ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 4278
ตอบกลับ: 5
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หนังสือ ประวัติ พระครูสุทธิธรรมรังษี หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท

[คัดลอกลิงก์]
หญิงเทวดาแกล้ง
เรือนทรงเมืองเหนือที่เจ้าแม่จามเทวีทรงสร้าง ประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ในถ้ำช้างร้อง
เรือนหลังเล็กอีกหลังหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปบ้างในถ้ำ
อีกเหตุการณ์หนึ่งในวันต่อมาอีก พระเณรทำงานปรับปรุงตกแต่งถ้ำ  กลางวันอากาศร้อนอบอ้าวจึงพากันไปโดดน้ำ ตูม ๆ ๆ วิ่ง...พุ่งหลาว...กระโดดตูม ๆ  อย่างสนุกสนานตรงหน้าถ้ำ ท่าน้ำมีแพเป็นที่พักสำหรับพระเณร
ในคืนวันนั้น  ดึกสงัดใกล้รุ่งสาง ธาตุขันธ์ละเอียดเหมาะแก่การภาวนา พระรูปเดิม  ท่านตื่นจากจำวัดเข้าที่ภาวนา ปรากฏเห็นแม่หญิงเทวดาตนเดิม เข้ามาในจิตภาวนา  แต่มาในร่างใหญ่แก่หงำเหงือก นางเข้ามาหาแล้วพูดว่า
“พระคุณเจ้า...พระเณรอะไร วิ่งพุ่งหลาวกระโดดน้ำตูม  ๆ ไม่มีสมณสารูปเอาซะเลย ไม่เรียบร้อยฉันไม่ชอบเลย บอกให้เขาหยุดนะ  ถ้าไม่หยุดจะทำให้แพแตก พวกท่านจะอยู่ไม่เป็นสุข จะต้องถูกปองร้าย”
นางกล่าวแล้วก็สะบัดหน้าหนีแบบไม่หยี่หระ  แล้วก็อันตรธานหายไป
พอรุ่งเช้า  ได้เวลาเตรียมตัวจัดอาสนะที่เรือนแพอันเป็นโรงฉันน้อย ๆ  เตรียมจัดบาตรเพื่อขึ้นเรือออกบิณฑบาตกับชาวประมงที่อาศัยแพเป็นบ้านที่อยู่ห่าง ๆ  วัน เมื่อบิณฑบาตกลับมาจัดทำภัตตกิจท่านจึงกล่าวว่า
“ต่อไปนี้ห้ามพระเณรกระโดดน้ำหน้าถ้ำ  เดี๋ยวเทวดาจะแกล้งเอา”
พูดเพียงเท่านั้น  พระเณรบางรูปอาจจะไม่เชื่อ เพราะถ้าตั้งใจพูดตักเตือน  เดี๋ยวหมู่เพื่อนพระจะหาว่าขี้คุย ขี้โม้
เมื่อท่านพูดเป็นเชิงเตือน พระเณรบางรูปไม่เชื่อฟัง เพราะคิดว่าเพียงแค่อาบน้ำ  ไม่น่าจะมีปัญหากับเทพยดาฟ้าดินที่ไหน วันหลัง ๆ มา ก็พากันวิ่งพุ่งหลาว  กระโดดน้ำตูม ๆ อยู่เหมือนเดิม  วันนั้นเองเรือนแพอันเป็นที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมด เกิดแตกเอียงคว่ำจะล่ม  พระเณรที่อยู่บนเรือนแพนั้นก็เกิดทะเลาะวิวาทบาดหมาง  แตกความสามัคคีกินแหนงแคลงใจกัน อยู่ร่วมกันไม่เป็นที่สุขใจ
พอตะวันลับไป  รุ่งสางวันใหม่ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีก  มีไอ้ขี้เมาคนหนึ่งแล่นเรือมาที่ถ้ำ มาพูดจาเอะอะโวยวาย  ด่าว่าพระเณรด้วนคำพูดเสียหายหยาบคาย พระเณรก็ดุไล่ให้เขาหนีไป  เขาหนีไปด้วยความเจ็บใจที่พระเณรไม่ต้อนรับ เหตุเพียงพระเณรไม่ต้อนรับ  เขาน่าจะเสียใจธรรมดาเท่านั้น ไม่เลย เขาเสียใจร้องไห้ฟูมฟายอย่างหนัก  ผูกอาฆาตฝังลึก เขาแล่นเรือกลับไปแพที่พัก ไปเอาปืนไรเฟิ้ลอย่างดีมา
เมื่อไอ้ขี้เมามันมาถึงถ้ำ ก็ตรงไปที่พระกำลังเดินจงกรมอยู่หน้าถ้ำ  ยิงปืนใส่หวังหมายฆ่าทันที เสียงปืน ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! หลายๆ นัด รัวๆ ติดกัน  ทำเอาพระเณรที่อยู่ในถ้ำหรือบริเวณรอบๆ มุดตัวหลบซ่อนกันใหญ่  แต่เดชะ...ด้วยอำนาจพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ  ปืนที่ยิงกระหน่ำใส่พระรูปที่เดินจงกรมอยู่นั้น ไม่โดนผิวให้ระคายแม้แต่นัดเดียว
พระเณรทั้งหลายที่มาภาวนาหวังฆ่ากิเลสคว่ำวัฏฏวน หนีให้พ้นการท่องเที่ยวในวัฏฏสงสาร  มารวมตัวสนทนากันพักใหญ่
“นี่มันอะไรกัน” พระรูปหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อน
“วันๆ มีแต่เรื่องแต่ราวี  มาอยู่กลางป่ากลางเขาอดอยากทุกข์ทรมาน เพื่อหาธรรมนำตนให้พ้นภัย  นี่อะไรมีแต่เรื่องให้ขุ่นข้องหมองใจอยู่ไม่วายเว้น เดี๋ยวก็เรื่องโน้น  เดี๋ยวก็เรื่องนี้ นี่อยู่ดีๆ ก็มีคนขี้เมาจะเอาปืนมาฆ่าพระ โอ๊ย!...  อยู่ไม่ได้แล้วทีนี้ ขืนอยู่ไปจะต้องบ้าตายก่อนได้ธรรมอย่างแน่นอน”
“ผม ผมบอกพวกท่านแล้วว่า อย่ากระโดดน้ำหน้าถ้ำ  เทวดาเขาไม่ชอบพวกท่านก็ไม่เชื่อ”
พระรูปที่นิมิตเห็นเทวดากล่าวขึ้น  พระทั้งหลายที่นั่งฟังอยู่บางองค์ก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง  เพราะเกิดมาไม่เคยเห็นเทวดาซักที
ยักษ์ดำผู้มาช่วยเหลือ
