ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 4037
ตอบกลับ: 6
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ปัจจัยที่ทำให้เกิดเป็นเปรต

[คัดลอกลิงก์]
เวรกรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตประเภทต่างๆ

         เปรต เป็นผีตามความเชื่อไทย มีรูปร่างสูงโย่งเท่าต้นตาล ผมยาว คอยาว ผอมโซ ตัวดำ ท้องโต มือเท่าใบตาล แต่มีปากเท่ารูเข็ม และเปรตจะหิวอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากกินอะไรไม่ได้ จึงชอบมาขอส่วนบุญในงานบุญต่างๆ ซึ่งเมื่อสะสมบุญได้แล้วเกิดใหม่ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานอย่างที่เป็นอยู่



         ความหมาย คำว่า เปรต แปลว่า ผู้ละโลกนี้ไปแล้ว ผู้ตายไปแล้ว ในทางพุทธศาสนาหมายถึง สัตว์พวกหนึ่งที่ที่เกิดในเปตสิสัยซึ่งเป็นอบายภูมิ 1 ใน 4 ซึ่งประเภทของเปรตมีหลายประเภท เช่นประเภทหนึ่งเรียกว่า ปรทัตตูปชีวิเปรต คือเปรตที่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยส่วนบุญที่มีผู้ทำอุทิศให้ หากไม่มีส่วนบุญที่มีผู้อุทิศให้ก็มักจะกินเลือดและหนองของตัวเองเป็นอาหาร โบราณมีความเชื่อที่ว่า ถ้าใครทำร้ายพ่อแม่ ชาติหน้าจะไปเกิดเป็นผีเปรต

         การทำพลีกรรมแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือการทำบุญอุทิศไปให้ผู้ตายว่า เปตพลี หรือ บุพเปตพลี
  
           หลายๆ ท่านคงเคยได้ยินเรื่องของเปรตมาบ้างแล้ว  จากการเล่าของบุคคลต่างๆ แต่ในครั้งนี้จะกล่าวในพระไตรปิฏก พระพุทธเจ้าเป็นผู้พบบ้าง พระมหาสาวกเป็นผู้พบบ้าง จากนั้นก็จะมีพระภิกษุมาทูลถามถึงสาเหตุของการได้สถานภาพของเปรต นั้นๆ การตรัสตอบถึงสาเหตุของกรรมของเปรต นับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ได้ฟัง และพิจารณา เพราะการกระทำอย่างนั้นไม่ดีเลย  กรรมชั่วย่อมส่งผลที่เลวให้แก่ผู้กระทำ เมื่อท่านทั้งหลายได้ฟังพระธรรมในหมวดนี้แล้ว พึงสังวรระวังการกระทำชั่วต่างๆ เหล่านี้ เพื่อความสุข ความเจริญของตัวท่านเอง            

ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามีบันทึกไว้ว่า เปรตแบ่งเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ก็มีบางแห่งแบ่งเป็น 12 ประเภทบ้าง หรือแยกย่อยออกเป็น 21 ประเภทบ้าง   

     

แบ่งตามเปตวัตถุอรรถกถา แสดงเปรต 4 ประเภท ได้แก่

  1. ปรทัตตูปชีวิกเปรต

          เปรตที่มีชีวิตอยู่ด้วยการอาศัยส่วนบุญที่ญาติมิตรอุทิศให้ ถ้าไม่มีผู้อุทิศให้ก็ต้องอดอยากหิวโหย ได้รับทุกขเวทนาอยู่เช่นนั้น นับว่าเป็นเปรตที่โชคดีจำพวกเดียวเท่านั้น เพราะมีอกุศลเบาบาง จึงมีจิตยินดีที่จะอนุโมทนาส่วนกุศล

          ด้วยความอดอยากข้าวและน้ำ จึงท่องเที่ยวซัดเซไปมานึกถึงหมู่ญาติของตนว่า ใครอยู่ที่ไหนบ้าง เมื่อนึกได้ก็จะคอยอยู่ใกล้ ๆ คอยท่าว่าเมื่อใดจะมีญาติทำบุญกุศล แล้วอุทิศมาให้บ้าง

