ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1877
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

Mad Max : Fury Road โร้ดมูฟวี่โคตรบ้าคลั่ง

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2015-5-20 06:21

Mad Max : Fury Road โร้ดมูฟวี่โคตรบ้าคลั่ง



ในวันที่คนทั่วโลกหลงใหลความแรง เร็วระห่ำของ "Fast and The Furious" และตื่นเต้นสนุกสนามกับความยิ่งใหญ่ของจักรวาล "Marvel" กับ "DC" จนเหมือนจะไม่มีอะไรมาฉุดอยู่ ผู้กำกับรุ่นใหญ่ "จอร์จ มิลเลอร์" ได้ตัดสินใจหยิบหนังแฟรนไชส์ตระกูล "Mad Max" ที่สร้างความสำเร็จถล่มทลายให้ตนเองเมื่อหลายสิบปีก่อน กลับมาปัดฝุ่นทำใหม่อีกครั้งหนึ่งในชื่อ "Mad Max : Fury Road"


Mad Max : Fury Road เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากโลกล่มสลายลงอย่างย่อยยับ ทรัพยากรธรรมชาติ อาทิ น้ำมัน, น้ำ และอาหาร เหลือไม่เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์ ประกอบกับการไม่มีพื้นที่ใดเหลือไว้ให้ "กฏหมาย" กับ "ความสงบ" หยั่งเท้าเข้าไปถึง ส่งผลให้สังคมมนุษย์เกิดความวุ่นวายจากการแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้ตนเองอยู่รอดปลอดภัยในโลกอันโกลาหล














ภายใต้ความบ้าคลั่งของโลกดิสโทเปีย แม็กซ์ ร็อคคาตานสกี้(รับบทโดย ทอม ฮาร์ดี้) อดีตนายตำรวจก่อนโลกล่มสลาย ผู้มีภาพหลอนที่ไม่สามารถช่วยเหลือครอบครัวได้รบกวนชีวิต ต้องหลบหนีการตามล่าจากเหล่า "วอร์บอย" ซึ่งเป็นกองกำลังอันแสนบ้าคลั่งของอิมมอร์ตันโจ(รับบทโดย ฮิวจ์ คียส์-เบิร์น) เจ้าของอาณาจักรซิตาเดล ที่มีน้ำใต้ดินเป็นทรัพยากรสำคัญและเป็นอำนาจที่อิมมอร์ตันโจมีในมือ เพื่อนำมาเป็น "ถุงเลือด" ให้กับกองกำลังคนอื่นๆ ที่ได้รับบาดเจ็บ เพราะแม็กซ์มีเลือดกลุ่มโอชนิดที่สามารถกับใครก็ได้

ขณะเดียวกันกับการหลบหนีของแม็กซ์ หนึ่งในกองกำลังของอาณาจักรอย่าง ฟูริโอซ่า(รับบทโดย ชาร์ลิซ เธอรอน) ที่เพิ่งได้รับหน้าที่ให้ขับรถวอร์ริก ได้ตัดสินใจหักหลังอิมมอร์ตันโจอย่างเหนือคาด ด้วยการพาแก็งค์ภรรยาคนสวยหุ่นดีทั้ง 5 ของอิมมอร์ตันโจหลบหนีไปยัง "กรีนเพลส" ดินแดนอันสงบสุขในฝัน ทำให้กลุ่มหญิงสาวในรถวอร์ริกทั้ง 6 ต้องโดนตามล่า จนทำให้ได้เจอกับแม็กซ์และ นักซ์(รับบทโดย นิโคลัส ฮอลท์) วอร์บอยกลับใจ ก่อนจะร่วมมือกันต่อสู้กับกองกำลังสุดบ้าคลั่งของอิมมอร์ตันโจ

