บทสัมภาษณ์ “โขม ก้องเกียรติ” ผู้กำกับจากภาพยนตร์เรื่อง “ขุนพันธ์”
เรายังเชื่อเรื่องความดีกันอยู่ไหม เรายังหลงเชื่อเรื่องฮีโร่กันอยู่หรือเปล่า ?
เราตั้งคำถามเกี่ยวกับความดีกับความเลวไว้เยอะ
เรารู้สึกว่าเราอยากทำไอคอนคนๆ หนึ่งที่มีตัวตนจริงๆ และเป็นคนดี
14 ก.ค. “ขุนพันธ์” ตำนานมือปราบ 108 ปีจะกลับมามีชีวิต
สู่ภาพยนตร์ระดับมาสเตอร์พีซที่สุดในชีวิตของ ก้องเกียรติ โขมศิริ
เพราะงานที่มันยากก็ต้องยิ่งอาศัยศรัทธาที่สูง
เราคิดว่า....โปรเจกต์ “ขุนพันธ์” คือการพิสูจน์ศรัทธาของเรากับทีมงาน
Q. แรงบันดาลใจ และที่มาที่ไปทำให้เกิดเป็นโปรเจกต์ “ขุนพันธ์” ภาพยนตร์แอ็คชั่นฟอร์มยักษ์ที่กำลังอยู่ในความสนใจ และเป็นที่กล่าวถึงมากที่สุดอยู่ในขณะนี้
A. สวัสดีครับ ก้องเกียรติ โขมศิริ ครับ ตอนนี้มีผลงานเรื่องล่าสุด “ขุนพันธ์” รับหน้าที่ผู้เขียนบท และผู้กำกับครับ สำหรับแรงบันดาลใจ คือตั้งแต่สมัยที่ยุคจตุคามเฟื่องฟู หรือด้วยชื่อเสียงของท่านขุนพันธ์ ทำให้ผมชอบ รู้สึกอยากทำเรื่องนี้ เหมือนว่าการเป็นฮีโร่ในแบบไทยแบบนี้มันเท่จังเลย ตอนนั้นภาพแรกที่เห็น เราเห็นผู้ชายคนหนึ่งใส่ยักรั้ง ใส่เสื้อราชปะแตน สะพายดาบ ขี่ช้างถือปืนไล่ล่าโจรอะไรอย่างนี้ ภาพแรกที่ปรากฎขึ้นนะครับ จนวันหนึ่งเสี่ยเจียง คุณสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ก็เรียกเข้าไปบอกว่ามีโปรเจกต์ให้ดู แล้วก็พอพูดชื่อเรื่องขุนพันธ์ออกมา เราก็แบบ เฮ้ย เขาเลือกให้เราทำ ท่านเลือกให้เราทำมั้ง คือได้ยินว่ามีการผ่านมือหลายคนมากที่จะทำโปรเจกต์นี้ อาจจะถอดใจไปแล้ว แต่เสี่ยเลือกให้เราที่จะทำโปรเจกต์นี้ คือเรารู้สึกว่าเราอยากทำไอคอนคนๆหนึ่งที่มีตัวตนจริงๆและเป็นคนดี คือในยุคที่เราต้องพูดตรงๆว่าบ้านเมืองเราเจอสถานการณ์เยอะมาก โลกไปเร็วมากจนบางทีเราก็ตั้งคำถามเกี่ยวกับความดีกับความเลวไว้เยอะ เราตั้งคำถามเกี่ยวกับศรัทธาในชีวิต เรายังเชื่อเรื่องความดีได้อยู่ไหม เรายังหลงเชื่อเรื่องฮีโร่อยู่หรือเปล่า ก็ได้สืบ อ่าน ค้นคว้าเรื่องราวของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดชอย่างจริงจัง ยิ่งอ่านก็ยิ่งสนุก เป็นความสนุกแบบเดียวกับที่เราอ่านล่องไพร หลายเรื่องที่มันมีอยู่จริง การจับไอ้เสือ บุคคลคนนี้มีอยู่จริง ไม่ว่าบ้านเมืองจะเกิดอะไรขึ้น ชาวบ้านเดือดร้อน เราเป็นตำรวจ เราต้องปราบปราม ด้วยเรื่องราว ในยุคที่ก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 บ้านเมืองแร้นแค้น ทุกข์ยากแสนเข็ญสุดๆ ข้าราชการพึ่งพาไม่ได้ โกงกินทุกอย่าง รอบทิศรอบทางมีแต่ศัตรู คนๆหนึ่งลุกขึ้นต่อสู้ เครื่องมือคือ ใจกับคาถาอาคม บางคนอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องโบราณคร่ำครึหรือเปล่า แต่สำหรับเราเรารู้สึกว่ามันเมจิกมากเลยนะ มันเป็นสิ่งที่ฝรั่งเก็ทนะ พออ่านเรื่องขุนพันธ์เสร็จ เราเรียกมันว่าเมจิคอลเรียลลิส บนความรู้สึกของหนังที่เราไม่ได้เห็นหนังรสชาดแบบนี้ เรื่องของฮีโร่คนหนึ่งที่ไปเจอกับผู้ร้ายคนหนึ่งซึ่งมีวิชาอาคมไม่แพ้กัน แล้วมันคือการที่คนที่ยิงไม่ตาย 2 คนต่อยกันนะ หนังเหนียว 2 คนอัดกัน มันเป็นเรื่องชิงไหวชิงพริบ หรือการที่ตัวละครตำรวจถูกท้าทายโดยโจรว่า มึงกับกูมันต่างกันแค่เสื้อผ้า หนังเรื่องนี้พยายามจะพูดในทัศนะเรื่องความดีความเลว หรือการเลือกศรัทธาด้านสว่างหรือด้านมืด เพราะฉะนั้นเราเชื่อว่าแรงบันดาลใจสำหรับเรื่องนี้ก็คือการสร้างไอคอนแห่งความดีที่จริงที่สุด โดยเรามีภาพที่เราใช้เป็นแรงบันดาลใจตั้งแต่เริ่มต้นเขียนบทเรื่องนี้ก็คือ เป็นภาพที่ขุนพันธ์นั่งลงแล้วก็ต่อเทียนจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นะครับ เหมือนอัศวินฝรั่งที่แบบว่ากษัตริย์กำลังเอาดาบแปะที่ไหล่แล้วก็บอกว่าจงรับภารกิจนี้นะ จงทำภารกิจของเจ้าต่อไป มันคือการต่อเทียน ขุนพันธ์ก็เหมือนเทียนเล่มหนึ่งที่ผมในฐานะคนทำงาน ผมรู้สึกว่าการทำหนังเรื่องนี้เหมือนว่าพวกเราก็เหมือนกันที่เรากำลังต่อเทียนเล่มนั้นต่อมา โดยมีหัวใจของเรื่องมันก็คือการไล่ล่ากันของคน 2 ฝั่งที่เรียกว่าเจ็บไม่ได้ตายไม่เป็นกันทั้งคู่ครับ
|