|
ในสมัยต้นกัป มนุษย์ทั้งหลายมีอายุขัยถึงอสงไขยปีทั้งสิ้น หมายความว่านับประมาณอายุกันแทบไม่ได้ นั่นเป็นเพราะจิตใจของคนในสมัยนั้นมีกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ น้อยและเบาบางมาก ถึงแม้จะมีก็เป็นกิเลสอย่างละเอียด ไม่ใช่ชนิดหยาบที่ปรากฏออกมาเป็นทุจริต จิตใจจึงมีกุศลเจตนาเกิดอยู่มาก เมื่อมนุษย์เปี่ยมด้วยคุณธรรม อุตุ (ดินฟ้าอากาศ) และอาหารที่เป็นเครื่องอาศัยของมนุษย์จึงสมบูรณ์ดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง จึงเป็นเหตุให้มนุษย์มีอายุยืนอยู่ได้ถึงอสงไขยปี
ครั้นต่อมาเหล่ามนุษย์มีอกุศลจิตขึ้นในสันดานเพิ่มขึ้น ๆ อำนาจของอกุศลทำให้อุตุ (ดินฟ้าอากาศ) และอาหารต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงผิดปกติไปจากเดิม กล่าวคือ เมื่อหนาวก็หนาวเกินควร เมื่อร้อนก็ร้อนเกินควร ฤดูฝนก็ตกผิดปกติมากไปบ้างน้อยไปบ้าง คุณค่าที่มีอยู่ในอาหาร (โอชารส) ลดน้อยลง สิ่งเหล่านี้กระทบกระเทือนทำให้ความเป็นอยู่ของมนุษย์เสื่อมถอยลง เป็นเหตุให้มีอายุขัยลดลงเรื่อย ๆ ตาม ลำดับ เพราะมีกิเลสเพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุด และจะลดลงจนกระทั่งมีอายุขัยเหลืออยู่เพียง ๑๐ ปี
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในสุตตันตมหาวรรคว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลใดมีอายุยืน ผู้นั้นย่อมมีอายุถึง ๑๐๐ ปี และบางคนก็เกินกว่า ๑๐๐ ปี ไปเล็กน้อยก็เป็นได้ แต่ไม่ถึง ๒๐๐ ปี”
ในสมัยพุทธกาลเรานี้ อายุขัยของมนุษย์ในโลกเรามีกำหนด ๑๐๐ ปี และถือกันว่า อายุขัยจะลดลง ๑ ปี ทุก ๆ ระยะ ๑๐๐ ปี ขณะนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานล่วงไปแล้ว ๒,๕๐๐ ปีเศษ อายุขัยจึงลดลงประมาณ ๒๕ ปี ยุคปัจจุบันมนุษย์โลกเราจึงน่าจะมีอายุขัยประมาณ ๗๕ ปี ถ้าจะมีผู้ใดอายุยืนกว่านั้นได้ก็คงไม่เกิน ๒ เท่า
ในเวลาใกล้พุทธศักราชที่ ๕,๐๐๐ ขององค์สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเราองค์ปัจจุบันนี้ พระศาสนาจะค่อย ๆ เสื่อมลงไปในที่สุด ตอนช่วงปลายของพระพุทธศาสนา พระสงฆ์องค์เจ้าก็จะพากันร่อยหรอและหดหายลงไป จนกระทั่งถึงวาระเวลาที่พระพุทธศาสนาเสื่อมลงไปจนหมดสิ้นพอดี ๕,๐๐๐ ปี ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพระพุทธฎีกากำหนดระยะเวลาเอาไว้
เมื่อสิ้นศาสนาแห่งพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแล้ว ในกาลนั้นหมู่สัตว์ทั้งหลายก็จะพากันมืดมนนัก ไม่มีการทำบุญสร้างกุศลใด ๆ แม้คำว่าบุญหรือกุศลก็ไม่มีใครรู้จัก มีแต่อกุศลกรรมบถ ๑๐ ครอบงำสันดานของสัตว์ทั้งหลาย พากันทำบาปหยาบช้าทารุณ ปราศจาก หิริ โอตตัปปะ ผู้คนมีความเป็นอยู่เช่นเดียวกับสัตว์เดรัจฉาน ลูกกับพ่อแม่ก็จะอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน พี่สาวน้องชาย พี่ชายน้องหญิง ตลอดถึงพี่ป้าน้าอา ลุงกับหลาน ต่างก็พากันสมัครสังวาสอยู่ด้วยกัน กิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ ของหมู่สรรพสัตว์ก็จะหนาแน่นขึ้นทุกเวลา อายุขัยก็จะลดน้อยถอยลงไป