ภาพการขับรถดัดแปลงแบบซื้ออุปกรณ์จากเซียงกงแต่โคตรเท่ มาไล่ล่ากันใน Mad Max : Fury Road ต้องยอมรับอย่างจับใจเลยว่า ผู้กำกับ จอร์ช มิลเลอร์ ดีไซน์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งจังหวะจะโคนในฉากแอคชั่นระเบิดรถตูมตามก็ทำได้ลงตัวน่าตื่นเต้น จนแทบไม่มีเวลาให้พักหายใจจากความบ้าคลั่งระหว่างการไล่ล่า บางทีการมอบตัวแหน่ง "โคตรมันที่สุด" ให้กับหนังภาคนี้ก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งเกินเลยแต่อย่างใด

ทว่าเบื้องหลังของความบ้าคลั่งของฉากไล่ล่าทั้งหมดทั้งมวลนั้น นอกจากต้องยืนขึ้นแสตนด์โอเวชั่นให้การกำกับของ จอร์ช มิลเลอร์ แล้ว ยังต้องชื่นชมการหยิบประเด็นการใส่ไอเดียความศรัทธาในลัทธิและตัวบุคคลให้เหล่าวอร์บอยว่า ถ้าอุทิศชีวิตต่อสู้จนตัวตายให้กับอิมมอร์ตันโจแล้ว พวกเขาจะได้ไปสู่ "วัลลาฮา" ดินแดนปลายทางแห่งเกียรติยศของเหล่านักรบ(ความเชื่อของพวกนอร์ส) ประกอบกับการยกตัวเองของอิมมอร์ตันโจให้กลายเป็นสมมติเทพในสายตาผู้ใต้ปกครอง เห็นได้จากฉากเปิดตัวที่ยืนอยู่ผาสูงและปล่อยน้ำลงมาให้คนเบื้องล่างได้สัมผัส พร้อมกับการพ่นคำสอนแนวปรัญชาประหนึ่งศาสนาผู้กู้โลก จนทำให้เด็กหนุ่มเหล่านี้เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งอย่างมีนัยสำคัญ



หากมองออกมาจากหน้าจอภาพยนตร์จะเห็นว่า ในโลกแห่งความเป็นจริงมีการใช้ไอเดียแบบเดียวกับอิมมอร์ตันโจปกครองอยู่ไม่ใช่น้อย ยกตัวอย่าง สังคมแบบปิดของกลุ่มก่อการร้ายบางกลุ่มที่ใช้ "ศาสนา" ชักจูงปลุกเร้าให้คนยอมพลีชีพเพื่อเป้าหมายตามคำสอน หรือประเทศเผด็จการอย่าง "เกาหลีเหนือ" ที่ใช้วิธีสร้างข่าวลือและโฆษณาชวนเชื่อ จนตอนนี้ "คิม จอง อึน" ใกล้เคียงกับความเป็นเทพไปแล้ว(ล่าสุดเพิ่งบอกว่า สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด กลายเป็นนักเตะระดับโลกได้เพราะเรียนรู้วิธีจาก คิม จอง อึน) หรือแม้กระทั่งสิงค์โปร์ที่ตัดสินจับคุกวัยรุ่นชายคนหนึ่งเป็นเวลา 3 ปี หลังโพสต์ข้อความต่อต้าน "ลีกวนยู"

แต่ถ้ามองให้ใกล้ตัวสักหน่อยก็คงต้องยกให้บรรดา "พุทโธเลี่ยน" ในเมืองไทย ที่มักเป็นเดือดเป็นร้อนอย่างบ้าคลั่ง แทบทุกครั้งที่มีคนมาดูถูกความเชื่อเกี่ยวกับพุทธศาสนาหรือความเชื่ออื่นๆ หากยังจำกันได้เมื่อปี 9 ปีก่อน เคยมีคนสติไม่สบประกอบมาทุบพระพรหมจนพัง ก่อนจะโดนผู้ศรัทธารุมประชาทัณฑ์จนเสียชีวิตในท้ายที่สุด

