ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
ตำนาน เรื่องเล่า เกร็ดความรู้ เรื่องลี้ลับ
»
สัมภเวสี
1
2
/ 2 หน้า
ถัดไป
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
ดู: 6937
ตอบกลับ: 12
สัมภเวสี
[คัดลอกลิงก์]
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
ไปยังโพสต์
1
#
โพสต์ 2013-7-18 07:04
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
|
โพสต์ใหม่ขึ้นก่อน
|
โหมดอ่าน
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-7-18 07:14
สัมภเวสี
สัมภเวสี เป็นเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งในพระพุทธศาสนาเพราะเป็นหลักยืนยันว่า คนเราตายไปแล้วเกิดใหม่จริง แต่มีชาวพุทธจำนวนไม่น้อย ไม่เข้าใจสภาพอันแท้จริงของสัมภเวสี และยังมีความเข้าใจแตกต่างกันในกลุ่มชาวพุทธบางนิกาย ฉะนั้น เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าศึกษาเรื่องหนึ่ง เพราะเกิดขึ้นกับทุกชีวิต
สัมภเวสี หมายถึงสัตว์โลกที่ยังแสวงหาที่เกิด คือยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยใหญ่อยู่ เมื่อยังไม่สำเร็จ พระอรหันต์ตราบใด ก็ยังเป็นสัมภเวสีอยู่ตราบนั้น แต่สัมภเวสีนี้ยังมีชาวพุทธอยู่จำนวนไม่น้อยที่เข้าใจว่า ได้แก่สัตว์ที่ยังท่องเที่ยวแสวงหาที่เกิดอยู่ คือยังไม่ทันเกิดในภพใดภพหนึ่ง หลังจากที่ตายไปแล้ว โดยเฉพาะชาวพุทธฝ่านมหายานบางนิกาย เชื่อว่าผู้ที่ตายแล้วจะต้องอยู่ในอันตรภพ (ระหว่างภพ) เป็นเวลา ๗ วัน บ้าง ๑๕ วันบ้าง ๑ เดือนบ้าง เพื่อรอคอยการปฏิสนธิ จึงจะไปเกิดในกำเนินทั้ง ๔ กำเนิดใดกำเนิดหนึ่งได้ สัตว์ที่อยู่ในอัตรภพนี้ คือสัมภเวสี เพราะยังแสวงหาภพที่เกิดอยู่ ความเชื่อเรื่องอันตรภพนี้ยังมีอยู่แม้ในหมู่ชาวพุทธไทยบางท่าน ทั้งนี้ก็ เพราะได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนามหายานนิกายมนตรยาน ซึ่งเคยรุ่งเรืองอยู่ในประเทศไทย ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๗
แต่ตามหลักความจริงในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทแล้ว สัตว์ที่อยู่ในอัตรภพนี้ไม่มีเลย เพราะเมื่อความตายบังเกิดขึ้น จิตเคลื่อนไปปฏิสนธิจิตก็ปรากฏในทันที จิตหรือวิญญาณจะเที่ยวเร่ร่อนอยู่โดยไม่มีรูปร่าง หรือไม่มีภพที่เกิดนั้นไม่มีเลย เพราะจิต นั้นจะต้องอาศัยร่างเป็นที่อยู่ ดังคำพระบาลีว่า
บุ๊คมาร์ก
0
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
2
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-7-18 07:04
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“คูหาสยํ จิตนี้มีถ้ำคือกายเป็นที่อาศัย” เช่นเดียวกับกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะต้องอาศัยวัตถุอันเป็นแหล่งที่อยู่ที่เกิดของมัน จะอยู่โดยตัวของมันเอง โดยไม่ได้อาศัยสสารชนิดใดชนิดหนึ่งไม่ได้ ถ้าหากว่าผู้ตายแล้วจะต้องไปรดอยู่ในอัตรภพ ก็เท่ากับว่าภพหรือภูมิที่เกิดของสัตว์ มีเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่ง ซึ่งเดิมมีอยู่ ๓๑ ๓มิ ก็จะต้องเป็น ๓๒ ภูมิ แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น ภูมิ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มี ๓๑ คือ อบาย ๔ สวรรค์ชั้นกามาพจร ๖ รูปพรหม ๑๖ อรูปพรหม ๔ และมนุษย์โลก ๑ เท่านั้น ฉะนั้นผู้ที่ตายแล้ว ถ้ายังมีกิเลสก็ต้องเกิดในภูมิใดภูมิหนึ่งทันที ดังพระบาลีว่า “สุตฺตปฺพุทโธ วิย เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น” ไม่มีการรอหาที่เกิด แต่การที่จะไปเกิดในภพใดที่ใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับแรงเหวี่ยงของกรรมที่ส่งไป ฉะนั้น การที่คนบางคนพบเห็นว่า ญาติคนนั้นคนนี้ตายไปแล้ว มาปรากฏตัวให้เห็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็หมายถึงว่า เขาได้ไปเกิดแล้วในภพใหม่ แต่เป็นกำเนิดของโอปปาติกะ คือ อาจจะเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรือเป็นเทวดาจำพวกใดจำพวกหนึ่งก็ได้ ซึ่งกำเนิดพวกนี้ เป็นอทิสสมานกาย มองดูด้วยตาเนื้อไม่เห็น จะปรากฏแก่เราได้ก็เมื่อเขาทำกายให้หยาบ ด้วยประสงค์จะแสดงหรือบอกให้ผู้ที่เขาต้องการจะให้ได้รู้ได้ทราบเท่านั้น
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
3
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-7-18 07:05
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้ จะขอนำเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เรื่องหนึ่งมาเป็นหลักฐานยืนยันประกอบ เพื่อสนับสนุนหลักธรรมในพระพุทธศาสนาข้อนี้
เรื่องมีอยู่ว่า ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งอายุประมาณ ๒๑ ปี ขอสมมติชื่อว่า ชุลีนาถ บ้านอยู่กรุงเทพ ฯ ได้ไปทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งที่อ้อมน้อย สมุทรปราการ วันหนึ่งในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ขณะที่เธอทำงานอยู่ที่โรงงานแห่งหนึ่ง เวลาพักกลางวัน เธอได้ออกจากโรงงานไปทานอาหาร ได้เดินข้ามถนนสายหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับโรงงาน และได้ถูกรถยนต์ชนขณะข้ามถนน มีอาการสาหัส แล้วมีคนนำส่งโรงพยาบาลศิริราช แต่เธอได้ขาดใจตายที่โรงพยาบาลศิริราชนั่นเอง เพราะมีอาการสาหัสมาก แต่ทางบ้านก็ยังไม่ทราบถึงการจากไปของเธอ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
4
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-7-18 07:05
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในวันนั้น พอตกเย็น ครั้นสิ้นแสงตะวัน วิญญาณของเธอก็กลับมาที่บ้าน อาจจะเป็นเพราะห่วงพ่อแม่ โดยปรากฏในรูปร่างเดิมของนางสาวชุลีนาถนั่นเอง และได้ไปนั่งถ่ายปัสสาวะอยู่ในที่ไม่สมควรจะถ่ายปัสสาวะ อาหญิงของเธอเห็นเข้าจึงได้ดุว่า ที่นั้นไม่สมควรถ่ายปัสสาวะ วิญญาณนี้ไม่พูดอะไร เมื่อลุกขึ้นแล้วก็เดินขึ้นบนบ้าน เดินสวนทางกับมารดาของเธอเอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วผ่านเข้าห้องนอน มารดาเข้าใจว่าเธอเข้าไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว หลังจากกลับมาจากที่ทำงาน แล้วมารดาของเธอก็ได้ลงมาข้างล่าง
อีกสักครู่หนึ่งต่อมา ก็มีคนจากโรงพยาบาลศิริราชมาบอกข่าวเรื่องการตายของนางสาวชุลีนาถให้มารดาของเธอทราบ แต่มารดาของเธอไม่เชื่อ และได้ยืนยันว่าลูกสาวของตนได้กลับมาบ้านแล้ว อาหญิงเขาก็ดุเอาเมื่อก่อนจะขึ้นบ้านและ ได้เดินสวนทางกับตนไปเข้าห้องเมื่อครู่นี้เอง เข้าใจว่ามาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวในห้อง ชายผู้มากับข่าวก็กล่าวยืนบันเช่นกันว่า “ผมมาจากโรงพยาบาลศิริราชที่เก็บศพของนางสาวชุลีนาถ เพื่อมาบอกข่าวให้ทางบ้านทราบ”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
5
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-7-18 07:06