         ครั้นญาติทำบุญกุศล แล้วลืมอุทิศให้ หรืออุทิศให้แต่คนอื่นไม่ได้อุทิศให้ตน ก็จะเดินวนเวียนไปมา ด้วยใบหน้าหม่นหมองเศร้าสร้อยผิดหวัง บางครั้งน้อยใจถึงกับเป็นลมฟุบลงไปด้วยความหิวโหย ด้วยความทรมาน และก็ได้แต่หวังว่า ครั้งต่อไปคงจะมีญาติอุทิศส่วนกุศลมาให้บ้าง

          เปรตพวกนี้ได้แต่หวังอย่างนี้มาแสนนาน บางทีก็ได้สมประสงค์ บางทีก็ไม่ได้ เพราะพวกญาติมิตรที่ตนฝากความหวังไว้นั้นไม่ประกอบการกุศลเพราะเป็นคนมิจฉาทิฏฐิ ไม่เชื่อเรื่องบุญบาป หรือว่าญาติมิตรเป็นคนมีศรัทธาทำบุญ แต่หลงลืมไม่อุทิศให้ เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ย่อมไม่ได้รับผลบุญ ต้องทนทุกข์อดอยากหิวโหยอยู่นานแสนนาน           

2. ขุปปีปาสิกเปรตเปรตที่อดอยาก

หิวข้าวและน้ำอยู่เป็นนิตย์ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะลุกขึ้น ต้องนอนซมเหมือนคนป่วยที่ใกล้จะตาย


          3. นิชฌามตัณหิกเปรต เปรตที่มีไปเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ
          4. กาลกัญจิกเปรต เปรตจำพวกอสุรกาย
           ในอปทาน อรรถกถา สุตตนิบาตอรรถกถา และพุทธวังสะอรรถกถา แสดงว่าบรรดาพระโพธิสัตว์ ทั้งหลาย นับตั้งแต่ได้รับพุทธพยากรณ์เป็นต้นไป จะไม่เกิดเป็น ขุปปีปาสิกเปรต นิชฌามตัณหิกเปรต หรือกาลกัญจิกเปรต ถ้าจะต้องไปเกิดเป็นเปรต ก็จะเกิดเป็น ปรทัตตูปชีวิกเปรต ประเภทเดียว           แบ่งตาม คัมภีร์โลกบัญญัตติปกรณ์ และ ฉคติทีปนีปกรณ์ แบ่งได้ 12 ประเภท ได้แก่         

     

1. วันตาสาเปรต

           เปรตประเภทนี้ มีรูปร่างน่าเกลียด น่ากลัว และอดอยากหิวโหย เมื่อเปรตเหล่านี้เห็นมนุษย์ถ่มเสลด น้ำลายออกมา ต่างตื่นเต้นดีใจรีบตรงไปดูดเอาโอชะเสลดเป็นอาหาร กินแล้วยังหิวโหยเช่นเดิม จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้ จึงจะไปเกิดในภูมิอื่น        

กรรมที่ทำให้เป็นเปรตประเภทนี้ เพราะชาติก่อนเป็นคนตระหนี่จับขั้วหัวใจ เห็นผู้ใดอดอยากมาขออาหาร ก็พาลโกรธถ่มน้ำลายใส่ด้วยความรังเกียจ หรือเข้าไปในสถานที่ที่ควรเคารพบูชา เช่น โบสถ์ วิหาร ลานพระเจดีย์ แล้วไม่มีความเคารพต่อสถานที่ ได้ถ่มเสลดน้ำลายลงในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้น เมื่อตายแล้วก็มาเกิดเป็นเปรตในประเภทนี้         

2. กุณปขาทาเปรต     

              เปรตประเภทนี้มีรูปร่างน่าเกลียดมาก จะซอกซอนหาซากอสุภะกินเป็นอาหารด้วยความหิวโหย ครั้นเห็นซากอสุภะของสัตว์ที่ล้มตาย กลายเป็นศพอืดเน่าเหม็น เปรตเหล่านี้จะดีอกดีใจวิ่งเข้าไปดูดโอชะที่เน่าเหม็นจากซากอสุภะนั้น      