ความจริงปัญหาความศรัทธาอย่างน่ามืดตามัว จนถึงขั้นงมงายในเมืองไทยยังมีอีกมากที่เป็นปัญหาชนิด "Thailand Only" เขียนเล่าอีกหลายหน้ากระดาษก็ไม่คิดว่าจะจบลงง่ายๆ เพราะหลากสังเกตชีวิตประจำวันรอบตัวให้ดีจะเห็นว่ามีการ "โฆษณาชวนเชื่อ" ให้งมงายอยู่ในหลายประเด็น ตั้งแต่ศาสนาความเชื่อ สุขภาพความสวยงาม ไปจนถึงขั้นการเมืองการปกครองเลยทีเดียว

แนวทางการใช้ลัทธิความเชื่อประหนึ่งสมมติเทพของอิมมอร์ตันโจ ใช้ปกครองเพียงแค่กลุ่มชนชั้นล่างเท่านั้น ตรงกันข้ามกับการสงบกลุ่มคนที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน อิมมอร์ตันโจเลือกใช้วิธีการสยบด้วย "การต่อลองทางธุรกิจ" แลกเปลี่ยนกันด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็น น้ำ, อาหาร, น้ำมัน หรืออาวุธ ซึ่งได้ผลดีกว่าการชักจูงให้เชื่อและศรัทธาอย่างหน้ามืดตามัวเช่นคนระดับล่าง
ด้วยความที่อำนาจและทรัพยากรทั้งหมดอยู่ภายใต้กลุ่มคนเพียงหยิบมือ ได้ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ใน Mad Max : Fury Road ไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรได้อย่างเสรี โดนกดขี่อย่างหนักจนแทบไม่หลงเหลือความเป็นคน จนทำให้เกิดคนอย่าง ฟูริโอซ่า และ 5 ภรรยาของอิมมอร์ตันโจ ที่พยายามลุกขึ้นมาปลดแอกตัวเองและพยายามหนีออกจากดินแดนอันบ้าคลั่ง เพื่อตามหาดินแดนที่ดีกว่าอย่าง กรีนเพลส หรือดินแดนแห่งมารดา ที่เต็มไปด้วยพืชพรรณที่เขียวชอุ่มและอุดมสมบูรณ์



แต่ระหว่างการเดินทางออกไปกลับไม่ราบรื่น เพราะต้องเจอการตามล่าและอุปสรรค์มากมายจนแทบล้มประดาตาย แถมยังพบความจริงที่น่าตื่นตระหนกนั่นคือ กรีนเพลสที่พวกเขากำลังตามหาได้ล่มสลายลงไปแล้ว เหลือเพียงทะเลทรายว่างเปล่าและดินเน่าเสียพร้อมซากศพให้ดูต่างหน้า ส่งผลให้จิตใจฟูริโอซ่าซึ่งมีกรีนเพลสเป็นที่ยึดเหนี่ยวเสมอมาขาดสะบั้นลง จนเกือบตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้าพร้อมเสบียงจำกัดจำเขี่ย

ทว่าก่อนการเดินทางครั้งใหม่จะเริ่มขึ้น แม็กซ์ได้ช่วยเบรกความคิดดังกล่าวลงและเปลี่ยนใจให้หันหน้าเข้าสู้กับอิมมอร์ตันโจ เพื่อหาทางยึดทรัพยากรสำคัญอย่างน้ำและอาหารมาเป็นของตัวเอง ซึ่งบทสรุปของ Mad Max : Fury Road ต่อให้ไม่บอกก็คงเดาออกแล้วว่าเป็นยังไง สุดท้ายก็คงจะแฮปปี้เอนดิ้งตามฟอร์ม แต่ต่อให้รู้ตอนจบไปแล้วก็ยังมั่นใจว่าระดับความสนุกของการดูจะไม่มีทางลดลงอย่างแน่นอน เพราะมัน "โคตรสนุกมาก"