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มารดาของนางสาวชุลีนาถก็ยังไม่เชื่อ แต่เพื่อให้แน่ใจจึงได้ตามขึ้นไปดูในห้อง และได้เห็น น.ส.ชุลีนาถลุกสาวนอนคลุมโปงอยู่ในห้อง โดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเลย ด้วยความแปลกใจนางจึงได้เรียกลูกสาวออกมา และเมื่อ น.ส.ชุลีนาถลุกขึ้นออกมายืนอยู่ตรงหน้ามารดาก็ไม่พูดอะไร แต่ปรากฏว่ามีเลือดไหลอาบหน้า และเปื้อนไปทั่วทั้งร่างเมื่อมาดราของเธอเห็นเข้าเช่นนั้นก็ตกใจเป็นลมล้มลงสลบไป ภาพนั้นก็หายไปทันที
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งอาหญิงของ นางสาวชุลีนาถได้เล่าให้ท่านเจ้าคุณรูปหนึ่ง ในวัดโสมนัสวิหารทราบ และขณะนี้กระดูกของนางสาวชุลีนาถ ก็ถูกบรรจุไว้ที่พระวิหารวัดโสมนัสวิหาร แม้ในวัดทำบุญบรรจุกระดูกนั้น มารดาของเธอก็ยังโศกเศร้าเสียใจถึงกับเป็นลมไปอีก เพราะมีความรักและอาลัยในลูกสาวของตนคนนี้มาก
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
6
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-7-18 07:06
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่ตายไปแล้วและสามารถปรากฏตัวให้ทราบเช่นนี้ คนโดยทั่ว ไปเรียกกันว่าสัมภเวสี แท้ที่จริง เขาเกิดในภพใหม่แล้ว แต่เกิดในกำเนิดแห่งโอปปาติกะ คือ เกิดผุดขึ้น มีรูปร่างสมบูรณ์ในทันที ถึงจะเกิดอยู่ไม่นานแล้วต้องเปลี่ยนไปเกิดในภูมิใหม่อีกต่อไปก็ชื่อว่าเกิดแล้ว และเขาสามารถแสดงร่างเก่าให้ปรากฏแก่ญาติพี่น้องมิตรสหายเป็นต้นได้ เรื่องทำนองเดียวกันนี้ หรือมีลักษณะคล้ายเรื่องนี้ปรากฏว่ามีเกิดขึ้นบ่อยในประเทศไทย แม้ในประเทศตะวันตกก็มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น เหมือนกัน แต่รูปร่างที่แท้จริงของเขาเป็นอาทิสสมานกาย คือ มีร่างกายไม่ปรากฏให้เห็นได้ด้วยตาเนื้อ ท่านผู้ได้ทิพยจักษุเท่านั้นจึงสามารถมองเห็นกาย ของผู้ที่เกิดอยู่ในโอปปาติกะกำเนิดได้แต่บางคนไปเกิดในโอปปาติกะกำเนิดไม่เกิน ๗ วันเท่านั้นแล้วก็เคลื่อนไปเกิดในภูมิใหม่อีก เช่น ไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์หรือเทวดาชั้นสูง เป็นไปตามอำนาจพลังของกรรมที่ตนได้ทำเอง ไว้ส่งให้ไปเกิด
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
7
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-7-18 07:06
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เพื่อความเข้าใจชัดในเรื่องสัมภเวสี ตามหลักพระพุทธสาสนาฝ่ายเถรวาท จึงขอนำคำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์มากล่าวไว้ในที่นี้ คือ พระอรรถกาจารย์ได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างสัตว์ที่มีชื่อว่า สัมภเวสี และสัตว์ที่ชื่อว่า ภูตะ ไว้ใน อรรถกถาคัมภีร์ขุททกนิกาย ชื่อ ปรมัตถโชติกา หน้า ๒๗๗ ตอนอธิบายบาลี เมตตสูตร ข้อที่ว่า ภูตา วา สมฺภเวสี วา สพฺเพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตา ขอสัตว์ทุกจำพวกทั้งที่เป็นภูตะ ทั้งที่เป็นสัมภเวสี จงถึงความสุขเถิด” โดยแยกอธิบายออกเป็น ๓ นัยดังนี้ ๑. คำว่า ภูตะ หมายถึงสัตว์ที่เกิดแล้ว คือเกิดเสร็จเรียบร้อยแล้ว คำว่า ภูตะนี้ เป็นชื่อของพระขีณาสพทั้งหลาย ผู้ที่เกิดเสร็จแล้วนั่นเอง จึงไม่มีการนับว่า จักเกิดต่อไปอีก ส่วนเหล่าสัตว์ที่ยังแสวงหาภพอยู่ชื่อว่าสัมภเวสี คำว่า สัมภเวสีนี้ เป็นชื่อของพระเสขะและปุถุชนทั้งหลาย ผู้ยังแสวงหาภพที่เกิดขึ้นอยู่อีกต่อไป (คือผู้ที่ต้องเกิดอีกต่อไป)
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
