ก็เวลาเหลืออีก ๑๐ นาที มีตัวอย่างที่จะคุยให้กับบรรดา
ท่านพุทธบริษัทรับทราบสักเรื่องหนึ่งเป็นตัวอย่าง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ปีนั้นมีคุณยายท่านหนึ่ง คุณโยมผู้เฒ่า
อายุท่านก็มากแล้วเห็นจะถึง ๗๐ ปี
ท่านอยู่ในบ้านท่านเจริญพุทธานุสสติอยู่เสมอ
คือว่า ใครๆ เขาสอนว่าจงภาวนาว่า "พุทโธ" บ้าง
มองดูพระพุทธรูปเพื่อเป็นนิมิตเครื่องหมายจับอารมณ์ให้ทรงตัวบ้าง
ทำอย่างนี้เป็นปกติ มาในปีนั้นท่านไปเจอะอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามาก
ท่านสอนกรรมฐาน มีคณะของท่านมากมาย มีชื่อเสียงมาก
ก็ไปขออาศัยศึกษาอยู่ในสำนักนั้น ๓ เดือน ความจริงท่านตั้งใจจะอยู่ตลอดชีวิต
คิดว่าชีวิตเบื้องปลายเราก็ทำอะไรไม่ไหวแล้ว
ที่พึ่งของเราจริงๆ ก็คือ อารมณ์ที่เป็นมหากุศล
เมื่อเข้าไปอยู่ในสำนักแล้ว ก็ปรากฏว่าท่านอาจารย์ให้ใช้กรรมฐานอีกแบบหนึ่ง ความจริงกรรมฐานจะเป็นแบบไหน ภาวนาแบบไหนก็ตาม
แต่จุดมุ่งหมายจริงๆ ต้องการ คือ ๑. ต้องการศีลบริสุทธิ์
๒. มีอารมณ์ใจเป็นสมาธิ
๓. มีปัญญาแก่กล้าสามารถรู้เท่าทันกิเลส
และตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานได้ ความจริงความต้องการของพระพุทธเจ้ามีเท่านี้
ฉะนั้นขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท การปฏิบัติกรรมฐาน
จงอย่าถือว่าที่ไหนผิดและจงอย่าถือว่าที่ไหนถูกแต่แห่งเดียว
ถ้าทำจิตให้ทรงศีลบริสุทธิ์ได้ทรงสมาธิได้
มีปัญญาสามารถล้างกิเลสได้ที่นั่นถูกทั้งหมด สำหรับวิธีปฏิบัติจริงๆ มีตั้งหลายพันแบบ ไม่ใช่แบบเดียว
ในเมื่อคุณโยมเจริญพุทธานุสสติอยู่เป็นปกติ
ไปเจอะอาจารย์สอนผิดไปจากที่เคยปฏิบัติมา
ใจก็อดที่จะคิดถึงอารมณ์เก่าไม่ได้
อาจารย์ก็บอกว่า ไม่ได้ ของเก่าใช้ไม่ได้
ต้องใช้ของใหม่ที่สอน ไม่ยังงั้นจะไม่มีผล
คุณโยมก็อยากจะไปคิดถึงของเดิม
ยิ่งไม่นึกถึงเพียงใด ภาวนาหรือพิจารณาตามที่อาจารย์สอน
คำว่า "พุธโธ" ไม่มีในใจ แต่ภาพพระพุทธรูปปรากฏ
แทนที่จะนึกแต่พุทโธอย่างเดียว
ไม่นึกละ นึกตามที่อาจารย์สอนภาพพระพุทธรูปลอยเด่นขึ้นข้างหน้า ตอนเช้าอาจารย์สอบอารมณ์ ก็ไปบอกกับอาจารย์ว่า
เมื่อคืนเห็นภาพพระพุทธรูปท่านอาจารย์ก็บอกว่า โยมไม่ได้แล้วๆ
ภาพประเภทนี้เป็นกิเลส ต้องทิ้งไป
จงอย่าถือเอา โยมก็พยายามไม่ถือเอา
ทำใจเป็นสมาธิให้เข้มข้นตามอาจารย์สอน
ในเมื่อความเข้มข้นของจิตมีมากขึ้นเพียงใด
ภาพพระพุทธรูปก็แจ่มใสมากเพียงนั้น
ในที่สุดภาพของพระพุทธรูปก็ขาวเป็นแก้วประกายพรึก
เป็นแก้วระยิบระยับ เด่นจับหูจับตา คราวนี้เอาหนักหลับตาก็เห็น
ลืมตาก็เห็น จะนอนซ้าย นอนขวา หันหน้าหันหลัง
เห็นหมดเห็นตลอดวัน เป็นอันว่าจิตของคุณยายทรงฌานนั้น
สูงในพุทธานุสสติกรรมฐาน อย่างนี้เป็นฌานนะบรรดาท่านพุทธบริษัท
ไปรายงานอาจารย์ทีไรอาจารย์ก็บอกว่า
"ไม่ไหวแล้วโยมฯ กิเลสเล่นหนักแล้ว"
คุณโยมก็เกิดความไม่สบายใจ ต่อไปก็ไม่รายงานอาจารย์ละ ในเมื่อพระพุทธรูปจะมา