กรรมที่ทำให้มาเป็นเปรตประเภทนี้ เพราะชาติที่เป็นมนุษย์มีความตระหนี่ เมื่อมีผู้มาขอบริจาคทาน ก็แกล้งให้ของที่ไม่ควรให้ ด้วยความปรารถนาจะแกล้งประชด ไม่เคารพในทาน จึงมาเกิดเป็นเปรตประเภทนี้         

3. คูถขาทาเปรต     

                  เปรตประเภทนี้ มีรูปร่างน่าสะอิดสะเอียน น่าเกลียด เปรตชนิดนี้จะเที่ยวแสวงหาคูถ คือ อุจจาระ ที่คนถ่ายเอาไว้ ยิ่งมีกลิ่นเหม็นมากเท่าไรก็ยิ่งชอบ เมื่อเปรตเหล่านี้เห็นอุจจาระจะดีใจจนเนื้อเต้น รีบวิ่งรี่เข้าไปที่กองอุจจาระเหมือนสุนัขอย่างนั้น ครั้นไปถึงก็ก้มหน้าดูดเอาโอชะของคูถนั้นเป็นอาหาร แต่ก็ไม่เคยอิ่มเลย        กรรมที่ทำให้มาเป็นเปรตประเภทนี้

เพราะครั้งที่เป็นมนุษย์ มีความตระหนี่จัด เมื่อหมู่ญาติที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือผู้คนมาหาเพื่อขอความช่วยเหลือ ขอข้าว ขอน้ำดื่ม  จะเกิดอาการขุ่นเคืองขึ้นมาทันที ชี้ไปที่มูลสัตว์พร้อมกับบอกว่า "ถ้าอยากได้ ก็จงเอาไปกินเถิด แต่จะมาเอาข้าวปลาอาหาร ข้าไม่ให้หรอก" แล้วก็ขับไล่ไสส่ง ด่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ตายแล้วจึงไปเกิดเป็นเปรตชนิดนี้           

4. อัคคิชาลมุขาเปรต

               เปรตประเภทนี้ มีรูปร่างผอมโซ มีเปลวไฟแลบออกมาจากปากตลอดเวลา ทั้งกลางวันกลางคืน  ไฟไหม้ปากไหม้ลิ้นเจ็บแสบเจ็บร้อน ครั้นทนไม่ได้ก็วิ่งร้องไห้ครวญครางไปไกลถึงร้อยโยชน์ พันโยชน์  ถึงกระนั้นไฟก็ไม่ดับ กลับเป็นเปลวเผาลนปากและลิ้นหนักเข้าไปอีก         




กรรมที่ทำให้มาเกิดเป็นเปรตประเภทนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์ มีความตระหนี่เหนียวแน่น เมื่อมีใคร มาขอ ครั้นจะไม่ให้ก็กลัวคนอื่นดูแคลน จึงแกล้งให้สิ่งของร้อนๆ เพื่อหวังจะแกล้งให้ผู้รับเข็ดหลาบ จะได้เลิกมาขอ  เพราะไม่เห็นอานิสงส์ของการทำทาน         

5. สุจิมุขาเปรต
             เปรตประเภทนี้ รูปร่างแปลกพิกล คือ เท้าทั้งสองใหญ่โต คอยาวมาก แต่ปากเท่ารูเข็ม จะได้อาหารมาบริโภคแต่ละครั้งก็ไม่พออิ่ม เพราะมีปากเท่ารูเข็ม อาหารไม่อาจจะผ่านช่องปากเข้าไปได้ง่ายๆ อยากกินแต่กินไม่ได้ ต้องทุกข์ทรมานแสนลำบาก ร่างกายผอมโซดำเกรียม
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-11-6 08:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กรรมที่ทำให้เป็นเปรตประเภทนี้ เพราะเป็นคนตระหนี่ในชาติที่เป็นมนุษย์ เมื่อมีใครมาขออาหาร ก็ไม่อยากให้ และไม่มีศรัทธาที่จะถวายทานแก่สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีจิตหวงแหนทรัพย์สมบัติ ผลกรรมตามสนอง ต้องมาเกิดเป็นเปรตปากเท่ารูเข็ม        
6. ตัณหาชิตาเปรต
             เปรตประเภทนี้ มีรูปร่างผอมและอดอยากเช่นเดียวกับเปรตพวกอื่น คือ มีความอยากข้าว น้ำเป็นกำลัง ที่แปลกออกไป คือ เปรตเหล่านี้จะเดินตระเวนท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ เพื่อหาอาหาร เมื่อมองไปเห็นสระ บ่อ ห้วย หนอง ก็ตื่นเต้นดีใจ รีบวิ่งไปโดยเร็ว แต่ครั้นไปถึงแหล่งน้ำนั้น กลับกลายเป็นสิ่งอื่นด้วย อำนาจกรรมบันดาล        กรรมที่ทำให้เป็นเปรตประเภทนี้ เพราะเป็นคนหวงข้าวหวงน้ำ เที่ยวปิดสระ ปิดบ่อ ปิดหม้อ ไม่ให้คนอื่นได้ดื่มกิน ครั้นละโลกแล้วก็มาเกิดเป็นเปรตอดอยากข้าวน้ำดังกล่าว        