ในคืนวันที่โกลาหลนั้น  พระรูปเดิมท่านเข้าที่ภาวนาอย่างที่เคยทำมาอยู่ประจำพิจารณาธาตุขันธ์ส่วนต่าง ๆ  แยกแยะอย่างที่พระอาจารย์เจี๊ยะสอน จนกระทั่งจิตรวมใหญ่  จากหัวค่ำจนกระทั่งเกือบรุ่งเช้า เมื่อถอยจิตออกมาขั้นอุปจารสมาธิเห็นยักษ์ตนหนึ่ง  ตัวดำมะเมื่อม ในนิมิตภาวนานั้น มีลักษณะคล้ายคน แต่รูปร่างโตกว่าคน  แสดงอาการรักใคร่เหล่าพระเณร เคารพนบนอบ เข้ามาแสดงคารวะด้วยการกราบแล้วพูดว่า
“พระคุณเจ้า! ผมเป็นลูกศิษย์ท่านพ่อลี  ถูกท่านพ่อลีทรมาน อบรมสั่งสอนมาในทางศาสนา หวังว่าจะมารับใช้พระคุณเจ้า  ขอพระคุณเจ้าโปรดเมตตา”
เขาพูดเสร็จก็นั่งพับเพียบลงราบพื้น พนมมืออยู่โดยตลอด ภิกษุรูปนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า
“ไอ้ดำ  ตอนนี้พวกอาตมาที่เข้ามาอาศัยถ้ำเป็นที่ภาวนานั้นกำลังได้รับความทุกข์  เพราะมีหญิงเทวดาตนหนึ่งคอยกลั่นแกล้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เจ้าดำ...เจ้าพอจะช่วยเราได้ไหม”
เขาแสดงอาการนิ่งเป็นเครื่องบ่งบอกว่าตอบรับในภารกิจที่ได้มอบหมาย
เช้าวันต่อมา  พระเณรทั้งหลายต่างออกบิณฑบาตพร้อมพรั่ง  นั่งเรือล่องบิณฑบาตกับชาวแพก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอีกครั้งหนึ่ง  พวกชาวแพทั้งหลายเกิดแตกคอทะเลาะกัน จะฆ่าพวกเดียวกันเอง เมาหยำเป ใช้ปืนไรเฟิ้ล  ปืนลูกซองยิงกัน มีแต่ปืนชนิดดีๆ ทั้งนั้น  ไอ้คนที่ไปยิงพระกลับถูกเขาไล่ยิงหนีตายมาทางแพที่พระจอดหรือกำลังรับบาตรอยู่  แม่ของมันวิ่งมาคว้าจีวรพระ
“พระ..ช่วยด้วย ๆ ” เขาร้องลั่นให้ช่วยอยู่อย่างนั้น
“ช่วยด้วย...มันจะฆ่าลูกฉันแล้ว”
พวกพระก็จับไอ้ขี้เมาคนเดิมนั้นแหละดึงขึ้นเรือ มาที่ถ้ำช้างร้องอย่างปลอดภัย
พอต่อมาภายหลังทุกๆ คนก็เคารพพระ ศรัทธาเลื่อมใส และมีนิมิตหมายอะไรดีๆ  เกิดขึ้นในทางที่เป็นมงคล เหล่าพระภิกษุสามเณรก็ภาวนาเป็นผาสุก
สายน้ำเส้นทางสู่ถ้ำช้างร้อง
นึกว่าเรื่องราวทั้งหลายจะจบลงเหมือนในภาพยนตร์ คือพระเอกได้รับชัยชนะ  แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น ดวงจิตใดก็ตามที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจกิเลส กรรมวิบาก  นั้นก็แสดงว่า ดวงจิตยังมีโลภ โกรธ หลง อิจฉา ริษยา อยู่เนืองๆ  ไม่ว่าจะน้อยหรือมากก็ตาม ภพภูมิต่างๆ ที่จิตยังไม่บรรลุถึงวิมุตติพระนิพพาน  ก็ย่อมมีอันธพาลฝังรากลึกภายในจิตเป็นธรรมดา
เมื่อพระรูปเดิมเข้าที่ภาวนาทั้งกลางวันกลางคืน  จะเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเสียแล้ว นั่งก็เห็น ยืน เดิน นอน ก็เห็น  เสมือนว่า เป็นปกติธรรมดาเหมือนมนุษย์ทั่วไป  เพราะธรรมชาติของจิตเป็นธรรมชาติรู้ในสิ่งที่ละเอียด  ธรรมชาติของตาเป็นธรรมชาติที่มองเห็น ธรรมชาติของหูเป็นธรรมชาติได้ยินเสียง  ธรรมชาติของลิ้นก็จะรู้รสซาติต่างๆ นี้เป็นหลักธรรมชาติที่เป็นกลาง ไม่เอนเอียง  ถ้าผิดปกติจากนี้เรียกว่า ผิดธรรมชาติ
ธรรมชาติของร่างกาย ก็สามารถจับยกสิ่งต่างๆ ได้ตามประสงค์  ธรรมชาติของวาจาก็พูดให้ได้ยินเสียง แต่ธรรมชาติของใจเป็นธรรมชาติรู้  ไม่มีอะไรปิดกั้นได้ ทะลุดิน ทะลุฟ้า เพราะใจเป็นนักรู้ เป็นนามธรรม  ผ่านดินหินต้นไม้ ภูเขาได้หมด นี้เป็นธรรมชาติของใจแท้ดั้งเดิม  ไม่มีอะไรจะสามารถปิดกั้น เหมือนนึกรักนึกชัง  ไม่มีใครจะมาสามารถห้ามธรรมชาตินั้นได้ เป็นธรรมมีอยู่จริง  แต่มนุษย์บุคคลที่ถูกกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ครอบงำดวงจิตปิดเสียจนมืดมิด  ก็จะไม่มีปัญญาทราบสิ่งเหล่านั้นได้เลย ประหนึ่งว่าธรรมชาติเหล่านั้นไม่มีจริง  เหมือนนรกไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมโลก พระนิพพานไม่มี ทั้ง ๆ  ที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ยืนยันเอาว่า มีอยู่จริง
อุบายของหญิงเทวดา
เมื่อพระรูปนั้นท่านเข้าที่ภาวนาด้วยอิริยาบท ๓ คือ ยืน เดิน นั่ง ภาวนา  หญิงเทวดาก็เข้ามาในจิตภาวนาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เธอมาแปลกแสดงอาการออดอ้อน  ทำเป็นมิตรเพื่อนบ้านที่ดี เป็นห่วงเป็นใยเข้ามาหา ยิ้มมาแต่ไกล กล่าวว่า
“พระคุณเจ้า!. ผู้เจริญ  ดิฉันมีกิจธุระบางอย่างจะต้องทำ จะต้องไปจ่ายกับข้าว  เพื่อนำปัจจัยสี่มาถวายพระคุณเจ้า ดิฉันขอฝากถ้ำให้พระคุณเจ้าช่วยดูแลหน่อย  ดิฉันไปล่ะเดี๋ยวจะสาย ตลาดจะปิด”
นางพูดแล้วก็ล่องหายไปในเวหา  ทำความฉงนให้พระรูปนั้นเป็นอย่างยิ่ง
“มันจะไปจ่ายกับข้าว  ยังไงว้า!” ท่านฉุกคิดขึ้นมาในใจ
“มันจะหาบมาหรือว่ามันจะซื้อกุ้งหอย ปู ปลา มาผัด  มาทอดเอง หรือว่า มันจะทำยังไง คิดแล้วชวนให้งง โว้ย!..”
