ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3591
ตอบกลับ: 0
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

พระมูลคันธกุฏี

[คัดลอกลิงก์]

[size=85%]พระมูลคันธกุฏี หรือ “พระมูลคันธกุฏีวิหาร” ภายในอาณาบริเวณสารนาถในปัจจุบัน


พระมูลคันธกุฏี หรือ “พระมูลคันธกุฏีวิหาร”
[size=130%]ณ สารนาถ อนุสรณ์สถานแห่งการประกาศพระสัทธรรม



“พระมูลคันธกุฏี” หรือ “พระมูลคันธกุฏีวิหาร”
เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงประทับจำพรรษาแรกและพรรษาที่ ๑๒
สร้างขึ้นตรงบริเวณที่เป็นกระท่อมน้อยของเศรษฐีใจบุญ
ที่ได้อุทิศสถานที่แห่งนี้เพื่อสร้างเป็นที่ประทับถวายพระพุทธองค์

หลังจากที่ได้ทรงแสดงปฐมเทศนา “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” ที่ธัมมเมกขสถูป
ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี (ปัจจุบันเรียกว่า สารนาถ) แล้ว
ลักษณะของพระมูลคันธกุฏีเป็นอาคารปลูกสร้างแบบอินเดียโบราณ
ปัจจุบันสิ่งก่อสร้างต่างๆ ชำรุดทรุดโทรมปรักหักพังไปหมดสิ้นแล้ว
เหลือให้เห็นเป็นเค้าโครงของอิฐก่อขนาดใหญ่ที่มีลานหญ้าด้านหน้ากว้างขวาง

ใกล้กับพระมูลคันธกุฏี มี เสาอโศก หรือ เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช
(อังกฤษ : Pillars of Ashoka, ฮินดี : अशोक स्तंभ, อโศก สฺตํภ)
สูง ๗๐ ฟุต แม้จะหักออกเป็น ๕ ท่อนก็ยังถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี
ณ ที่นี่เอง ที่ค้นพบ เสาหัวสิงห์ ๔ ทิศ ซึ่งเป็นหัวสิงห์ ๔ ตัวหันหลังชนกัน
โดยหันหน้าไปทางทิศทั้ง ๔ แบกวงล้อธรรมจักรไว้ อันหมายถึง
การประกาศพระธรรมไปทั่ว ๔ ทิศ ประดุจการบันลือสีหนาทของสีหราช
ซึ่งเดิมประดิษฐานอยู่บนยอดเสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช แต่หักลงมา
ถือเป็นโบราณวัตถุที่สำคัญที่สุดของอินเดีย
ขณะนี้เก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์สารนาถ เมืองพาราณสี

ปัจจุบันอินเดียใช้หัวสิงห์นี้เป็นตราราชการประจำแผ่นดินอินเดีย
ถือเป็นสัญญลักษณ์ประจำชาติ มีปรากฏอยู่ในธนบัตร-ธงชาติของอินเดีย
และข้อความจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราช ที่จารึกไว้ใต้หัวสิงห์ดังกล่าว
คือ สตฺยเมว ชยเต (เทวนาครี : सत्यमेव जयते) หมายถึง ความจริงชนะทุกสิ่ง
ได้ถูกนำมาเป็นคำขวัญประจำชาติของประเทศอินเดียอีกด้วย

ส่วนต้นเสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ถูกทุบทำลายหักออกเป็น ๕ ท่อนนั้น
ในอดีตเสานี้เคยมีความสูงถึง ๗๐ ฟุต และบนยอดเสามีหัวสิงห์ ๔ หัว
ได้จารึกพระบรมราชโองการของพระเจ้าอโศกมหาราช
เป็นภาษาสันสกฤตด้วยตัวอักษรพราหมี (อ่านว่า พราม-มี) มีเนื้อความดังต่อไปนี้

“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ
ได้มีพระบรมราชโองการให้ประกาศแก่มหาอำมาตย์ทั้งหลาย
ณ พระนครปาฏลีบุตร และ ณ นครอื่นๆ ว่า
ข้าฯ ได้กระทำให้สงฆ์มีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว
บุคคลใดๆ จะเป็นภิกษุหรือภิกษุณีก็ตาม ก็ไม่สามารถทำลายสงฆ์ได้
ก็แลหากบุคคลผู้ใดจะเป็นภิกษุหรือภิกษุณีก็ตาม
จักทำสงฆ์ให้แตกกัน บุคคลนั้นจักต้องถูกบังคับให้นุ่งขาวห่มขาว
และไปอาศัยอยู่ ณ สถานที่อื่น (นอกวัด)
พึงแจ้งสาส์นพระบรมราชโองการนี้ให้ทราบทั่วกัน
ทั้งในภิกษุสงฆ์และในภิกษุณีสงฆ์ด้วยประการฉะนี้”


