พระบ้านนอกรูปนี้มีอะไรดีหรือ อีกคราวหนึ่ง คุณอาคมเล่าว่า พ่อของเขาได้นำพระเครื่องของหลวงปู่สนธ์ไปให้หลวงปู่เฮี้ยง (เจ้าคุณวรพรตปัญญาจารย์ วัดป่าอรัญญิกาวาส ชลบุรี) ดู ปรากฏว่าท่านดูไม่ออก กว่าจะดูรู้เรื่องว่าหลวงปู่สนธ์ทำพระอย่างไร ปลุกเสกพระวิธีไหน ก็เสียเวลาหลายวัน ต้องกำหนดจิตเข้าในองค์พระอยู่เป็นนานจึงรู้เรื่อง พอรู้แล้วก็ออกปากยกย่องหลวงปู่สนธ์เป็นอย่างยิ่ง เสร็จแล้วก็ฝากพระของท่านเองไปให้หลวงปู่สนธ์ดูบ้าง เมื่อพระไปถึงหลวงปู่สนธ์ ท่านก็บอกทันทีเลยว่าพระองค์นี้ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ปลุกเสกด้วยวิธีนั้นวิธีนี้ คาถาบทนั้นบทนี้ หลวงปู่เฮี้ยงถึงกับร้องทำนองว่าเขารู้เราหมด แต่กว่าเราจะรู้เขาได้นั้นผิดกันเยอะ คุณอาคมได้เล่าเรื่องคุณปถม อาจสาคร ให้ฟังว่า ตอนนั้นราว ๆ ปี 2493 คุณปถมได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสหกรณ์อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม เพิ่งย้ายไปที่นั่นใหม่ ๆ ปกติแล้วคุณปถมเป็นผู้ใฝ่ใจทางนี้ ไปอยู่ไหนก็แสวงหาครูบาอาจารย์เก่ง ๆเสมอ เดิมก็เป็นศิษย์ของหลวงปู่เฮี้ยง ได้วิชาความรู้ทางสร้างพระจากหลวงปู่เฮี้ยงเยอะแยะ จึงเป็นนักสร้างพระที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง เมื่อมาอยู่ท่าอุเทน ก็ได้ยินข่าวหลวงปู่สนธ์แล้ว แต่ว่าคงยังไม่ทันกระตือรือร้นจะไปกราบเท่าใดนัก พอดีมีพลทหารคนหนึ่ง ทำงานช่วยคุณปถมที่สหกรณ์นั้นเกิดไปมีเรื่องทะเลาะกัน ถูกยิงกระเด็นตกน้ำ กระสุนที่รัวใส่ 3 ชุด ทำเอาจุกแทบตาย แต่ว่าไม่เข้าหนังเข้าเนื้อ ปรากฏเพียงรอยแดงเป็นจ้ำทั่วทั้งตัว เสื้อผ้าที่สวมก็ขาดกระจุน พลทหารนายนี้มีตะกรุดอยู่กับตัวเพียงดอกเดียวเท่านั้น ตะกรุดดอกเดียวที่ว่านี้คือตะกรุดเก้าแปเก้าหย้อ ทำด้วยตะกั่ว และเป็นตะกรุดของหลวงปู่สนธ์วัดท่าดอกแก้ว ก็นี่แหละที่ทำให้คุณปถมได้ไปกราบหลวงปู่สนธ์โดยไม่ต้องลังเลอีกแล้ว เมื่อได้พบหลวงปู่สนธ์ก็ปรากฏว่าถูกจริตนิสัยกันเป็นอย่างมาก และได้เห็นบาตรเก่าใบหนึ่งมีผ้ายันต์ปิดปากบาตรไว้จึงถามว่านั่นอะไร หลวงปู่สนธ์ตอบว่า ผงโสฬสมหาพรหมของหลวงปู่สีทัตต์ ท่านมอบไว้ให้และเก็บรักษามาอย่างนี้ตั้งนาน ไม่รู้จะทำอะไร ในที่สุดก็มอบให้คุณปถมเอาไปสร้างพระ ผงโสฬสมหาพรหมนี้หลวงปู่สีทัตต์ได้สร้างขึ้นสมัยอยู่ภูเขาควาย ประเทศลาว ใช้เวลาสร้างอยู่นานนับปี ท่านจะสร้างของท่านอย่างไรไม่ทราบ แต่ว่ามีตำราแสดงการสร้างผงโสฬสมหาพรหมไว้พอได้ศึกษาเป็นนัยแห่งความรู้ได้ดังนี้ ต้องลงด้วยอักขระธัม หรือตัวธรรม (คนละแบบกับตัวขอม ตัวธรรมเป็นอักขระที่ใช้จารคัมภีร์และคาถาของคณาจารย์แถบลุ่มน้ำโขง) ต้องผูกอักขรธรรมเป็นกลยันต์ 16 มุม แต่ละมุมแบ่งออกเป็น 16 ชั้น แต่ละชั้นลงอักขระ 16 ตัว ตัวละช่อง ลงครบแล้วถือเป็น 1 ครั้ง เวลาลงก็ลงด้วยดินสอพองแล้วลบเอาผงมาใช้ หลังจากลงครั้งแรกแล้วครั้งต่อไปไม่ต้องลงอีก เพียงเอาผงลูบกระดานก็จะปรากฏเป็นตัวยันต์ขึ้นมาแล้วบลเอาผงอีก คือหมายความว่าลงด้วยมือเขียนครั้งเดียว ต่อไปไม่ต้องเขียน เข้าทำนองถ่ายซีร็อกว่างั้นก็ได้ ผู้ที่ทำผงนี้ได้สำเร็จจะบันดาลให้เทพเทวะทั้ง 16 ชั้นฟ้า ชั้นดิน 14 บาดาล 21 ชั้นพรหม ภควพรหม จนถึงสุทธาวาสขึ้นมาอำนวยพร ผงนี้จะอุดมด้วยวาสนา บารมี ลาภสักการะ ปรารถนา สิ่งใดก็ได้ดังหวัง คุณปถมรับมอบผงโสฬสมหาพรหมจากหลวงปู่สนธ์ถึงกับมือไม้สั่น นึกไม่ถึงว่าท่านจะให้ และเมื่อรับผงมาแล้วก็ได้สร้างพระถวายหลวงปู่สนธ์ 2 รุ่น รุ่นแรกนั้นไม่มีภาพตัวอย่างให้ดู เพราะว่าหาพระไม่ได้ และพระรุ่นแรกก็ไม่ทนทานเท่าที่ควร โดยมากเปื่อยยุ่ยพังไปเอง ส่วนรุ่น 2 นั้นทำได้แข็งแรงกว่า เพราะว่าใช้วิธีเผา พระจึงแกร่งและทนทานอยู่ได้จนทุกวันนี้ พระรุ่น 2 นี่แหละครับที่ตกน้ำแล้วลอยขึ้นวิ่งสู่ฝั่งในลำน้ำโขงแล้วไปโผล่ที่วัดท่าดอกแก้ว หลังจากสร้างพระถวายหลวงปู่สนธ์เสร็จแล้ว คุณปถมนำผงไปคืนหลวงปู่สนธ์ แต่ว่าหลวงปู่ท่านกลับบอกว่าให้เก็บไว้สร้างพระต่อไปในอนาคต ผงที่เหลือทั้งหมดจึงกลับมาอยู่ในครอบครองของคุณปถมอีกครั้ง ระหว่างนี้คุรปถมได้นำผงโสฬสมหาพรหมไปขอบารมีจากครูบาอาจารย์หลายท่าน เช่น เจ้าคุณอริยคุณาสาร (ปุสโส เส็ง) 6 เดือน พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร แห่งภูลังกา พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุตมสมพร พระอาจารย์สิม พุทธาจาโร (ขณะพำนักที่สกลนคร) พระอาจารย์หัว วัดบ้านคำครึ่ง และหลวงพ่อสมาธิ สุดท้ายก็คือหลวงปู่จันทร์ เขมิโย หรือพระเทพสิทธาจารย์ ว้ดศรีเทพฯ นครพนม หลวงปู่จันทร์ก็เป็นศิษย์ของหลวงปู่สีทัตต์เหมือนกัน โดยเป็นศิษย์ตั้งแต่สมัยยังเป็นเณร เคยออกธุดงค์กับหลวงปู่สีทัตต์เหมือนกัน โดยเป็นศิษย์ตั้งแต่สมัยยังเป็นเณร เคยออกธุดงค์กับหลวงปู่สีทัตต์และได้เห็นอิทธิฤทธิ์ของหลวงปู่สีทัตต์มากพอสมควร เช่นครั้งหนึ่งนั่งอยู่ในร่มไม้มีฝูงนกเกาะอยู่ข้างบน ร้องเจี๊ยวจ๊าว หลวงปู่สีทัตต์ถามเณรจันทร์ว่ารู้ไหมนกมันคุยอะไรกัน เณรจันทร์ตอบว่าไม่รู้ หลวงปู่สีทัตต์ก็ว่า มันคุยกันจะบินไปหากินทางทิศตะวันออก พอพูดจบฝูงนกก็บินไปทางทิศตะวันออกทั้งหมดจริง ๆ “ต่อไปถ้าเณรปฏิบัติถึงขั้นแล้ว