ท่านอุทานฮึดฮัดขึ้นมาในใจ  จะบอกใครก็ไม่ได้ว่า
“มีเทวดามาบอกว่าจะไปจ่ายตลาด”
ช่างเถอะ...เดี๋ยวก็รู้เห็นกันไปเองว่า
“มันจะไปจ่ายตลาดยังไง”
คิดยังงี้ท่านก็เงียบเฉยนิ่งรอดูอยู่
อีกวันสองวันต่อมา  ขบวนผู้คนแห่แหน เอิกเกริกเสียงกลองยาวดังตุ้มต๊ะ ตุ้มต๊ะ ตุ้ม! ตุ้ม!  บางจังหวะก็โจ๊ะจึ่งจึ้ง จึงโจ๊ะจึ่งจึ้ง! ฟ้อนรำขับร้อง โห่ฮิ โห่ฮิ้ว!ๆ แล้วๆ  เล่าๆ ตามสายน้ำปิง ทำให้ลิงค่าง บ่างชะนี ตามลำน้ำแตกกระเจิงหนีกันไปหมด  มันคงนึกว่า สงครามโลกจะเกิด หรือไม่ก็โลกจะแตก เพราะไม่เคยมีเสียงทำนองนี้มาก่อน  หมู่มัจฉาปาณกชาติที่ดำผุดดำว่ายหากินอยู่แถวนั้น  แตกกระเจิงดิ่งพสุธาลงไปใต้ท้องธารา เพื่อรอดูเหตุการณ์ข้างบนว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เสียงนารีขับร้องฟ้อนรำก็ใกล้เข้ามาเรื่อยเหมือนพลังดูดของแม่เหล็ก  ประหนึ่งว่าจะฉุดคร่าเอาดวงใจน้อยๆ ของพระบวชใหม่ ให้ดับดิ้นไปต่อหน้าต่อตา  เพราะความเป็นผุ้ที่ยังมีอินทรีย์น้อย เยื่อใยอาลัยกับโลกอยู่ ทำให้ใจพระเต้นตึกๆ  ตามจังหวะกลองยาว แต่ไม่แสดงออกทางกาย
เมื่อขบวนเรือมาถึง  มีคนลงมาคลาคล่ำ ใส่ของมาเต็มลำเรือ เรือแทบจะหัก เสียงตีกลองร้องเพลง  ดังลั่นสนุกสนานกัน ตามสายน้ำปิงอยู่อย่างนั้น เขาจัดขบวนแห่มาอย่างสวยงาม  ปานประหนึ่งว่างานเทศกาลประจำปี เขาเข้ามาแล้วก็เอาของมาถวายพระ เล่าเรื่องราวต่างๆ  ให้ฟังว่า
“ท่านอาจารย์ พวกผมฝันดีมีโชค ในฝันนั้นบอกว่า ถ้าประสบโชคดีสมหวัง  ให้มาทำบุญ ทอดผ้าป่าที่ถ้ำช้างร้อง ที่อุทยานแม่ปิง พวกผมสืบเสาะแสวงหารู้  ก็ได้จัดมาถวายท่านที่นี่”
จากนั้นมาพระไม่เป็นอันอยู่เป็นสุขในการภาวนา ไกลแสนไกลคนก็มา มาจากที่ต่างๆ  มาด้วยความหวังแปลกๆ พระถ้ำช้างร้องดังกระหึ่มใหญ่
“เอาอีกแล้ว...  เป็นเรื่องอีกแล้ว พวกเราไม่ได้อยู่เป็นสุข เหมือนเจตนารมณ์เดิมที่จะออกจากโลกสงสาร  คนพลุกพล่านไปมายังกะในเมือง ไม่สงบ เอาอีกแล้ว มันดลบันดาลอีกแล้ว  ต้องเป็นอีหญิงเทวดาแก่นี้แน่ที่เล่นงาน กลั่นแกล้งพระอีกแล้ว  มันบอกว่าจะไปจ่ายตลาด นี่แสดงว่ามันไปจ่ายตลาดมาแล้ว  ข้าวของที่ถ้ำนี้จึงแทบไม่มีที่ปลงวาง  มันมาแผนใหม่เพราะแผนเก่าที่มันเคยใช้ไม่ได้ผล มันเป็นเทวดาอหังการไม่ยอมใคร”
พระรูปดังกล่าวท่านรำพึงรำพันร่ำๆ ภายในใจ
นิมนต์หลวงปู่เจี๊ยะไปปราบเทวดา
เรื่องผู้หญิงที่เป็นเทวดาอารักษ์เฝ้าถ้ำนี้ ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตาก็เห็น  ส่วนภายนอกบริเวณถ้ำนั้น ก็เห็นเช่นเดียวกันเยอะแยะไปหมด
ในที่สุดเมื่อพวกพระต่อสู้ไม่ไหว และไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีกในวันข้างหน้า  จึงไปนิมนต์ท่านอาจารย์ใหญ่ (หลวงปู่เจี๊ยะ) มาเพื่อปราบผีและเป็นสิริมงคล
โดยไปกราบเรียนพระอาจารย์เจี๊ยะว่า
“ท่านอาจารย์ครับ พวกผมไปภาวนาไปอยู่ถ้ำ  ต่อสู้กับภุมเทวดาไม่ไหวแล้ว เนี่ยอะไร เยอะแยะกว่าคนอีก”
เมื่อท่านรับทราบดังนั้นท่านจึงเดินทางมาที่ถ้ำช้างร้อง  เพราะปกติท่านก็เป็นพระที่ชอบอยู่ตามถ้ำ ในป่าลึกๆ มีน้ำท่าสะดวกสบาย  บรรยากาศที่ถ้ำช้างร้องก็เป็นดั่งที่ท่านต้องการ
เมื่อพระอาจารย์เจี๊ยะเข้ามาถึงถ้ำช้างร้องในตอนพลบค่ำ ท่านเข้าที่จำวัด  ก่อนนอนนั่งภาวนา ปฏิบัติเป็นวิหารธรรม อยู่ในถ้ำสบายๆ  ส่วนพระองค์ที่ไปกราบนิมนต์ท่านมา แอบนึกภายในใจว่า
“เอาเลยมึงอีแก่!  ทีนี้จะแสดงฤทธิ์เดชอะไร เอาเลย อาจารย์ใหญ่ของพวกเรามาแล้ว  มึงแสดงให้เต็มที่เลยนะ”
พอตอนเช้าเท่านั้นแหละพระอาจารย์เจี๊ยะก็พูดขึ้นว่า
“หมู่เอ้ย!...  เมื่อคืนนี้มีหญิงที่เป็นภุมเทวดาเจ้าที่คนหนึ่งเข้ามากราบ นุ่งขาวห่มขาว  แต่งตัวเรียบร้อย กิริยาที่กราบงดงามมาก สถานที่นี่เป็นสิริมงคลดีนะ น่าอยู่”
ท่านพูดแสดงอาการรื่นเริงในธรรมและรมณียสถาน
สำหรับพระอาจารย์เจี๊ยะแล้วเขาลงใจทุกอย่าง แต่กับพวกเราเขาไม่เคารพเลื่อมใสเลย  พวกเราก็รู้อยู่ในใจว่า เขาพยายามจะทดสอบอะไรบางอย่าง  ที่เขาไม่เคารพเลื่อมใสคงเป็นเพราะเราไม่ถึงธรรมอย่างพระอาจารย์เจี๊ยะท่าน  เขาจึงแสดงกิริยาผิดกันราวฟ้ากับดิน
บันดาลให้ฟ้าผ่า
หลวงปู่เจี๊ยะโดยสารเรือไปถ้ำช้างร้อง
เทวดานี้เขาก็เหมือมนุษย์นั่นแหละ เวลาจะนับถือพระรูปใด  หรือจะเอาพระรูปใดเป็นอาจารย์เขาต้องดูให้ดีและต้องทดสอบดูก่อน เรียกว่ามาเหล่ดู  ถ้าเขาไม่ชอบก็นินทาเอาเลยเหมือนกัน เรื่องนี้พูดให้ใครฟังเขาก็ว่าบ้าทั้งนั้น  เพื่อนพระก็เหมือนกัน เมื่อเป็นดังนั้นจึงต้องทดสอบเพื่อลดความบ้าลง  คือลดสิ่งที่คนอื่นเขาคิดว่าเราเป็นบ้าลง จึงให้เณรเขียวไปจุดธูปแล้วอธิษฐาน  เณรก็ได้อาสาไปทำตามนั้น เข้าไปกราบพระจุดธูปแล้วอธิษฐานจิตว่า
“ถ้าถ้ำช้างร้องนี่มีเทวาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์จริงขอให้แสดงอภินิหารเป็นที่ประจักษ์”
เมื่อจุดธูปเทียนได้ไม่นานนัก ฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ ฟ้าผ่าลงกลางแม่น้ำหน้าแล้ง ๆ  ไม่มีเค้าฝน เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! สายฟ้าแลบ แปล๊บ! ๆ สายฟ้าฟาดเปรี้ยง!  ลงกลางแม่น้ำ ทั้ง ๆ ที่อากาศปกติ ฟ้าจะแลบก่อนแล้วก็ผ่าเปรี้ยง!!!!  เปรี้ยง ๆ ๆ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว น้ำกระเซ็น กระเด็น กลางแม่น้ำหน้าถ้ำ  เหตุการณ์นี้ทุก ๆ คนเห็นประจักษ์จึงต้องยอมรับโดยดุษฎี
พระองค์หนึ่งตะโกนขึ้นด้วยความพลั้งเผลอตกใจว่า “ว้าย! ผีมีจริง เทวดามีจริง หวื้อ!!! น่ากลัว”
ตั้งแต่พระอาจารย์เจี๊ยะก้าวเท้าเหยียบแผ่นดินแผ่เมตตา  จึงสงบสุขตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
นี้แหละความวิเศษของพระพุทธศาสนา ให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นเรื่องบาป เรื่องบุญ นรก  สวรรค์ พระนิพพาน ตลอดจนเทวบุตรเทวดามีจริง จะได้ไม่หลงระเริงเที่ยวสนุกสนาน  ทำแต่ความชั่วชนิดที่ไม่มีวันกลัวตาย หรือบางคนหลงถึงขนาดคิดว่า ตายแล้วสูญ  
ถ้ำเล็กๆ  ที่หลวงปู่ใช้นั่งปฏิบัติธรรมที่ถ้ำช้างร้อง
ตอนที่อยู่ถ้ำช้างร้องนั้น  นอกจากแม่เฒ่าที่เป็นอารักษ์อยู่ที่นั่นแล้วบางทีบางคืนยังมีกายทิพย์  เป็นสัตว์วิเศษชนิดต่างๆ มาเยี่ยมกราบพระอาจารย์เจี๊ยะ และบินมาทักทายในนิมิตภาวนา  เป็นพวกครุฑ เขาจะบินมาจับบนหลังถ้ำตัวใหญ่มาก นานๆ เขาจะมาทีหนึ่ง  เขาเข้ามากราบเรียนว่าเป็นลูกศิษย์ท่านพ่อลี เขาเคารพท่านพอลีมาก
วันไหนที่เขามา  ตอนเช้ามันจะมีเหตุแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ งูจะต้องตาย งูเขียวหางไหม้  หรืองูชนิดต่างๆ เอาเป็นว่าต้องมีงูตาย ถ้าวันไหนครุฑมาตอนกลางคืน  วันนั้นต้องมีงูตาย
บางทีได้กระซิบเณรเขียวว่า เณรเมื่อคืนนี้มีพญาครุฑมา ถ้าพญาครุฑมาต้องมีงูตาย  เพราะทุกๆ ครั้งที่เขามาต้องมีงูตาย อันนี้ก็ไม่ทราบสาเหตุว่าเป็นเพราะเหตุใด  เมื่อพญาครุฑมางูจึงต้องตาย
เณรเขียวนั้นก็รู้สึกว่าจะไม่ค่อยเชื่อ อันนี้จึงต้องมีการพิสูจน์  คืนไหนพญาครุฑมาต้องรีบบอกเณรก่อนว่า เณรคืนนี้พญาครุฑมาแล้วนะ  เณรคอยดูนะจะมีงูตายรึเปล่า เณรไปดูก็มีงูนอนตายอยู่ในถ้ำ ไม่มีรอยแผล  รอยถูกตีหรือถูกจิก งูก็ตายไปเฉยๆ อย่างนั้นเอง  ต่อมาทั้งพระทั้งเณรก็เชื่อและเคารพในคุณธรรมของพระอาจารย์เจี๊ยะอย่างสนิทใจ  ออกจากถ้ำช้างร้องแล้ว ท่านก็เดินทางกลับไปยังวัดอโศการาม
พรรษาที่ ๔๘ -๖๘ (พ.ศ. ๒๕๒๗ - ๒๕๔๗ มรณภาพ)
จำพรรษาที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม
ณ วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม บ้านคลองสระ ตำบลคลองควาย อำเภอสามโคก  จังหวัดปทุมธานีภายในขอบเขตแห่งขัณฑสีมา อารามแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔  โดยคณะศรัทธาได้ถวายที่ดินแก่หลวงตามหาบัว ญาณสมปนฺโน  หลวงตาได้นิมนต์หลวงปู่เจี๊ยะมาอยู่เป็นเจ้าอาวาส
จากท้องทุ่งป่าสนใบดกหนาสี่เหลี่ยมผืนผ้านี้ รายรอบด้วยทุ่งนาเขียวขจี  ได้กลายเป็นอารามป่ากรรมฐานใกล้เมืองกรุงฯ  ที่ร่มรื่นอบอวลไปด้วยกลิ่นศีลธรรมของสมณะศิษย์กรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น  และกลิ่นแมกไม้นานาพันธุ์น้อยใหญ่ที่ปลูกขึ้นรายรอบทั่วบริเวณ ๑๔๖ ไร่ ๓ งาน ๘๘  ตารางวา
ภาพแห่งพระมหาเถระผู้เฒ่า พูดจาเสียงดังฟังชัดออกกิริยาท่าทางไร้มารยา  นัยน์ตามีแววมุ่งมั่นรูปหนึ่ง ซึ่งทุกคนเรียกติดปากว่า  “หลวงปู่เจี๊ยะ” นั่งสนทนาธรรมกับสานุศิษย์เพียงไม่กี่คนใต้กุฏิเพิงหญ้าหลังเล็ก ๆ  มีจีวรเก่ากั้นเป็นฉากหลัง... นี่คือ สมณานญฺจ ทสฺสนํ  การเห็นสมณะผู้สงบสันโดษ เป็นมงคลอย่างสูงสุด
เสียงเทศนาธรรมของท่านกล่อมเกลาจิตใจสานุศิษย์...วันแล้ว...วันเล่า มิได้ขาด
ในกาลต่อมา ตำนานชีวิตของท่านเริ่มมีผู้เล่าขาน เมื่อหลวงตามหาบัวได้กล่าวชมยกย่องสรรเสริญว่า “เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง เป็นเพชรน้ำหนึ่ง” ที่หาได้โดยยากยิ่ง
