บรมมหานารายณ์ทศอวตาร ตอน พุทธาวตาร
ทศอวตารนารายณ์เทพ ตอน พุทธาวตาร
บรมเทพโลกเชษฐ์นาโถ มิ่งภิญโญเสด็จมาจากสวรรค์ เพื่อปรายักษ์ตรีปูรัมอาธรรม์ ผู้หาญกล้าท้าทายทวยเทวา
ปางอวตารปางที่ 9 ของพระนารายณ์ที่ระบุไว้คือ พุทธาวตาร ทรงอวตารมาเป็นนักบวชเพื่อหลอกล่อยักาตรีปุรัมให้วางศิวลิงค์ที่ทูนหัวออกเพื่อจะได้สังหารได้ ปางนี้เป็นปางที่มีปัญหาการกล่าวถึงกันบ่อยมากเป็นข้อพิพาทระหว่างชาวฮินดูและชาวพุทธมาอย่างยาวนาน
ในพระราชนิพนธ์ลิลิตนารายร์สิบปางของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า ยักษ์ตรีปุรัม ได้ทำการบูชายัญอารัมภบทคถาถวายพระศิวะอยู่นานแรมปี จนพระศิวะพอใจพระศิวะจึงมาปรากฏกายให้ตรีปุรัมขอพรได้อย่างหนึ่ง ตรีปุรัมได้ขอพรว่าหากตนยังมีรูปเคารพของพระสิวะติดตัวไม่ว่าใครแม้แต่พระนารายร์ก็สังหารตนไม่ได้ พระศิวะพอใจในการบำเพ็ญเพียรของตรีปุรัมจึงประทานให้และสั่งสอนให้อยู่ในศีลธรรม แล้วก็เสด็จกลับไปยังเขาไกรลาสตามเดิม
เมื่อตรีปุรัมได้พรดังกล่าวก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในสุจริตธรรมกบัเอาศิวลึงค์ตัวเเทนพระศิวะเหน็บไว่บนศรีษะต่างมงกุฎระรานผู้อื่นไปทั่วจนสร้างความเดือดร้อนเหลือคณานับ เมื่อเหิมเกริมได้ทีก็ยกพลมาท้าพระศิวะรบใครชนะได้ครองเป็นเจ้าจักรวาล พระศิวะพิโรธมากจึงสั่งรวมกองทัพภูตผีดขมดไพรและเรียกเหล่าเทวดาทั้งหมดมา พระนารายณ์ได้เสนอให้สังหารตรีปุรัมในครั้งเดียวด้วยการทรงพระมหาโมลีธนูขึ้นมา โดนใช้กำลังเขาพระสุเมรุมาทำคันธนู เอาพญาอนันตนาคราชมาทำสายธนู ใช้พระนารายณ์เป็นลูกธนู แต่พอพระศิวะจะยิงธนูใส่ตรีปุรัมที่ยกพลขึ้นมาพระนารายณ์ก็หลับไปทั้งสามครั้ง จนพระศิวะโยนศรทิ้งด้วยความโมโห พระนารายณ์สะดุ้งตื่นและทูลให้ทราบว่าเป็นเพราะพรของพระองค์นั้นเอง จึงอาสาไปเอาศิวลึงค์จากตรีปุรัม พระนารายณ์จึงแบ่งภาคลงมาอวตารเป็นนักบวช นุ่งผ้าย้อมฝาดสามพื้น โกนศีรษะโล้นรูปร่างสง่างามน่าเลื่อมใสเดินอย่างสวมรวมไปทางตรีปุรัม ตรีปุรัมเห็นดังนั้นก็เลื่อมใสจึงเข้าไปสนทนาด้วย นักบวชก็สำแดงธรรมว่ากล่าวให้ตรีปุรัมหลงกลยอมถอดศิวลึงค์ออกมาถวายนักบวชและยอมรับนักบวชเป็นสรณะ เมื่อนักบวชไปแล้วตรีปุรัมก็ยกพลไปรบอีกแต่คราวนี้ตนเพ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเสียพรประกาศิตจากพระศิวะไปแล้ว พระศิวะจึงใช้กล้องส่องจากดวงเนตรที่สามถูกยักษ์ตรีปุรัมสลายหายไปในพริบตา