จนกระทั่ง ประมาณพุทธศักราชที่ ๙,๐๐๐ อายุขัยของมนุษย์จะลดลงจนเหลือ ๑๐ ปี อาหารทั้งปวงที่มีรสชาติดีจะหมดไป อาหารที่เป็นข้าวสำหรับนกกินในยุคนี้ จะกลายเป็นอาหารอันประเสริฐในยุคนั้น เด็กหญิงเกิดมาอายุได้ ๕ ปี จะมีสามีและบุตรได้
ในยุคนั้นมนุษย์ทั้งหลายมีความอาฆาตเบียดเบียนกันยิ่งนัก เข่นฆ่ากันเองได้หมดทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นญาติมิตรสนิทสนมกันเพียงใด ไม่รู้จักความเมตตาปราณี เป็นเวลาที่ในสันดานสัตว์เต็มไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ
ในเวลาดังนี้ มหาภัย ๓ อย่างจะบังเกิดขึ้นคือ
๑. ทุพภิกขันตรกัป ความอดอยากยากแค้น
๒. สัตถันตรกัป รบราฆ่าฟันกัน
๓. โรคันตรกัป โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายเบียดเบียน
โดยเฉพาะในสมัยอายุขัยมนุษย์เพียง ๑๐ ปีนั้น ผู้คนปรากฏมีโทสะกล้าแข็งที่สุด สัตถันตรกัปย่อมบังเกิดขึ้น เกิดรบพุ่งฆ่าฟันซึ่งกันและกันเป็นโกลาหล จับสิ่งของใดได้แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็จะถูกใช้เป็นอาวุธไปจนสิ้น มนุษย์ในโลกจะพากันล้มตายนับประมาณมิได้ สัตถันตรกัปบังเกิดขึ้นเป็นเวลา ๗ วัน เป็นไปทั่วทุกแห่งหน ส่วนผู้พอมีปัญญาอยู่บ้าง จะหาเสบียงจนพอเพียง ๗ วัน หลบหนีซ่อนตัวอยู่ตามห้วยหุบเขาที่ห่างไกล จนรอดพ้นจากภัยอันตรายนั้น
ในระหว่าง ๗ วันที่ผู้คนทำการเข่นฆ่ากันอยู่ พื้นแผ่นดินทั้งสิ้นนองไปด้วยโลหิต ซากศพเกลื่อนกลาดน่ากลัว
เมื่อพ้น ๗ วันไปแล้วสงบสงัดจากเสียงการสู้รบ คนทั้งหลายที่หนีไปซ่อนเร้นจึงพากันออกมา เมื่อเห็นกันเข้าเกิดความสังเวชสลดใจ รักใคร่เอ็นดูสงสารซึ่งกันและกัน มีจิตใจอ่อนโยน เห็นโทษของอกุศลมีโทสะเป็นต้น จึงร่วมปรึกษาหารือกันเริ่มประกอบกุศลกรรม แรกทีเดียวเริ่มเว้นจากการฆ่าฟันคือปาณาติบาตก่อน เพราะเห็นโทษภัยจากการเข่นฆ่าที่ผ่านมา
เมื่อคนทั้งหลายเว้นจากการฆ่าสัตว์ บุตรหลานของคนเหล่านี้จึงมีอายุขัยยืนขึ้นเท่าตัวคือ ๒๐ ปี และบุตรหลานของผู้คนเหล่านี้ ก็ชักชวนพากันประกอบกุศลกรรมอื่น ๆ เพิ่มขึ้น มีเว้นจากอทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท พูดส่อเสียด พูดหยาบช้า พูดเพ้อเจ้อ ตลกคะนองไร้ประโยชน์ เว้นจาก อภิชฌาวิสมโลภะ ไม่ยินดีอยากได้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่นโดยไม่ชอบธรรม เว้นการพยาบาทปองร้ายผูกเวรซึ่งกันและกัน เว้นจากมิจฉาทิฏฐิ ผู้คนพากันสมาทานรักษากุศลกรรมบถ ๑๐ ละเว้นอกุศล ๓ ประการคือ ความกำหนัดยินดีในสิ่งผิดประเพณี, ยินดีในเครื่องอุปโภคบริโภคที่ไม่ชอบธรรม และมีความเห็นผิดที่เป็นมิจฉาธรรม