ประชาชนญาติโยม  ที่ทราบเรื่องจากทิศานุทิศ ต่างหลั่งไหลมาทำบุญและสนทนาธรรมไม่ขาดสาย  ด้วยความเมตตาต่อสัตว์โลกอันไม่มีประมาณ ท่านจึงดำริสร้างกุฏิ ศาลาปูนหลังพอประมาณ  ใช้ทำกิจสงฆ์และสำหรับต้อนรับประชาชนญาติโยมที่มาทำบุญและปฏิบัติธรรม จากอารามเล็กๆ  จึงกลายเป็นอารามที่ใหญ่โต
ศาลาวัดป่าภูริทัตตปฏิปทารามนั้นเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน  ภาพบูชาของพระบูรพาจารย์คือ ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ท่านพระอาจารย์มั่น  ภูริทตฺโต พระอาจารย์ตื้อ อจลธมฺโม พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พระอาจารย์ขาว อนาลโย  ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
ด้านข้างศาลามีโรงไฟ สำหรับซักย้อมจีวร ฉันน้ำปานะฯลฯ  ถัดจากนั้นไปทางด้านทิศใต้เป็นที่อยู่ของพระภิกษุ  ทางด้านทิศตะวันออกเป็นโรงครัวและเขตอุบาสิกาที่เข้ามาพักปฏิบัติธรรม
ด้านหน้าศาลาเป็นที่ตั้งของภูริทัตตเจดีย์ เป็นเจดีย์แปดเหลี่ยมสร้างด้วยหินอ่อน  ภายในปูด้วยหินแกรนิต ยอดทำด้วยทองคำ อันงามสง่าควรค่าแก่การบูชาของเทวดา  และมนุษย์ทั้งหลาย บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระทันตธาตุของท่านพระอาจารย์มั่น  ภูริทตฺโต มีหินแกะสลักรูปพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต  และของหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ที่ลูกศิษย์สร้างถวาย
มีพระสงฆ์มาจำพรรษาอยู่กว่า ๓๐ รูป ต่างผลัดเวรกันมาดูแลทำความสะอาด  พระรูปใดที่ไม่มีหน้าที่ หลังจากฉันเช้าเสร็จแล้ว  จะไปปฏิบัติธรรมอยู่ในกุฏิที่ปลูกอย่างเรียบง่ายในป่า ห่างกันพอประมาณ
กุฏิสงฆ์ภายในวัดแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท
๑.  กุฏิแบบถาวรเพื่อต้อนรับพระเถระที่ชราภาพ  และสำหรับพักฟื้นพระอาพาธที่เดินทางจากต่างจังหวัดมารับการรักษาที่กรุงเทพฯ
๒.  กุฏิแบบเรียบงาย พอแกการบังแดด ลม ฝน ขนาดกว้างยาวเพียงพอแก่การอยู่เพียงรูปเดียว  ฝาผนังใช้ผ้าจีวรเก่ากางกั้น น่าศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง
ทุกกุฏิจะมีทางจงกรมอย่างน้อย ๑ เส้น ยาวประมาณ ๒๕ ก้าว  อยู่ใต้ร่มไม้สนดูร่มเย็นเป็นลานทางปราบกิเลสตัวขี้เกียจขี้คร้าน  อานิสงส์ของการเดินจงกรมคือ ทนต่อการเดินทางไกล ทนต่อการบำเพ็ญเพียร มีอาพาธน้อย  ย่อยอาหารได้ดี ทำสมาธิได้นาน
หลวงปู่นั่งบนแคร่ใต้ต้นสนที่ท่านใช้เป็นหอฉันเมื่อเริ่มสร้างวัดป่าภูริทัตฯ
กุฏิแต่ละหลังห่างกันพอประมาณ มีคูน้ำกางกั้น  เพื่อให้สัปปายะเหมาะแก่การบำเพ็ญสมณะธรรม...พบอริยะธรรม
กิจวัตรประจำวันของพระสงฆ์ที่นี่ คือ ยามเช้าก่อนออกบิณฑบาต พระภิกษุสามเณร  ขัดถูปัดกวาดศาลาและบริเวณรอบ ๆ ส่วนพระคิลานุปัฏฐากประมาณ ๘ รูป  ก็ผลัดเปลี่ยนกันดูแลหลวงปู่เจี๊ยะในยามอาพาธ มิให้ขาดตกบกพร่อง
ในเวลาบ่ายโมง  พระเณรทั้งหมดมารวมฉันน้ำปานะ บ่ายสามโมงเย็น ทำข้อวัตรปัดกวาดเสนาสนะ  ขัดถูกุฏิศาลา บริเวณวัด หน้าวัด ทำความสะอาดห้องน้ำห้องส้วมอย่างพร้อมเพรียงกัน  และกิจวัตรประจำวันที่สำคัญยิ่ง คือการนั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรม  สร้างสติปัญญามีความเพียรกล้า หาทางแผดเผากิเลสด้วยวิธีการต่าง ๆ  ตามที่หลวงปู่เจี๊ยะสั่งสอน  เพื่อดับไฟคือความรุ่มร้อนกระวนกระวายภายในจิตใจให้เหือดแห้งไป
หลวงปู่เจี๊ยะท่านจะสอนพระเณรอยู่เสมอว่า
“...พระหัวโล้น  ๆ ถ้าสั่งสมจีวรสังฆาฏิ ข้าว น้ำ อาหาร ฯลฯ ไว้มาก ๆ  เท่ากับพยายามสั่งสมข้าศึกให้กับตัวเอง ชีวิตพระควรอยู่อย่างบางเบา  ไม่ควรมีอะไรเป็นเครื่องกังวล การภาวนาฆ่ากิเลสให้ตายไปจากใจสำคัญที่สุด”
ความเงียบสงบ  และเสียงใบสนต้องลมดังหวิว ๆ คือ บรรยากาศของวัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม  ที่มีหลวงปู่เจี๊ยะเป็นเจ้าอาวาส
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jea/lp-jea-hist-01-18.htm
หลวงปู่เจี๊ยะขณะทำงานที่วัดป่าภูริทัตปฏิปทาราม
หลวงปู่ไปเอาไม้แก่นขามที่ล้มอยู่ข้างศาลเจ้า จ.ราชบุรี
สาธุครับ ขอบคุณครับ
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-3-15 12:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