ก็เอาพระพุทธรูปเถอะ ถ้าอาจารย์ถามว่าเมื่อคืนภาวนาว่าอย่างไร
แต่คำภาวนาใช้ตามแบบฉบับของอาจารย์และกำลังใจ
ก็ยินดีในพระพุทธรูป ก็ชื่นใจมาก ยิ่งนานวันจิตยิ่งสดใส
พระพุทธรูปก็แจ่มใสมากขึ้นและก็ใหญ่โตมากขึ้น
ยิ้มแย้มแจ่มใส คล้ายๆ กับมีชีวิตชีวา
มองเห็นหน้าทีไรก็เห็นพระพุทธรูปยิ้มทุกที ในที่สุดบรรดาท่านพุทธบริษัท ออกพรรษาแล้วคุณยายก็อยู่ไม่ได้
เพราะขวางกับสำนักนั้น ความจริงกิจกรรมไม่ได้ขวาง
แต่กำลังใจเห็นภาพพระพุทธรูป
ท่านบอกพระพุทธรูปเป็นกิเลส คุณยายก็ต้องกลับบ้าน
เมื่อกลับบ้านแล้วพระที่บ้านของท่านก็นำมาหาอาตมา
อาตมาเองก็ไม่ทราบว่าคุณยายเห็นภาพพระพุทธรูป
ทางสำนักถือว่าเป็นกิเลส
ท่านถามว่า การเห็นภาพพระพุทธรูปอย่างนี้เป็นอย่างไร
ก็ต้องบอกตามความเป็นจริงว่า
"คุณโยม นี่เป็นฌานในพุทธานุสสติกรรมฐานแล้ว
แล้วคุณโยมไม่ใช่เข้าถึงฌานเฉยๆ เป็นผู้ทรงฌานเสียด้วย
และฌานนี้ก็เป็นฌานที่สูงมาก
สามารถนึกขึ้นมาจะให้พระพุทธรูปใหญ่ขนาดไหนก็ตาม
ใหญ่หรือเล็ก สูงหรือต่ำ ยังไงก็ตามเป็นไปตามนั้นหมด" ก็เลยบอกว่า "ถ้าคุณโยมกล้าทำ ถ้าใครเขาพูดถึงใคร
ลองนึกในใจขอภาพพระพุทธรูปจงหายไป
ขอภาพบุคคลนั้นจงปรากฏแทน"
คุณโยมก็ทำอย่างนั้น ในที่สุดใครพูดถึงใครที่ไหน
คุณโยมก็ถามว่าคนนั้นรูปร่างอย่างนั้นอย่างนี้ใช่ไหม
เขาก็ตอบว่าใช่ เป็นการถูก ก็รวมความว่าคุณโยมต้องการเห็นเทวดา
เห็นนรก สวรรค์ โยมก็เห็นหมด ต้องการเห็นคนที่จากไป
เวลานี้อยู่ที่ไหน ทำอะไรบ้าง คุณโยมก็เห็นถูก
ในเมื่อเขามาหาคุณโยมก็ตอบตรง ตามความรู้สึกที่เห็นไว้ นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
การเจริญพุทธานุสสติกรรมฐาน ในที่สุดคุณโยมนั้น
ก็เห็นชัดว่านรกเป็นยังไง เปรตอสุรกาย
แดนสัตว์เดรัจฉานเป็นยังไงทั้งหมด เวลาคนตายปุ๊บลงไป
โยมก็ติดตามคิดว่าคนนี้ไปไหน ภาพก็ปรากฏชัดทันที
ถ้าคนนั้นไปสู่แดนอบายภูมิ ก็จะถามเขาว่าเพราะบาปอะไร
หรือไปสวรรค์เพราะบุญอะไร แล้วก็ถามคนที่อยู่
ที่เขารู้เรื่องราวเขาก็ตอบตรงตามความเป็นจริง นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทชายและหญิง
การเจริญพุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าทำให้ถูกเสียอย่างเดียว
ไม่ใช่จะเป็นสุกขวิปัสสโก เป็นวิชชาสามก็ได้ เป็นอภิญญาก็ได้ มองดูบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ๓๐ นาทีพอดี
สำหรับตอนที่ ๙ นี้ก็ต้องขอลาก่อน เพราะว่าหมดเวลาเสียแล้ว
ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรทุกท่าน
จงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ
มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ
หากทุกท่านประสงค์สิ่งใด
ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาทุกประการ สวัสดี.. หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤษี วัดท่าซุง) |