7. นิชฌามักกาเปรต

             เปรตประเภทนี้ มีรูปร่างเหมือนต้นเสาหรือต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ สูงชะลูดดำทะมึน แลดูน่ากลัวมาก มีกลิ่นเหม็นเน่า มือและเท้าเป็นง่อย ริมฝีปากด้านบนห้อยทับริมฝีปากด้านล่าง มีฟันยาว มีเขี้ยวออกจากปาก ผมยาวพะรุงพะรัง มีความอดอยากเหลือประมาณ ยืนทื่ออยู่ที่เดิมไม่ท่องเที่ยวไปไหนเหมือนเปรตชนิดอื่น      

กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตประเภทนี้ เพราะเป็นคนใจหยาบ เห็นสมณพราหมณ์ผู้มีศีลก็โกรธเคือง มีอกุศลจิตคิดว่า ท่านเหล่านั้นจะมาขอของตน จึงแสดงกิริยาอาการเยาะเย้ยถากถาง ขับไล่สมณพราหมณ์ เหล่านั้นให้ได้รับความอับอาย หรือเห็นพ่อแม่เป็นคนแก่คนเฒ่า เกิดโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเพราะความชรา แกล้งให้ท่านตกใจจะได้ตายไวๆ ตัวเองจะได้ครอบครองสมบัติ      

8. สัพพังคาเปรต
             เปรตประเภทนี้ มีร่างกายใหญ่โต มีเล็บมือเล็บเท้ายาวคมเหมือนมีดเหมือนดาบและงอเหมือนตะขอ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาตะกายข่วนร่างกายตนเองให้ขาดเป็นแผลด้วยเล็บ แล้วกินเลือดเนื้อของตนเองเป็นอาหาร       กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตประเภทนี้ เพราะชอบขูดรีดชาวบ้าน เอาเปรียบผู้อื่น หรือบางครั้งชอบรังแกหยิกข่วนบิดามารดา ถ้าเป็นหญิงก็หยิกข่วนสามีของตน           

9. ปัพพตังคาเปรต

             เปรตประเภทนี้ มีร่างกายใหญ่เหมือนภูเขา เวลากลางคืนสว่างไสวรุ่งเรืองด้วยเปลวไฟ กลางวันเป็นควันล้อมรอบกาย เปรตเหล่านี้ต้องถูกไฟเผาคลอก นอนกลิ้งไปมาเหมือนขอนไม้ที่กลิ้งอยู่กลางไร่กลางป่า ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส ร้องไห้ปานจะขาดใจ กรรมที่เกิดเป็นเปรตประเภทนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์ได้เอาไฟเผาบ้าน เผาโรงเรียน เผากุฏิ วิหาร เป็นต้น         

10. อชครเปรต

เปรตประเภทนี้ มีรูปร่างคล้ายกับสัตว์เดียรัจฉาน เช่น มีรูปร่างเป็นงูเหลือม เป็นเสือ เป็นม้า เป็นวัว เป็นควาย เป็นต้น แต่จะถูกไฟเผาไหม้ทั่วร่างกายทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ว่างเว้น แม้แต่วันเดียว      

กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตประเภทนี้ เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์เป็นคนตระหนี่ เมื่อเห็นสมณพราหมณ์ ผู้มีศีลมาเยือน ก็ด่าเปรียบเปรยท่านว่า เสมอด้วยสัตว์เดียรัจฉานต่างๆ เพราะไม่อยากให้ทาน หรือแกล้งล้อเลียนเป็นรูปสัตว์ต่างๆ      

11. เวมานิก เปรตประเภทนี้จะมีสมบัติ คือ วิมานทองอันเป็นทิพย์ บางตนจะเสวยสุขราวเทวดาในเวลากลางวัน ส่วนเวลากลางคืนจะเสวยทุกข์ที่เกิดจากความตระหนี่ในทรัพย์ บางตนเสวยสุขเฉพาะในเวลากลางคืน ส่วนกลางวันจะเสวยทุกข์ ตามสมควรแก่กรรม      

กรรมที่ทำให้เกิดมาเป็นเปรตประเภทนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์มีศรัทธาทำบุญกุศลไว้มาก แต่ไม่รักษาศีล ไม่รักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ ครั้นตายลงจึงตรงมาเกิดเป็นเวมานิกเปรต หรือเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาได้รักษาศีลเพียงอย่างเดียว แล้วไม่มีศรัทธาในการสร้างบุญกุศลอื่น และมีความสงสัยในเรื่องบุญเรื่องบาป แม้รักษาศีลก็รักษาแบบเสียไม่ได้ หรือไม่ตั้งใจรักษา        

12. มหิทธิกาเปรต

                   เปรตประเภทนี้ เป็นเปรตที่มีฤทธิ์และรูปงามดุจเทวดา แต่ว่าอดอยากหิวโหยอาหารอยู่ตลอดเวลา เหมือนเปรตชนิดอื่นๆ จะเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ เมื่อพบคูถมูตร และของสกปรกก็จะดูดกินเป็นอาหาร       กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตประเภทนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์ บวชเป็นพระภิกษุสามเณร พยายามรักษาศีลของตนให้บริสุทธิ์ จึงมีรูปงามผุดผ่องราวเทวดา แต่ไม่ได้บำเพ็ญธรรม มีใจเกียจคร้านต่อการบำเพ็ญสมณธรรมตามวิสัยของบรรพชิต จิตใจจึงมากไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ มีความเข้าใจผิดว่า "เราบวชแล้ว รักษาแต่ศีลอย่างเดียวก็พอ ไม่เห็นต้องทำบุญให้ทานเหมือนฆราวาสเลย" ครั้นเมื่อละโลกจึงมาเกิดเป็นเปรตประเภทนี้ เปรตประเภทสุดท้าย           

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-11-6 08:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้



แบ่งตามวินัย และลักขณสังยุตตพระบาลี แบ่งได้ 21 ประเภท ได้แก่
1. อัฏฐีสังขสิกเปรต เปรตที่มีกระดูกติดกันเป็นท่อนๆ แต่ไม่มีเนื้อ      
2. มังสเปสิกเปรต เปรตที่มีเนื้อเป็นชิ้นๆ แต่ไม่มีกระดูก      
3. มังสปิณฑเปรต เปรตที่มีเนื้อเป็นก้อน      
4. นิจฉวิเปรต เปรตที่ไม่มีหนัง      
5. อสิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นพระขรรค์      
6. สัตติโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นหอก      
7. อุสุโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นลูกธนู      
8. สูจิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นเข็ม      
9. ทุติยสูจิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นเข็มชนิดที่ 2      
10. กุมภัณฑเปรต เปรตที่มีอัณฑะใหญ่โตมาก      
11. คูถกูปนิมุคคเปรต เปรตที่จมอยู่ในอุจจาระ      
12. คูถขาทกเปรต เปรตที่กินอุจจาระ      
13. นิจฉวิตกิเปรต เปรตหญิงที่ไม่มีหนัง      
14. ทุคคันธเปรต เปรตที่มีกลิ่นเหม็นเน่า      
15. โอคิลินีเปรต เปรตที่มีร่างกายเป็นถ่านไฟ      
16. อลิสเปรต เปรตที่ไม่มีศีรษะ      
17. ภิกขุเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือนพระ      
18. ภิกขุนีเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือนภิกษุณี      
19. สิกขมานเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือนสิกขมานา (สามเณรีที่ได้รับการอบรมเป็นเวลา 2 ปี เพื่อบวชเป็นภิกษุณี)      
20. สามเณรเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือนสามเณร     

21. สามเณรีเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือนสามเณรี จริงอยู่สัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามกรรมที่ตนทำไว้ ใครทำดีก็ได้รับผลดี ใครทำชั่วก็ได้รับผลชั่ว ไม่มีใครรับผลของกรรมแทนกันได้ แม้พวกเปรตที่สามารถรับส่วนบุญที่ญาติมิตรอุทิศไปให้จากโลกนี้ได้ ก็เพราะเปรตได้ทำบุญด้วยตนเองในข้อปัตตานุโมทนา คือชื่นชมในบุญที่มีผู้อุทิศไปให้ ถ้าไม่ชื่นชมอนุโมทนาบุญก็ไม่เกิดแก่เปรต

การอนุโมทนานั้นเปรตต้องทำเอง ไม่มีใครทำให้เปรตได้ พวกเราในโลกมนุษย์นี้ทำได้แต่เพียงบุญในข้อปัตติทาน คืออุทิศบุญที่ทำแล้วให้เปรตเท่านั้น ถ้าเปรตยอมรับบุญที่เราอุทิศไปให้ เขาก็จะชื่นฃมอนุโมทนา เมื่อเขาชื่นชมอนุโมทนา บุญก็จะเกิดแก่เปรต แต่ถ้าเปรตไม่ยอมรับหรือไม่ทราบ ไม่ได้ชื่นชมอนุโมทนาบุญก็ไม่เกิดแก่เปรต เปรตก็ไม่ได้รับบุญที่มีผู้อุทิศให้ เมื่อบุญไม่เกิดแก่เปรต เปรตก็ต้องทนทุกข์ทรมานต่อไป แต่ถ้าบุญเกิดแก่เปรต เปรตก็จะพ้นจากความทุกข์ทรมาน

       บางครั้งถ้ากรรมของเปรตเบาบาง อนุโมทนาแล้วก็ พ้นจากสภาพเปรตเป็นเทวดาทันที ซึ่งเรื่องเหล่านี้มีเล่าไว้ใน พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ  สำหรับเทวดานั้น แม้ท่านจะมีความสุข มีอาหารทิพย์ แต่ถ้าท่านทราบว่ามีผู้คนในโลกมนุษย์นี้ทำบุญแล้วอุทิศให้ท่าน ท่านก็ยินดีรับ ถ้าท่านเป็นสัมมาทิฏฐิ ท่านก็ชื่นชมอนุโมทนาด้วย บุญในข้อปัตตานุโมทนาก็เกิดแก่ท่าน

        แต่การอนุโมทนาของเปรตกับเทวดานั้นต่างกันเทวดาอนุโมทนาแล้วบุญก็เกิดเทวดาเท่านั้น แต่สำหรับเปรตนั้น เมื่อเปรตอนุโมทนาแล้ว นอกจากบุญจะเกิดแก่เปรตแล้ว เปรตยังได้รับข้าวของอันสมควรแก่ฐานะของเปรต ตรงตามที่ผู้อุทิศไปให้ด้วย เช่นมีผู้ถวายอาหารแล้วอุทิศให้เปรต เปรตอนุโมทนาแล้ว ได้บุญในข้อปัตตานุโมทนาแล้ว ยังได้รับอาหารอันสมควรแก่ฐานะของเปรตด้วย ทำให้เปรตอิ่มหนำสำราญ พ้นจากความหิวโหย หรือเราถวายผ้า เปรตก็จะได้รับผ้าทิพย์ปกปิดร่างกาย ทำให้พ้นจากสภาพเปลือยกายได้ เราถวายน้ำแล้วอุทิศให้ เปรตก็ได้ดื่มน้ำทิพย์พ้นจากความหิวกระหายด้วยอำนาจของการอนุโมทนา