                                 

หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก
จ.ปทุมธานี พระสุปฏิบันโนที่ควรแก่การบูชา


โดย รณธรรม ธาราพันธุ์

ในกระบวนศิษย์ยุคเก่าก่อนรุ่นหลวงปู่มั่นปั้นมากับมือ  นับวันก็มีแต่ถอยถดหดหายไป  บางองค์“นิพพาน” จากไป บางองค์ก็ “ละสังขาร” จากไป  แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใดแทบทุกองค์ก็ล้วนเป็นพระแท้ทั้งสิ้น  ยุคปัจจุบันนอกเหนือจากหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด  อ.เมือง จ.อุดรธานี ผู้ที่หลวงปู่มั่นออกปากว่า “เอาท่านมหานี่แหละ เป็นที่พึ่งของหมู่คณะต่อไป” แล้วองค์หนึ่ง  ก็คงมี หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท นี่แหละครับที่อยู่ใกล้ชาวกรุงมากที่สุด  อีกทั้งเป็นพระที่กราบได้สนิทใจ

ก้อที่ท่านมาอยู่วัดป่าภูริทัตตฯ หรือ "วัดสน" ทุกวันนี้  ไม่ใช่เพราะ “ท่านมหา” ของหลวงปู่มั่นขอเอาไว้ดอกหรือ ไม่อย่างนั้นพระแท้ที่ประเสริฐในข้อวัตรปฏิบัติ พระผู้วิสุทธิจิต คงไม่มานั่งเป็นนาบุญอันเลิศให้คนกรุงคนใกล้ได้ต่อบุญเช่นนี้หรอก  ท่านกลับบ้านเกิดที่เมือง “จันทบูร”  ไปนานแล้ว ถ้ากลับจริงก็สบายผม  เพราะผมคนชลถึงจะไม่มี “ฮิ” เหมือนคนจันท์ก็เหอะ

