ผู้ที่ได้รับหน้าที่แถลงข่าวกับนักข่าวชาวอเมริกันเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายนั่นก็คือ “พันตรีจูมา เอก้า” (Major Juma Aiga) มือขวาคนสนิทของ “อามิน” – ทั้งๆ ที่นายพันผู้นี้เดิมที่เป็นเพียงโชเฟอร์แท็กซี่ธรรมดาเท่านั้น เพียงแต่ “อามิน” ต้องชะตากับโชเฟอร์คนขับแท็กซี่ชนเผ่าเดียวกันเท่านั้น ในช่วงเพียงค่ำคืนเดียวจากโชเฟอร์แท็กซี่ขึ้นกินตำแหน่ง “พันตรีจูมา เอก้า” โดยมีหน้าที่บัญชาการหน่วยทหารบาราร่า บทสัมภาษณ์ถูกป้อนเข้ามาเรื่อยๆ ด้วยคำถามที่แทงใจดำจากนักข่าวทั้งสอง หารู้ไม่ว่าคำถามเหล่านั้นจะทำให้ชีวิตของพวกเขาทั้งสองต้องจบลงภายในวันเดียวนั่นเอง เมื่อ “เอก้า” ทนการรบเร้าไม่ไหวจนกระทั่งขอตัวไปโทรศัพท์เรียนท่านผู้นำเกี่ยวกับเรื่องที่นักข่าวทั้งสองสัมภาษณ์อย่างไม่เกรงใจ “Kill Them All” หรือฆ่าแม่งไปเลย คือคำตอบของท่านผู้นำและเป็นคำอาญาสิทธิ์ที่จะทำให้นักข่าวทั้งสองกลายเป็นผีเฝ้าเรือนจำตามนายทหารระดับสูงที่เขาจ้องจะขุดคุ้ยไปด้วย กระทั่งเวลาผ่านไปเดือนหนึ่ง สื่อมวลชนจากวอชิงตัน ดี.ซี. เรียกร้องให้รัฐบาลทวงถามถึงความเป็นอยู่ของนักข่าวทั้งสองว่าหายไปไหน แน่นอนว่าทางการยูกันดาปฏิเสธถึงความเป็นอยู่ในประเทศของทั้งสองคนว่า “มิได้รู้เรื่องอะไรเลย” ปลายปี ค.ศ. 1971 เศรษฐกิจของยูกันดาอยู่ในขั้นวิกฤติ เนื่องจากสหราชอาณาจักรและอิสราเอลตัดสัมพันธภาพทางด้านการเงินต่อรัฐบาลของ “อามิน” โดยเฉพาะอิสราเอลซึ่งเล็งเห็นถึงความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลเผด็จการในการบริหารประเทศอย่างดิบเถื่อน จึงปฏิเสธการช่วยเหลือด้านการเงินโดยไร้เยื่อใย แม้กระนั้น “อามิน” ก็ยังอนุมัติการพิมพ์ธนบัตรขึ้นใช้เองเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยที่เงินทุนสำรองไม่ได้ถูกนำไปค้ำประกันเงินที่ถูกพิมพ์ออกมา แต่กลับถูกผู้นำของพวกเขา “อามิน” นำไปช้จ่ายสำรองส่วนตัวอย่างหน้าด้านๆ จึงไม่แปลกเลยที่ยูกันดายุคนั้นจะมีลักษณะทางเศรษฐกิจที่ไม่ต่างจากเยอรมันยุคนาซีช่วงปลายๆ ที่เกิดภาวะเงินเฟ้อจนขีดสุด ขนาดที่ขนมปังก้อนหนึ่งราคาตกเกือบ 800 ซิลลิ่ง เข้าไปแล้ว ทว่า … ฟ้าเสมือนมาโปรด “อามิน” เมื่อปรมาจารย์แห่งผู้ก่อการร้าย “โมฮัมหมัด กัดดัฟฟี่” (Mohammard Guddafy) แห่งลิเบีย เกิดความสนใจในระบบการบริหารของ “อามิน” จึงต้องการที่จะเป็นเบื้องหลังให้กับยูกันดา โดยส่งเงินทุนอัดฉีดมูลค่า 1,000 ล้านดอลล่าห์ ให้แก่รัฐบาลยูกันดา ซึ่งนับว่ามหาศาลมากเหลือคณานับ ขณะเดียวกัน “กัดดัฟฟี่” ก็เป็นอริศัตรูกับอิสราเอลอยู่แล้วจึงทำให้ “อามิน” ประกาศการขับไล่ชนชาวอิสราเอลออกจากไปประเทศ แม้กระทั่งช่างวิศวกรผู้ดูแลการก่อสร้างสนามบินเอเทปเป้ ก็ถูกสั่งขับออกจากประเทศทันที โดยมีข้ออ้างว่า “เราไม่ง้อชาวยิวขี้เหนียวอีกต่อไป” การกระทำครั้งนี้ของ “อามิน” ทำให้ทางการอิสราเอลถึงกับเลือดขึ้นหน้า เนื่องจากอิสราเอลต้องการพันธมิตรที่อยู่ในซีกโลกทวีปมืด แม้จะเป็นประเทศด้อยพัฒนาก็ตามที ในที่สุด ทีมงานวิศวกรชาวอิสราเอลต้องขนย้ายวัสดุของพวกตนกลับประเทศบ้านเกิดของพวกเขาทันที แม้แต่ทีมงานก่อสร้างสนามบินเอเทปเป้ ก็ต้องกลับไปทั้งๆ ที่ยังไม่เสร็จภารกิจการก่อสร้างสนามเสียด้วยซ้ำ และวิศวกรชาวยิวก็ยังไม่ลืมสิ่งสำคัญที่ต่อมาจะเป็นเครื่องช่วยชีวิตชาวยิวของพวกตนด้วยนั่นคือ “แปลนพิมพ์เขียวสนามบินเอเทปเป้” ซึ่งต่อมาแปลนชิ้นนี้จะเป็นเครื่องมือที่จะทำให้หน่วยคอมมานโดของอิสราเอลสำเร็จแผนปฏิบัติการสายฟ้าแลบเอเทปเป้ ถึง 99.3% ข่าวลือที่สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลกอีกเรื่องหนึ่งคือ การรับประทานเนื้อส่วนศีรษะของ “นายพลสุไลมาน ฮุสเซน” เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นภายในงานเลี้ยงรับรองที่ทำเนียบรัฐบาลภายในกรุงเอนเทปเป้ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1972 ซึ่งเป็นงานเลี้ยงระดับรัฐพิธีหรือพิธีซึ่งจัดโดยคณะรัฐบาล โดยมี “อีดี้ อามิน” เป็นประธาน ขณะที่เวลาผ่านไป งานเลี้ยงดูเหมือนจะราบรื่น หากแต่ท่านผู้นำ “อีดี้ อามิน” รู้สึกเบื่อหน่ายงานเลี้ยงที่ผ่านไปเรื่อยๆ ท่านผู้นำจึงขออนุญาตผละออกจากโต๊ะรับแขกไปชั่วเวลาหนึ่ง และเมื่อเขาเดินกลับไปที่โต๊ะงานเลี้ยงอีกครั้งพร้อมกับบางสิ่ง-บางอย่างที่เขานำไปด้วยก็ทำเอาบรรดาแขกผู้มาร่วมงานต่างหวีดร้องด้วยความตกใจ เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาเห็นคือ “ศีรษะของพลฮุสเซน” – “อามิน” นำศีรษะไร้ร่างที่อยู่ในสภาพแช่แข็งไปวางบนโต๊ะ จากนั้นเขาก็ใช้ส้อมและมีดจิ้มลงบนศีรษะ ทั้งยังตะโกนใส่ด้วยความสะใจก่อนกรีดเนื้อที่แก้มมากรับประทาน 1 ชิ้น เสมือนกับต้องการระบายอารมณ์แค้นส่วนตัวกับศีรษะไร้ร่างอันหน้าสมเพชของ “นายพลฮุสเซน” … บรรยากาศจากเดิมที่เรียบง่าย สนุกสนานกลายเป็นบรรยากาศหดหู่เงียบเชียบทันที เนื่องจากบรรดาแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายต่างตะลึงในความวิปริตของ “อามิน” หลายคนยังมิอาจกลั้นอาการสำรอกออกมาได้ถึงขั้นอาเจียนไปหลายคน สักพัก “อามิน” ก็กล่าวพอเป็นพิธีว่า “พิธีรัฐครั้งนี้จบลงอย่างเรียบง่ายแล้ว” จากนั้นก็กล่าวขอให้บรรดาแขกผู้มีเกียรติทุกท่านกลับบ้าน เนื่องจากงานเลี้ยงเลิกลาไปแล้ว หลังจากกรณีของ “นายพลฮุสเซน” ที่เกิดในงานเลี้ยงสยองได้ผ่านไปเพียง 2 วัน “อามิน” ที่กำลังวิตกกับสถานการณ์เงินเฟื้อจนขีดสุด เขาก็สบโอกาสใช้ประโยชน์จากชาวเอเซียในประเทศของเขาเป็นครั้งสุดท้าย แม้จะไม่มีการกระทำการอันโหดเหี้ยวแก่ชาวเอเซีย แต่นโยบายใหม่ของท่านผู้นำก็คือ การออกประกาศให้ชาวเอเซียออกจากประเทศภายในเวลา 3 เดือน ประกาศขับไล่ยังพออยู่ได้ แต่ท่านผู้นำมีการประกาศนับถอยหลังวันเรื่อยๆ ทางวิทยุกระจายเสียงเสียด้วย แล้วอย่างนี้ชาวเอเซียจะอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อผู้นำประเทศของเขาในขณะนั้นไม่รับรองความปลอดภัยกับพวกเขาแล้ว … สุดท้ายแล้ว “กัมปาลา” นครที่อุดมไปด้วยชาวต่างชาติอันมีชาวเอเซียร้อยละ 23 เงียบเหงาทันตา และและทหารภายใต้การบัญชาการของ “อามิน” ก็จัดแจงเรื่องขนโอนทรัพย์สินของชาวเอเซียผู้อพยพผลัดถิ่นเพื่อนำไปขายและนำเงินไปจับจ่ายซื้อของแด่ท่านผู้นำ เมื่อเงินทุนที่ได้มาจากการขายทรัพย์สินของชาวเอเซียร่อยหรอลงจนกระทั่งหมดไป ในที่สุด “อามิน” ก็ตั้งหน่วยงานราชการลับของรัฐบาล เพื่อผลักดันผลประโยชน์เข้าสู่มหานคร หน่วยดังกล่าวมีชื่อว่า The Public Safety Unit and the State Research Bureau (SRB) แม้ภายนอกหน่วยงานดังกล่าวจะดูมีเกียรติ แต่หารู้ไม่ว่ามันคือองค์กรสังหารที่เต็มไปด้วยความโสมมเท่าที่มนุษย์จะสร้างสรรค์ขึ้นมาได้
ตามความเชื่อของชาวยูกันดา หากว่าญาติมิตร สหาย สิ้นชีวิตลงไป ต้องมีการทำพิธีศพให้ถูกต้องตามหลักศาสนาทันที เพื่อมิให้วิญญาณหลงไปในอบายภูมิ เสมือนศาสนาต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วโลกนั่นเอง – “อามิน” ใช้ประโยชน์จากความเชื่อนี้ โดยสั่งการให้หน่วย SRB ทำหน้าที่เป็นนักแกะรอยศพ (Body Finder) โดยมีหน้าที่เสาะหาซากศพตามที่ลูกค้าประชาชนต้องการให้หน่วย SRB ค้นหา โดยคิดเป็นเงิน 150 ปอนด์ต่อหนึ่งศพ แต่ประชาชนจะหารู้ไหมว่า ญาติของพวกเขาต้องเป็นศพเพราะใคร หากมิใช่หน่วยงานที่เขาไว้วางใจให้เสาะหาศพ เนื่องจากหน่วย SRB กลับมีอาชีพเป็นนักทำศพ (Body Killer) ซะเอง 8 ปีหลังจากที่ยูกันดาตกอยู่ใต้อำนาจของ “อีดี้ อามิน” (ค.ศ. 1971-1979) จุดจบของอำนาจของผู้นำเผด็จการก็มาถึง เมื่อ “อามิน” ต้องการสร้างความย่ำเกรงให้แก่ชาวยูกันดาและประเทศเพื่อนบ้าน เขาจึงสร้างข่าวว่า “กองทัพของประเทศแทนซาเนีย” ทำการบุกรุกยูกันดา เพื่อมิให้การกล่าวอ้างนั้นดูเลื่อนลอย เขาจึงได้ส่งหน่วยทหารไปยังชายแดนเพื่อยึดพื้นที่ต่างๆ ในแทนซาเนีย ทว่า ทางรัฐบาลแทนซาเนียไม่นึกสนุกกับโจ๊กระดับชาติที่ “อามิน” กำลังแสดงด้วย ยิ่งบุรุษอย่าง “จูเลีย เนอร์เรีย” ประธานาธิปดีแห่งแทนซาเนียซึ่งเคยมีปัญหากับ “อามิน” มาก่อนแล้ว การกระทำครั้งนี้ของ “อามิน” มันคือการยั่วโมโหเกินกว่าเหตุ กองทัพแทนซาเนียจึงผนึกกำลังผลักดันกองทัพด้อยพัฒนาของ “อามิน” อย่างรวดเร็ว ด้วยกำลังของกองทัพแทนซาเนีย มันไม่เป็นการยากอะไรเลยที่จะทำลายกองทัพของ “อามิน” ที่ฝึกรบแต่กับประชาชนของตน กองทัพของแทนซาเนียสามารถผลักดันกองทัพของ “อามิน” ได้สำเร็จ นอกจากนี้ ประชาชนยูกันดาเองต่างก็ไม่คิดว่ากองทัพของแทนซาเนียเป็นผู้บุกรุก พวกเขาล้วนให้ความร่วมมือกับกองทัพของแทนซาเนีย ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกด้านอาหารและที่พักต่างๆ
|