ทั้งชวนกันปฏิบัติต่อบิดามารดา สมณพราหมณ์เป็นอันดี กระทำความเคารพในผู้เฒ่าผู้แก่ของตระกูล คนทั้งหลายบำเพ็ญกุศลธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปประการดังนี้
อายุของผู้คนเหล่านั้นจึงเพิ่มขึ้นรุ่นละเท่าตัวเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึง ๘๐,๐๐๐ ปี เมื่ออายุขัย ๘๐,๐๐๐ ปี สตรีจะเป็นสาวมีสามีได้เมื่ออายุประมาณ ๕๐๐ ปี โรคภัยในยุคนี้มีเพียง ๓ ประการ คือ ความหิว ความง่วง และความแก่ชรา และอายุขัยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงอสงไขยปี
ความประมาท มีทิฏฐิ และมานะบังเกิดขึ้น กิเลสเริ่มเกิดตามมา อกุศลกรรมต่าง ๆ ก็เกิดมีเมื่ออายุขัยของมนุษย์ถึงอสงไขยปี ทำให้ไม่ใคร่ได้เห็นความแก่ ความเจ็บ ความตาย โดยง่าย จึงเกิดคขึ้นเป็นลำดับ อายุขัยของมนุษย์จึงเริ่มลดลงอีกจนกระทั่งเหลือ ๘๐,๐๐๐ ปี
ในเวลาอายุขัยของมนุษย์เหลือ ๘๐,๐๐๐ ปีนี้เอง พระศรีอาริยเมตไตรย จะมาอุบัติบังเกิดขึ้นในโลก ดังมีพระพุทธภาษิตแสดงไว้ในจักกวัตติสูตรในสุตตันตปาฏิกวรรคว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในยุคที่มนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าเมตเตยะเป็นผู้มีโชค จะอุบัติขึ้นในโลกฉะนั้น”
พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ อันเป็นองค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้.
หมายเหตุ
กัปปัจจุบันนี้ คือ ภัทรกัป มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ คือ
๑. พระกกุสันธะ สัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. พระโกนาคมน์ สัมมาสัมพุทธเจ้า
๓. พระกัสสปะ สัมมาสัมพุทธเจ้า
๔. พระศรีศากยมุนีโคดม สัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้าองค์ที่พุทธศาสนิกชนกราบไหว้บูชาอยู่ในปัจจุบันนี้
๕. พระศรีอาริยเมตไตรย สัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระศรีอาริย์ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้
เมื่อพระศรีอาริยเมตไตรยเสด็จปรินิพพานไปแล้ว ต่อจากนั้นอีก ๕๑ อันตรกัป ก็จะถึงเวลาพินาศของโลก
ก่อนที่โลกจะถูกทำลาย จะมีมนุษย์ เทวดา และพรหมที่อยู่ในชั้นต่ำ ๆ ส่วนหนึ่งพากันขวนขวายเจริญฌานจนตาย แล้วไปบังเกิดในพรหมโลกชั้นสูง ๆ ที่ไม่ถูกทำลาย รอจนกระทั่งโลกก่อตัวขึ้นมาใหม่จึงค่อยพากันลงมาเกิดด้วยกำเนิดของ โอปปาติกะ คือผุดขึ้นมาโดยโตเต็มตัวทันใด ไม่ต้องมีบิดามารดา เป็นการเริ่มกัปใหม่กันต่อไป
ส่วนผู้ที่ไม่สามารถเจริญฌานจนตาย แล้วไปบังเกิดยังพรหมโลกชั้นที่ไม่ถูกทำลายได้นั้น พวกเขาเหล่านั้นจะถูกทำลายไปพร้อมกับโลก แล้วไปเกิดเป็นอบายสัตว์อยู่ในจักรวาลอื่น ที่ยังไม่มีการถูกทำลายกันต่อไป ซึ่งจักรวาลนี้มีมากมายนับจำนวนไม่สิ้นสุด
การก่อตัวขึ้นใหม่ของจักรวาล
|
|