หลวงปู่เจี๊ยะท่านบวชอยู่กับ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศกราราม ขณะที่ท่านพ่อลีไปสร้างวัดป่าคลองกุ้งเอาไว้ที่เมืองจันท์ จากนั้นท่านจึงค่อยธุดงค์ไปอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น  จึงไม่น่าแปลกใจที่หลวงปู่เจี๊ยะจะมี  “จิตตานุภาพ” ที่ล้ำลึก  มีธรรมเทศนาที่แน่นอนฉาดฉานกระทบใจ   เร่งเร้าให้ศิษย์เกิดความทะยานอยากในการปฏิบัติธรรม

คุณธรรมที่แน่นอนของท่านเคยกระแทกเปรี้ยงเข้าที่หน้าผมหลายครั้ง  เช่น  คราวหนึ่งผมไปกราบท่านที่วัด  คุยไปได้สักพักผมก็ออกปากขอไม้หมอ(ไม้สีฟันพระป่า)ของท่าน  แต่ท่านไม่ให้ ท่านว่า

“เอาไปทำไม  ของสกปรก”  

เมื่อท่านเห็นผมสลดเพราะพลาดหวัง  ท่านจึงบอกว่า  

“เอาเหรียญอาจารย์ของเราดีกว่า”

แล้วท่านก็ค่อย ๆ เดินไปหยิบโลหะดำ ๆ มาสองอัน  เข้าใจว่าท่านจะให้ผม 1 เหรียญ  และให้เพื่อนที่ไปด้วยอีก 1 เหรียญ ผมก็นั่งคิดว่าผมไม่อยากได้เล้ยเหรียญขององค์อื่น  ผมอยากได้รูปท่าน อยากได้ “พลัง” ของท่านต่างหาก

เมื่อท่านกลับมาถึง ท่านก็นั่งลงบนตั่งแล้วยกเหรียญทั้งสองอันขึ้นมาไว้ในลักษณะ  “เพ่ง”  ผมนึกรู้ทันทีว่าท่านกำลังอธิษฐานจิตให้ ใจช่างคิดมันก็สรุปเอาว่า  โฮ้ย! อธิษฐานให้อย่างนี้คงเป็นเหรียญตาย  ไม่ทันเจ้าของเก่าปลุกเสกแน่ ไม่อย่างนั้นหลวงปู่คงไม่  “ซ้ำ" ให้อย่างนี้หรอก  เพราะธรรมเนียมพระป่าเมื่อครูบาอาจารย์เสกแล้วศิษย์มักไม่เสก “ซ้ำ”  อีก...คิดเพียงเท่านี้

ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงที่ผมทันที

“อ้าว! นี่เหรียญปู่ขาว นี่ทันนะ ท่านให้หลวงตาไว้ทั้งถุง  ท่านให้กับมือนะ ดูสิ...ดูหลังเหรียญ พ.ศ.18 ท่านมรณะ 26 ทันนะ ไม่ใช่ไม่ทัน”

ท่านใส่เปรี้ยง ๆ แบบไม่ยั้งตามลักษณะของท่านที่โผงผาง  เสียงดัง  และพูดจริง ท่านว่าพลางส่งเหรียญพลาง สั่งกำชับให้พลิกดูให้รู้แก่ใจ  ผมก็สะอึกสะอื้นตื้นตันใจ ปรีดาที่ได้ของดี  แต่ก็ ”โตะใจโหมะเลย”  เหมือนกัน

นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้เห็น  “อภิญญา” ของท่าน


                                 




                                 


จากนั้นผมก็กลายเป็นขาประจำของวัดสน  ไปเสมอเมื่อว่าง  ไปเพื่อสร้างบุญ  และรอคอยพระยอดธงรุ่น 2 ของท่าน  คือหลวงปู่เคยสร้างพระยอดธงไว้รุ่นหนึ่ง  เป็นการรวบรวมพระบูชาสมัยเชียงแสน  สุโขทัย  อู่ทอง ที่เก่าชำรุด  และโลหะธาตุอันทรงคุณค่าต่าง ๆ มากมายมาหล่อหลอมและเทเป็นพระยอดธง ทั้งหมดทำกันภายในวัดเป็นส่วนตัว  ไม่มีการจองไม่มีการเช่าบูชาแต่อย่างใด    บุญวาสนาใครถึงหลวงปู่ก็แจก  ท่านอธิษฐานจิตเพียงองค์เดียว แจกไปไม่นานก็มีประสบการณ์อื้ออึง

ศิษย์คนหนึ่งที่ได้รับไป  เล่าให้ผมฟังว่าเขาขับรถเก๋งไปธุระยังต่างจังหวัด  โชคร้ายเอาหนักหนา  รถเกิดประสานงาชนิด“แซนด์วิช” เขาอยู่กลาง รถที่วิ่งมาปะทะด้านหน้าเป็นรถเก๋ง  แต่ที่อัดก๊อปปี้เข้าด้านท้ายเป็นรถตู้  เขาเล่าว่ารถเขาถึงกับกระดอนขึ้นไปในอากาศก่อนที่จะหล่นตุ้บลงมาแน่นิ่ง ความเสียหายไม่ต้องพูดถึง

เละหมดสิ้นทั้งสามคัน

จำนวนคนตายและคนเจ็บผมไม่อาจจำได้  เพราะตากำลังพองอยู่กับสร้อยพระที่เขาแขวนพระยอดธงรุ่นแรกของหลวงปู่เจี๊ยะเพียงองค์เดียว  เขาบอกว่าคนทั้งรถไม่มีใครแขวนพระเลย  มีเขาคนเดียว  แต่ท่านก็แผ่บารมีไปคุ้มครองได้ทั้งคันรถ  และมีเฉพาะรถเขาเท่านั้นที่ผู้โดยสารไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลย

นี่สิแน่จริง!