เณรจะฟังภาษานกออกเอง” หลวงปู่สีทัตต์ว่า หลวงปู่สีทัตต์กับสามเณรจันทร์ หรือหลวงปู่จันทร์นั้น เข้าใจว่าจะเป็นญาติกัน เพราะว่ามีนามสกุลเหมือนกันคือ “สุวรรณมาโจ” และเป็นคนท่าอุเทนด้วยกัน บางทีหลวงปู่สีทัตต์จะเป็นน้าเป็นลุงหลวงปู่จันทร์ก็ได้ ตอนที่ผงโสฬสมหาพรหมไปถึงมือหลวงปู่จันทร์นั้น คุณอาคมเล่าว่าหลวงปู่จันทร์เห็นแล้วก็จำได้ ถึงกับออกปากว่าไปเอาผงนี้มาจากไหนอย่างไร และหลังจากนั้นก็แบ่งผงนี้ไว้ประมาณ 1 ชั้นปิ่นโต ผงนี้ได้นำมาสร้างพระเครื่องรุ่น 2500 ของหลวงปู่จันทร์ คือพระสมเด็จและพระนางพญา ที่คนทั่วไปรู้จักกันดีแล้วนั่นเอง ประวัติและเรื่องราวของหลวงปู่สีทัตต์ มีปรากฏอยู่ในหนังสือประวัติพระพุทธบาทบัวบก จังหวัดอุดรธานี ใครไปนมัสการพระพุทธบาทบัวบกก็สามารถซื้อมาอ่านได้ และถ้าเป็นแฟนศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริงแล้วก็จะต้องเคยอ่านประวัติหลวงปู่สีทัตต์จากที่นี่มาแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นคุณเวทย์ วิทยาคม เขียน หรือไม่ก็คุณสุวิทย์ เกิดพงษ์บุญโชติ ให้ย้อนกลับไปค้นเล่มเก่า ๆ มาอ่านก็จะได้ความพิสดารแห่งประวัติท่าน ผมจะงดไม่กล่าวถึง) คุณอาคมได้เล่าไว้อย่างน่าทึ่งและเหลือเชื่อว่า ตอนที่พ่อของเขานำผงนี้ไปถวายพระอาจารย์ฝั้น องค์ท่านเห็นผงแล้วก็ถึงกับก้มกราบ พระอาจารย์วังก็กราบเหมือนกัน ผงโสฬสมหาพรหมเมื่อมาอยู่ในครอบครองของคุณปถมแล้ว คุณปถมได้นำผงนี้ไปเก็บไว้ที่วัดเทพศิรินทร์ โดยเอาไว้ในพระอุโบสถ (ว่าตามคุณอาคมนะครับ) ผงนี้ก็มีอันอยู่ในพระอุโบสถวัดเทพฯ ตลอดมา เพราะว่าท่านเจ้าคุณนรฯ ปลุกเสกพระในพระอุโบสถนี้เสมอ กล่าวได้ว่าผงนี้ยิ่งนานยิ่งขลังเป็นทวี ถ้าจะว่าไปแล้วผงนี้ใช่จะได้สร้างแต่พระถวายหลวงปู่สนธ์ 2 รุ่น (ระหว่างปี 2493-94) แล้ว ยังได้สร้างถวายพระอาจารย์ฝั้นและพระอาจารย์สิมด้วย ทั้งของพระอาจารย์ฝั้นและพระอาจารย์สิมเป็นพระพิมพ์เดียวกัน ต่างกันที่สีของเนื้อพระ คือของพระอาจารย์ฝั้นสีอิฐเผาออกแดงอมส้ม ส่วนของพระอาจารย์สิมสีดำ และของพระอาจารย์สิมองค์ใหญ่กว่าพระอาจารย์ฝั้นเล็กน้อย ด้านหลังพระจะมีลายผ้าปรากฏ แต่ของพระอาจารย์ฝั้นหลังเรียบไม่มีลายอะไร ไล่กันจริง ๆ ก็น่าเป็นดังนี้ คือสร้างถวายหลวงปู่สนธ์ก่อน ต่อมาก็หลวงปู่จันทร์ วัดศรีเทพฯ สร้างเป็นพระสมเด็จ 3 พิมพ์ พระนางพญา 3 พิมพ์ใน พ.ศ. 2500 ต่อมาก็เป็นของพระอาจารย์ฝั้นและพระอาจารย์สิมตามลำดับ สุดท้ายก็เป็นของหลวงปู่ทิม อิสริโก หรือพระครูภาวนาภิรัต วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง
|