นั้นคือเนื้อความตามลิลิตนารายณ์สิบปาง แต่ในคัมภีร์ของฮินดูกล่าวไว้ว่าทรงอวตารมาเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อปราบพญาวัตสวัสตีมาร และล่อลวงคนที่เข้ามาเชื่อถือละทิ้งพระเจ้าให้ตกนรก ซึ่งเนื้อความข้อนี้เป็นที่ถกเถียงกันมายาวนานของชาวพุทธและฮินดู ชาวพุทธยืนยันว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่ภาคอวตารของพระนารายณ์เพราะศาสนาพุทธไม่มีการอวตารและยืนยันให้ชาวฮินดูแก้ไขภาคอวตารนี้ใหม่ แต่ชาวฮินดูกลับนิ่งเฉยทั้งยังกล่าวว่าพุทธเป็นสาขาหนึ่งของฮินดูเป็นบทลงโทษต่อบาปของพระนารายณ์ จึงกลายเป็นปัญหาคาราคาซังไม่มีที่สิ้นสุด ผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ได้ศึกษากรณีนี้และลงความเห็นว่าแต่ก่อนปางที่เก้าของพระนารายณ์คงไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่อาจเป็นปางอื่นแต่การเปลี่ยนมาเป็นพระพุทธเจ้า เป็นเพราะเรื่องการเมืองแก่งแย่งความเคารพนับถือในอินเดียมากกว่าเรื่องอื่นโดยการเขียนตำนานเทพเพื่อสนับสนุนเรื่องนี้เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่เขียนตำนานเทพสนับสนุนฐานะของสมเด็จพระจักรพรรดิ โดยในสมัยพุทธกาลมีชาวอินเดียหันมานับถือพระพุทธศาสนามากจนศาสนาฮินดูดูลดลำดับความสำคัญบางพื้นที่ก็ถูกทอดทิ้งเลยที่เดียว แม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วก็ไม่ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างไร ยิ่งอินเดียอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโมรินะซึ่งมีพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นกษัตริย์ยิ่งทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก
แม้สิ้นยุคโมริยะเข้าสู่ยุคกนิษกะก็ยังไม่สามารถรื้อฟื้นอำนาจของศาสนาฮินดูกลับมาได้
จนถึงสมัยพระเจ้าราชะราชา แห่งราชวงศ์ฝ่ายใต้ผู้มีศรัทธาในพระนารายณ์เป็นอย่างมากขึ้นมามีอำนาจบนแผ่นดินอินเดียได้ทรงยกเลิกศาสนาพุทธแต่ก็ไม่สามารถกลืนกินชาวพุทะได้ จึงทรงมีดำริที่จะกลืนชาวพุทธให้เข้ามาเป็นฮินดูอีกครั้งด้วยการเขียนตำนานอวตารปางที่เก้าของพระนารายณ์ใหม่ซึ่งอาจเป็นสมัยนี้เองที่พุทธาวตารถือกำเนิดขึ้น โดยกล่าวอ้างว่าพระพุทธเจ้าแท้จริงเป็นเพียงภาคหนึ่งของพระนารายiiณ์
พระนารายณ์และเหล่าเทพฮินดูยังคงยิ่งใหญ่เหมือนเดิม ผนวกกับเวลานั้นศาสนาพุทธเสื่อมลงแตกเป็นนิกายต่างๆมากมาย คนก็เริ่มหมดศรัทธาพระศาสนาพุทธสอนในสิ่งที่เป็นปรัชญายากต่อการทำความเข้าใจ
ทั้งยังไม่ตอบโจทย์ของการมีชีวิตอยู่ของชาวอินเดียที่เรียกได้ว่ายากจนค้นแค้นปากกัดตีนถีบ
ศาสนาฮินดูที่เน้นปาฎิหาริย์และพิธีกรรมจึงเข้ามามีบทบาทยิ่งมาการกล่าวถึง
พระพุทธเจ้าในทางเป็นอวตารของพระนารายณ์ด้วยแล้วยิ่งทำให้ผู้คนกลับมานับถือศาสนาฮินดูมากยิ่งขึ้น
นี้จึงเป็นสาเหตุของการมีอวตารปางที่เก้าคือ พุทธาวตาร นั้นเอง
|