ต่อมา ท่านอนาคาริก ธรรมปาละ (Anagarika Dhammapala)
ซึ่งเป็นชาวพุทธศรีลังกา และเป็นผู้ก่อตั้งสมาคมมหาโพธิ
ได้เป็นผู้ฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดีย
และเรียกร้องให้พุทธสังเวชนียสถาน พุทธคยา
สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า กลับคืนมาเป็นของชาวพุทธ
ท่านจึงเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งแก่ชาวพุทธทั่วโลก

และเนื่องจากได้มีการขุดค้นพบซาก
พระมูลคันธกุฎีเดิมของพระพุทธเจ้า ที่สารนาถ
ท่านอนาคาริก ธรรมปาละ จึงได้ใช้ปัจจัยส่วนตัว
เพื่อสร้างวัดมูลคันธกุฎีขึ้นใหม่อีกแห่งหนึ่ง
ห่างจากบริเวณพระมูลคันธกุฎีเดิมของพระพุทธเจ้าไม่มากนัก
ตั้งชื่อว่า “วัดมูลคันธกุฏีวิหาร”
ซึ่งถือว่าเป็นวัดแห่งแรกของพระพุทธศาสนาในอินเดีย

หลังจากที่พระพุทธศาสนาถูกลืมเลือน
ไปจากความทรงจำของชาวอินเดียประมาณเกือบ ๗๐๐ ปี
ต่อมาได้มีการผูกพัทธสีมาในวัดมูลคันธกุฏีวิหารที่สร้างขึ้นใหม่
โดยพระภิกษุรูปแรกที่ได้รับอุปสมบท ณ วัดแห่งนี้
คือ ท่านอนาคาริก ธรรมปาละ

ภายในวัดมูลคันธกุฎีวิหารที่สร้างขึ้นใหม่เป็นที่ประดิษฐาน
“พระประธานปางปฐมเทศนาเนื้อทองคำ”
ศิลปะคุปตะ (Gupta Style) อันงดงาม ซึ่งจำลองแบบมาจาก
พระพุทธรูปปางปฐมเทศนาในพิพิธภัณฑ์สารนาถ
เมืองพาราณสี ที่ถูกขุดพบ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

โดยองค์พระสร้างขึ้นจากหินทรายแดงเมืองจูนาร์ (Chunar)
และถือกันว่ามีความเป็นพุทธศิลปะที่งดงามมากที่สุด

ในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๗๔
วัดมูลคันธกุฎิวิหารก็ได้ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ
และมีการผูกพัทธสีมาเป็นวัดโดยสมบูรณ์ โดยคณะสงฆ์ลังกา
สิ้นเงินการสร้างวัด ตลอดจนเงินค่าจ้างช่างชาวญี่ปุ่น คือ โกเซทซุ โนสุ
มาเขียนภาพฝาผนังพระพุทธประวัติรวมทั้งหมด ๑๓๐,๐๐๐ รูปี

ในวันเปิดวัดมูลคันธกุฎิวิหาร
มีชาวพุทธและข้าราชการรัฐบาลอินเดียหลายท่าน
และชาวพุทธจากต่างประเทศมากมาย ได้มาร่วมงานกว่าพันคน
รัฐบาลอินเดียได้มอบพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า
ให้กับผู้แทนสมาคมมหาโพธิ
ได้มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นสู่หลังช้าง
แห่รอบพระวิหารสามรอบแล้ว
จึงนำขึ้นประดิษฐานยังยอดพระเจดีย์ในพระวิหาร

ท่านอนาคาริก ธรรมปาละ ได้กล่าวปราศัยในงานเปิดวันนั้น
ดังมีความตอนสุดท้ายที่่น่าประทับใจว่า

“...หลังจากที่พระพุทธศาสนาได้ถูกเนรเทศออกไปเป็นเวลานานถึง ๘๐๐ ปี
ชาวพุทธทั้งหลายก็ได้กลับคืนมายังพุทธสถานอันเป็นที่รักของตนนี้อีก
...เป็นความปรารถนาของสมาคมมหาโพธิ
ที่จะมอบพระธรรมคำสอนอันเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาของพระพุทธองค์
ให้แก่ประชาชนชาวอินเดียทั้งมวล ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ และลัทธินิกาย
...ข้าพเจ้ามั่นใจว่าท่านทั้งหลายจะพร้อมใจกันเผยแผ่อารยธรรม
(ธรรมอันประเสริฐ) ของพระตถาคตเจ้า ไปให้ตลอดทั่วทั้งอินเดีย...”





[size=85%]พระมูลคันธกุฏี หรือ “พระมูลคันธกุฏีวิหาร”
เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงประทับจำพรรษาแรกและพรรษาที่ ๑๒




ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้