                                         
                                 


เนื้อหาของพระยอดธงรุ่นนี้สวยมาก เพราะเป็นแต่โลหะเก่าแก่มาหลอมสร้าง  แม้เนื้อหาจะดูใหม่ในทีแรก แต่เมื่อเก็บไว้นานวัน เนื้อก็จะกลับดำไปเองตามธรรมชาติ  แลดูสวยซึ้งทีเดียว รุ่นแรกหมดไปนานเนแล้ว  หลายปีที่แล้วท่านก็สร้างรุ่น 2 ออกมาอีก  งดงามไม่แพ้รุ่นแรกเช่นกัน  เพราะท่านให้ศิษย์เสาะหามวลสารอย่างเดิมมาทำ และตอนนี้ก็หมดไปอีกแล้ว

                                         
                                 


ใครที่เคารพท่านอยู่แล้ว หรือกำลังจะเคารพไม่ต้องระทดท้อ  เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ท่านเมตตาอนุญาตให้ศิษย์ได้สร้างเหรียญของท่านขึ้นในวาระที่ท่านอายุครบ 82 ปี ในพ.ศ.2539  เหรียญรุ่นนี้ท่านแผ่เมตตาอธิษฐานจิตให้อย่างเต็มที่สมกับเป็นรุ่น 1

                                         
                                 


ขนาดของเหรียญก็กำลังน่ารัก  ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป  ในวันทำบุญอายุคนเข้าแถวรับแจกกันล้นหลาม  เข้าใจว่าทุกวันนี้น่าจะพอเหลืออยู่ ใครว่างก็รีบไปเถิดอย่าทำตัวเป็น “เสือปืนฝืด” อยู่เลย  ชักช้าเดี๋ยวจะอดนะครับ  ภาษิตที่ว่า  “ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม” น่ะ เขาเอาไว้ใช้เป็นบางกรณี  ในเรื่องพระเครื่องนี้ถ้า “ช้า ๆ  จะอดได้พระองค์งาม”  จ้ะ


                                 




                                 


4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-3-15 12:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วัตถุมงคลที่น่าสนใจอีกองค์หนึ่งก็คือ พระผงรูปเหมือนหลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต  พระมหาบูรพาจารย์แห่งวงศ์กัมมัฏฐาน  ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าหลวงปู่มีบัญชาให้ศิษย์คนใดเป็นผู้รับดำรินี้ไปสร้าง  ทราบแต่ว่ามวลสารเป็นยอด  เพราะหลวงปู่เจี๊ยะท่านเก่งในเรื่องสมุนไพรว่านยายิ่งนัก

“ยาส้ม”  ของท่านที่ได้รับการถ่ายทอดจากหลวงปู่ฝั้น อาจาโร แสดงฤทธานุภาพปราบมะเร็งและไวรัสลงตับลงกระเพาะมาอย่างฉกาจฉกรรจ์  สารพัดโรคหายหมดสิ้นเมื่อพบกับยาส้มที่หลวงปู่เจี๊ยะแจกเป็นทานออกไป  ทว่าขณะนี้ท่านไม่มีกำลังคนจะทำถวาย ท่านเองก็ทำไม่ไหวด้วยชราภาพแล้ว ยาเลยมีแจกบ้างไม่มีบ้าง ใครอ่านแล้วคิดไปขอ ถ้าผิดหวังก็อย่ามา “ตื้บ” ผมนะ ของอย่างนี้มันอยู่ที่ “วาสนา” ด้วยครับ

พระผงหลวงปู่มั่นรุ่นนี้ เชื่อขนมกินได้เรื่องคงกระพันชาตรี เพราะองค์เสกคือ หลวงปู่เจี๊ยะได้เคยนำลวดแหลมมาแทงแขนท่านดูขณะกำพระอยู่  ปรากฏเพียงรอยบางบอนเท่านั้น

ท่านเล่าแล้วก็ถามว่า  

“รู้ไหมเพราะอะไร”  

ผมเรียนว่า  “เพราะหลวงปู่ใส่ว่านสบู่เลือดผสมลงไปในพระ” (ว่านนี้มีสรรพคุณทางอยู่คงชะงัดนัก)

ท่านมองหน้าผมนิ่งก่อนจะอุทานเสียงดังว่า  

“เออ !  ไอ้เปี๊ยกมันรู้เว้ย”

ผมก็เป็นปลื้มไปเท่านั้น  ผลไม้ที่ผมชอบที่สุดก็  “ลูกยอ”  นี่แหละ



                                 


ตอนนี้วัดป่าภูริทัตตปฏิปทารามกำลังดำเนินการสร้างพระมหาเจดีย์อยู่โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บรักษาบริขารของหลวงปู่เจี๊ยะ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และที่สำคัญสุดเหนืออื่นใด คือเพื่อบรรจุ “เขี้ยว” ของท่านพระอาจารย์มั่น  ภูริทัตตมหาเถระ  ซึ่งท่านมอบให้กับหลวงปู่เจี๊ยะไว้เป็นที่ระลึกตั้งแต่ปี พ.ศ.2483


                                 


จึงพูดได้เต็มปากว่าใครร่วมสร้างบุญในการนี้ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติคงอยู่ไม่ไกล  เพราะการสร้างอุทเทสิกเจดีย์นั้นมีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ไพศาลนัก ยิ่งสร้างเพื่อบูชาคุณของพระพุทธเจ้าด้วยการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้สักการะ สร้างเพื่อบรรจุ “ทันตธาตุ” ของพระวิสุทธิสงฆ์เช่นหลวงปู่มั่น ภูริทัตตมหาเถระ และสร้างเพราะต้องการบูชาคุณของพระสุปฏิบัติดัง หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท



                                 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุญนั้นจะส่งผลโดยเร็ว ส่งผลโดยพลัน ท่านทั้งหลายอย่ารีรอในการเก็บเกี่ยวบุญอันบริสุทธิ์บริบูรณ์เช่นนี้เลย  จะไปด้วยตนเองยิ่งดี  ส่งธนาณัติไปก็ดี  เป็นบุญทั้งนั้น

ผมอยากให้ทุกท่านมีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยกรรมดี มิใช่รอโชคดีครับ...



หมายเหตุ - ขอขอบคุณคุณชาและท่านเจ้าของพระทุกท่านด้วยครับ  
http://www.navaraht.com/forum/forum15/topic1080.html
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-11-10 18:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สาธุ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้