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1432028404






2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-5-20 06:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ภาพการขับรถดัดแปลงแบบซื้ออุปกรณ์จากเซียงกงแต่โคตรเท่ มาไล่ล่ากันใน Mad Max : Fury Road ต้องยอมรับอย่างจับใจเลยว่า ผู้กำกับ จอร์ช มิลเลอร์ ดีไซน์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งจังหวะจะโคนในฉากแอคชั่นระเบิดรถตูมตามก็ทำได้ลงตัวน่าตื่นเต้น จนแทบไม่มีเวลาให้พักหายใจจากความบ้าคลั่งระหว่างการไล่ล่า บางทีการมอบตัวแหน่ง "โคตรมันที่สุด" ให้กับหนังภาคนี้ก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งเกินเลยแต่อย่างใด

ทว่าเบื้องหลังของความบ้าคลั่งของฉากไล่ล่าทั้งหมดทั้งมวลนั้น นอกจากต้องยืนขึ้นแสตนด์โอเวชั่นให้การกำกับของ จอร์ช มิลเลอร์ แล้ว ยังต้องชื่นชมการหยิบประเด็นการใส่ไอเดียความศรัทธาในลัทธิและตัวบุคคลให้เหล่าวอร์บอยว่า ถ้าอุทิศชีวิตต่อสู้จนตัวตายให้กับอิมมอร์ตันโจแล้ว พวกเขาจะได้ไปสู่ "วัลลาฮา" ดินแดนปลายทางแห่งเกียรติยศของเหล่านักรบ(ความเชื่อของพวกนอร์ส) ประกอบกับการยกตัวเองของอิมมอร์ตันโจให้กลายเป็นสมมติเทพในสายตาผู้ใต้ปกครอง เห็นได้จากฉากเปิดตัวที่ยืนอยู่ผาสูงและปล่อยน้ำลงมาให้คนเบื้องล่างได้สัมผัส พร้อมกับการพ่นคำสอนแนวปรัญชาประหนึ่งศาสนาผู้กู้โลก จนทำให้เด็กหนุ่มเหล่านี้เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งอย่างมีนัยสำคัญ



หากมองออกมาจากหน้าจอภาพยนตร์จะเห็นว่า ในโลกแห่งความเป็นจริงมีการใช้ไอเดียแบบเดียวกับอิมมอร์ตันโจปกครองอยู่ไม่ใช่น้อย ยกตัวอย่าง สังคมแบบปิดของกลุ่มก่อการร้ายบางกลุ่มที่ใช้ "ศาสนา" ชักจูงปลุกเร้าให้คนยอมพลีชีพเพื่อเป้าหมายตามคำสอน หรือประเทศเผด็จการอย่าง "เกาหลีเหนือ" ที่ใช้วิธีสร้างข่าวลือและโฆษณาชวนเชื่อ จนตอนนี้ "คิม จอง อึน" ใกล้เคียงกับความเป็นเทพไปแล้ว(ล่าสุดเพิ่งบอกว่า สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด กลายเป็นนักเตะระดับโลกได้เพราะเรียนรู้วิธีจาก คิม จอง อึน) หรือแม้กระทั่งสิงค์โปร์ที่ตัดสินจับคุกวัยรุ่นชายคนหนึ่งเป็นเวลา 3 ปี หลังโพสต์ข้อความต่อต้าน "ลีกวนยู"

แต่ถ้ามองให้ใกล้ตัวสักหน่อยก็คงต้องยกให้บรรดา "พุทโธเลี่ยน" ในเมืองไทย ที่มักเป็นเดือดเป็นร้อนอย่างบ้าคลั่ง แทบทุกครั้งที่มีคนมาดูถูกความเชื่อเกี่ยวกับพุทธศาสนาหรือความเชื่ออื่นๆ หากยังจำกันได้เมื่อปี 9 ปีก่อน เคยมีคนสติไม่สบประกอบมาทุบพระพรหมจนพัง ก่อนจะโดนผู้ศรัทธารุมประชาทัณฑ์จนเสียชีวิตในท้ายที่สุด

