมทั้งนั้น มันโยกไม่สบายอยู่ ๑๖ ซี่ ถอนทีเดียวหมดเลย เจ็บใจมัน หมอไม่กล้าถอนแน่ะตั้ง ๑๖ ซี่ "หมอ! ถอนมันเถอะ เป็นตายอาตมาจะรับเอาหรอก" ถอนมันออกทีเดียวพร้อมกัน ๑๖ ซี่ ที่มันยังแน่นๆ ตั้งหลายซี่ ตั้ง ๕ ซี่ถอนออกเลย แต่ว่าเต็มทีนะ ถอนออกหมดแล้วไม่ได้ฉันข้าวอยู่ ๒-๓ วัน นี่เป็นเรื่องทุกข์ อาตมาคิดแต่ก่อนนะ ตอนไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย เอาถ่านไฟมาถูมันให้ขาว รักมันมาก เหลือเกิน นึกว่ามันเป็นของดี ผลที่สุดมันจะหนีจากเรา จึงเกือบตาย เจ็บฟันนี้มาตั้งหลายเดือน ตั้งหลายปี บางทีมันบวมทั้งข้างล่างข้างบน หมดท่าเลยโยม อันนี้คงจะเจอกันทุกคนหรอก พวกที่ฟันไม่โยก เอาแปรงไปแปรง ให้มันสะอาดสวยงาม อยู่นั้นแหละ ระวังนะ ระวัง มันจะเล่นงานเมื่อสุดท้าย ไอ้ซี่ยาว ซี่สั้น สับกันอยู่อย่างนี้ ทุกข์มากโยม อันนี้ทุกข์มากจริงๆ อันนี้บอกไว้หรอก บางทีจะไปเจอเอาทุกข์เพราะความทุกข์ในตัวของเรานี้ ทุกข์ในตัวเรา จะหาที่พึ่งอะไรมันไม่มีแต่มันค่อยยังชั่วเมื่อเรายังหนุ่ม มันแก่มาแล้วมันก็เริ่มฟัง มันช่วยกันฟัง สังขารมันเป็นไปตามเรื่องของมัน เราร้องไห้มันก็อยู่อย่างนี้ จะดีใจมันก็อยู่อย่างนี้ เราจะเป็นอะไร มันก็อยู่ของมันอย่างนี้ เราจะเจ็บจะปวด จะเป็นจะตาย มันก็อยู่อย่างนั้น เพราะมันเป็นอย่างนั้น นี่มันหมดความรู้หมดวิชา เอาหมอฟันมาดูฟัน ถึงแก้ไขแล้ว ยังไงก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น ต่อไป หมดฟันเอง ก็เป็นเหมือนเราอีก ไปไม่ไหวอีกแล้ว ทุกอย่างมันก็ฟังไปด้วยกันทั้งหมด นี้เป็นความจำเป็นที่เราจะต้องรีบพิจารณา เมื่อมีกำลังเรี่ยวแรงก็รีบทำ จะทำบุญสุนทาน จะทำอะไร ก็รีบจัดทำกัน แต่ว่าคนเรา ก็มักจะไปมอบให้แต่คนแก่ จะเข้าวัดศึกษาธรรมะ รอให้ แก่เสียก่อน โยมผู้หญิงก็เหมือนกัน โยมผู้ชายก็เหมือนกัน ให้แก่เสียก่อนเถอะ ไม่รู้ว่าอะไรกัน คนแก่นี่มันกำลังดีไหม ลองไปวิ่งแข่งขันกับคนหนุ่มดูซิ ทำไมจะต้องไปมอบให้คนแก่ เหมือนไม่รู้จักตาย พอแก่มาสัก ๕๐ปี ๖๐ปี จวนเข้าวัดอยู่แล้ว หูตึงเสียแล้ว ความจำก็ไม่ดี เสียแล้ว นั่งก็ไม่ทน "ยายไปวัดเถอะ" "โอย หูฉันไม่ดีแล้ว" นั่นเห็นไหม ตอนหูดีเอาไปฟังอะไรอยู่ จังว่า จังว่า มันคาแต่ลูกหว้าอยู่นั่นแหละ จนหูมันหนวกเสียแล้ว จึงไปวัด มันคาแต่ลูกหว้า อยู่นั่นแหละ จนหูมันหนวกเสียแล้วจึงไปวัด มันก็ไปไม่ได้ นั่งฟังท่านเทศน์ เทศน์อะไรไม่รู้เรื่อง มันหมดแล้วจึงมาทำกัน ดังนั้น วันนี้คงจะได้ประโยขน์กับบุคคลที่สนใจเป็นบางสิ่งบางอย่าง ที่ควรเก็บไว้ในใจเรา สิ่งทั้งหลายนี่เป็นมรดกขอบเราทั้งนั้นมันจะรวมมา รวมมาให้เราแบกทั้งนั้นแหละ ขานี่เป็นสิ่งที่วิ่งได้มาแต่ก่อน อย่างขาอาตมานี่จะเกินมันก็หนักสกล ร่างกายจะต้องแบกมันแต่ก่อนนั้นมันแบกเรา บัดนี้เราแบกมัน ลุกขึ้นก็ "โอ๊ย" สมัยเป็นคนเด็กเห็นคนแก่ลุกขึ้นก็ "โอ๊ย" ที่โอ๊ยๆ ยังไม่ยอมนะ ขนาดนี้นะ นั่งก็ "โอ๊ย" ลุกขึ้นก็ "โอ๊ย" "โอ๊ย" ทั้งนั้นแหละ ไม่รู้อะไรทำให้เราไม่รู้เรื่อง มีแต่ "โอ๊ยๆ " ทั้งนั้น มันทุกข์ถึงขนาดนั้น เรายังไม่เห็นโทษมัน เมื่อจะหนีจากมันเราไม่รู้จัก ที่ทำเจ็บปวดขึ้นมา นี่เรียกว่า สังขารมันเป็นไป ตามเรื่องของมัน ที่มันเป็นมันเป็นประดง ประดงไฟ ประดงข้อ ประดงงอ ประดงจิปาถะ หมด เอายามาใส่ก็ไม่ถูก ผลที่สุดก็ฟังไปทั้งหมออีก คือสังขารมันเสื่อม มันเป็นไป ตามสภาพของมัน มันจะเป็นของมันอยู่อย่างนั้น อันนี้เป็นธรรมชาติมัน ฉะนั้นให้ญาติพี่น้องให้พากันเห็น ถ้าเห็นแล้วก็ไม่เป็นอะไร อย่างงู อสรพิษตัวร้ายๆ มันเลื้อยมาเราเห็น เราเห็นมันก่อนก็หนี มันไม่ได้กัดเราหรอก เพราะเราได้ระวังมัน ถ้าเราไม่เห็นมัน เดินๆ ไปไม่เห็นก็ไปเหยียบมัน เดี๋ยวมันก็กัดเลย |