       การอุทิศบุญที่ทำแล้วให้เปรตนั้น มิใช่หยิบยื่นของส่งให้ เพราะบุญเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ เกิดที่ใจ เมื่อใดที่ใจเกิดบุญ ใจก็จะผ่องใส ไม่ขุ่นมัว เพราะฉะนั้น ธรรมชาติของบุญก็คือเป็นเครื่องชำระจิตใจให้ผ่องใส ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง

       พระพุทธเจ้าตรัสว่าบุญเป็นชื่อของความสุข เพราะผู้ที่ทำบุญแล้วย่อมได้รับผลวิบากอันเป็นสุข ด้วยเหตุนี้ บุญจึงเป็นที่พึ่งของสัตว์ในโลกหน้า ตราบเท่าที่ยังต้องเกิดอยู่

       อีกประการหนึ่ง พระที่ท่านฉันอาหารของเรานั้น ท่านก็มิได้เป็นบุรุษไปรษณีย์นำบุญของเราไปส่งให้แก่เปรต ท่านเป็นเนื้อนาที่เราจะหว่านบุญลงไปเท่านั้น พูดง่ายๆ ก็คือ ท่านเป็นปัจจัยให้เราเกิดบุญในข้อทานการให้ เมื่อให้แล้ว เรากรวดน้ำอุทิศไปให้ญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้ว ถ้าเขาไปเกิดเป็นเปรต และทราบว่าเราอุทิศบุญไปให้เขา ถ้าเขาชื่นชมอนุโมทนา บุญและวัตถุทานที่เราอุทิศให้มีข้าว น้ำเป็นต้น ก็จะเกิดแก่เปรตนั้นตามสมควรแก่ฐานะและภพภูมิของเขา ไม่ใช่เราถวายแกงส้ม เปรตก็จะได้กินแกงส้ม ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะแกงส้มไม่ใช่อาหารของเปรต        

เราจะเห็นได้ว่า การเสวยวิบากกรรมในภูมิเปรตนั้น เป็นทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพียงไร ทุกข์ในเมืองมนุษย์เทียบเท่าไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นอย่ากระทำการใดๆ ที่เสี่ยงต่อการถูกทรมานในภูมิเปรตนี้เลย

ขอบคุณบทความจากเวป http://www.cosmicnirvana.com


    ข้าพเจ้า ขออุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศล ที่ได้จากการเผยเเพร่สิ่งดีๆให้เเก่คนที่ได้ประโยชน์จากบทความนี้ ให้เเก่ ตัวข้าพเจ้าเอง เเละ เจ้ากรรมนายเวร สรรพสิ่งทั้งหลายที่ตัวข้าพเจ้าทำไม่ดีไว้ ตั้งเเต่ชาติที่เเล้ว ชาตินี้ เเละ ชาติหน้า ด้วยครับ เเละ ข้าพเจ้าต้องการให้ พ่อ เเม่ พี่น้อง ญาติ สุขกายสบายใจ ร่ำรวยเงินทอง อายุยืนยาวด้วยเถอะ เเละ ขอเเผ่เมตตาให้คนที่มีทุกข์ให้พ้นทุกข์ด้วยนะครับ มีสุขก็ให้สุขยิ่งๆขึ้นไป

http://tammathai.exteen.com/20130403/entry
ขอบคุณครับกัปตัน
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-11-7 08:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
majoy ตอบกลับเมื่อ 2016-11-7 07:53
ขอบคุณครับกัปตัน

การอุทิศบุญที่ทำแล้วให้เปรตนั้น มิใช่หยิบยื่นของส่งให้ เพราะบุญเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ เกิดที่ใจ เมื่อใดที่ใจเกิดบุญ ใจก็จะผ่องใส ไม่ขุ่นมัว เพราะฉะนั้น ธรรมชาติของบุญก็คือเป็นเครื่องชำระจิตใจให้ผ่องใส ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2016-11-7 08:50
การอุทิศบุญที่ทำแล้วให้เปรตนั้น มิใช่หยิบยื่นของส ...

ผ่องใส ไม่ขุ่นมัว เพราะบุญเป็นเครื่องชำระจิตใจ

ขอบคุณครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้