ความจริงปัญหาความศรัทธาอย่างน่ามืดตามัว จนถึงขั้นงมงายในเมืองไทยยังมีอีกมากที่เป็นปัญหาชนิด "Thailand Only" เขียนเล่าอีกหลายหน้ากระดาษก็ไม่คิดว่าจะจบลงง่ายๆ เพราะหลากสังเกตชีวิตประจำวันรอบตัวให้ดีจะเห็นว่ามีการ "โฆษณาชวนเชื่อ" ให้งมงายอยู่ในหลายประเด็น ตั้งแต่ศาสนาความเชื่อ สุขภาพความสวยงาม ไปจนถึงขั้นการเมืองการปกครองเลยทีเดียว

แนวทางการใช้ลัทธิความเชื่อประหนึ่งสมมติเทพของอิมมอร์ตันโจ ใช้ปกครองเพียงแค่กลุ่มชนชั้นล่างเท่านั้น ตรงกันข้ามกับการสงบกลุ่มคนที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน อิมมอร์ตันโจเลือกใช้วิธีการสยบด้วย "การต่อลองทางธุรกิจ" แลกเปลี่ยนกันด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็น น้ำ, อาหาร, น้ำมัน หรืออาวุธ ซึ่งได้ผลดีกว่าการชักจูงให้เชื่อและศรัทธาอย่างหน้ามืดตามัวเช่นคนระดับล่าง
ด้วยความที่อำนาจและทรัพยากรทั้งหมดอยู่ภายใต้กลุ่มคนเพียงหยิบมือ ได้ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ใน Mad Max : Fury Road ไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรได้อย่างเสรี โดนกดขี่อย่างหนักจนแทบไม่หลงเหลือความเป็นคน จนทำให้เกิดคนอย่าง ฟูริโอซ่า และ 5 ภรรยาของอิมมอร์ตันโจ ที่พยายามลุกขึ้นมาปลดแอกตัวเองและพยายามหนีออกจากดินแดนอันบ้าคลั่ง เพื่อตามหาดินแดนที่ดีกว่าอย่าง กรีนเพลส หรือดินแดนแห่งมารดา ที่เต็มไปด้วยพืชพรรณที่เขียวชอุ่มและอุดมสมบูรณ์



แต่ระหว่างการเดินทางออกไปกลับไม่ราบรื่น เพราะต้องเจอการตามล่าและอุปสรรค์มากมายจนแทบล้มประดาตาย แถมยังพบความจริงที่น่าตื่นตระหนกนั่นคือ กรีนเพลสที่พวกเขากำลังตามหาได้ล่มสลายลงไปแล้ว เหลือเพียงทะเลทรายว่างเปล่าและดินเน่าเสียพร้อมซากศพให้ดูต่างหน้า ส่งผลให้จิตใจฟูริโอซ่าซึ่งมีกรีนเพลสเป็นที่ยึดเหนี่ยวเสมอมาขาดสะบั้นลง จนเกือบตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้าพร้อมเสบียงจำกัดจำเขี่ย

ทว่าก่อนการเดินทางครั้งใหม่จะเริ่มขึ้น แม็กซ์ได้ช่วยเบรกความคิดดังกล่าวลงและเปลี่ยนใจให้หันหน้าเข้าสู้กับอิมมอร์ตันโจ เพื่อหาทางยึดทรัพยากรสำคัญอย่างน้ำและอาหารมาเป็นของตัวเอง ซึ่งบทสรุปของ Mad Max : Fury Road ต่อให้ไม่บอกก็คงเดาออกแล้วว่าเป็นยังไง สุดท้ายก็คงจะแฮปปี้เอนดิ้งตามฟอร์ม แต่ต่อให้รู้ตอนจบไปแล้วก็ยังมั่นใจว่าระดับความสนุกของการดูจะไม่มีทางลดลงอย่างแน่นอน เพราะมัน "โคตรสนุกมาก"
แค่อยากจะบอกว่า ...เรื่องนี้ ตัวเอกของเรื่องไม่ใช่ผู้ชายนะครับ...แต่มันส์แน่ๆ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้