8
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-7-18 07:07
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๒. อีกประการหนึ่ง ในบรรดากำเนิดทั้ง ๔ (คือพวกที่เกิดในไข่หนึ่ง พวกที่เกิดในครรภ์หนึ่ง พวกที่เกิดในเถ้าไคลหนึ่ง พวกที่เกิดผุดขึ้นหนึ่ง) พวกสัตว์ที่เกิดในไข่และสัตว์ที่เกิดในครรภ์ชื่อว่า สัมภเวสี ตราบเท่าที่ยังไม่ทำลายกระเปาะไข่และยังไม่ทำลายรกออกมา ต่อเมื่อสัตว์เหล่านั้นทำลายกระเปาะไข่หรือทำลายรกออกมาข้างนอกได้แล้ว จึงชื่อว่า ภูตะ ส่วนพวกสัตว์ที่เกิดในเถ้าไคลและพวกสัตว์ที่เกิดผุดขึ้น (โอปปาติกะ) ชื่อว่า สัมภเวสีในขณะแห่งปฐมจิต (คือจิตดวงแรกที่ปรากฏในภพนั้น) ชื่อว่าภูตะนับตั้งแต่จิตดวงที่ ๒ เป็นต้นไป
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
9
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-7-18 07:08
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๓. อีกประการหนึ่ง จำพวกสังเสทชสัตว์ (สัตว์เกิดในเถ้าไคล) และจำพวกโอปปาติกสัตว์ (พวกที่เกิดผุด) ก็ชื่อว่า สัมภเวสี ตราบเท่าที่ตนยังไม่เคลื่อนไปจากอิริยาบถที่ตนเกิดสู่อิริยาบถอื่น
ต่อจากนั้น (คือเมื่อเปลี่ยนไปสู่อิริยาบถอื่นแล้ว) จึงชื่อว่า ภูตะ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่จัดเป็นสัมภเวสีทั้งสิ้น และเป็นเครื่องยืนยันว่า คนเราตายแล้วเกิดใหม่จริง
ที่มา.
http://www.baanjomyut.com.
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
10
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-7-18 07:17
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สัมภเวสี คือ คนที่ตายก่อนอายุขัย เรียกว่ามีกรรม
ที่เรียกกันว่า อุปฆาตกรรม มาริดรอน ตัดรอนเสีย
ตั้งแต่ยังไม่หมดอายุขัย ท่านพวกนี้เวลาตาย
ทางนรกไม่ต้องการ ทางสวรรค์ไม่ต้องการ
บุญที่ทำไว้ยังไม่ให้ผล หรือว่าบาปที่เขาทำยังไม่ให้ผล
ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเรียกไปสอบสวนและจัดการลงโทษ
มีสภาพเหมือนกับคนออกจากบ้านนี้ แล้วไปเข้าบ้านโน้นไม่ได้
จะกลับมาเข้าบ้านนี้ก็ไม่ได้ เดินไปเดินมาอยู่ด้วยความลำบาก
อยากจะกินอะไรก็หากินไม่ได้ ผีประเภทนี้เรียกว่าสัมภเวสี
แปลว่าพวกแสวงหาที่เกิด
วิธีช่วยคนตายก่อนอายุขัย(สัมภเวสี)
ถ้าญาติของเราตาย ตายด้วยอำนาจของสัมภเวสี
คือไม่สิ้นอายุ ฟ้าผ่าตาย สุนัขกัดตาย มดกัดตาย
ยุงกัดตาย คลอดบุตรตาย ถูกฆ่าตาย ถูกยิงตาย
รถชนตาย แต่ก็ไม่แน่นักนะบรรดาพวกนี้ถึงอายุขัยก็มี
แต่เผื่อเหนี่ยวไว้ก่อน
สมมุติว่าเขาเป็นสัมภเวสี พอตายไปแล้วไม่ต้องทำบุญมาก
ทำบุญให้ได้บุญชัดๆ หาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป
เอาผ้าไตรมา ๑ ไตร เอาพระพุทธรูปมา ๑ องค์
นิมนต์พระมารับสังฆทานที่บ้าน ทำเงียบๆ
อย่าให้มีเหล้ายาปลาปิ้ง อย่าทุบแม้แต่ไข่สักหนึ่งฟอง
เมื่อทำบุญเสร็จ อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่ตาย
ไม่ให้ใครทั้งหมด
ถ้าทำอย่างนี้ละ ท่านพวกนี้จะมีความสุข
ได้รับผลบุญทันที มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบ
เมื่อเข้าถึงอายุขัยเมื่อใด
ก็เป็นอันว่าพวกนี้จะไปถึงด้านของสวรรค์ก่อน
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ที่มา..
http://www.baanmaha.com
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
หน้าถัดไป »
1
2
/ 2 หน้า
ถัดไป
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...