|
ประวัติหลวงพ่อฟุ้ง
หลวงพ่อท่านเกิด ในตระกูล นิลวัฒนา เมื่อวันอาทิตย์ แรม 12 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง หรือตรงกับวันที่ 18 กันยายน 2435 โยมบิดาของท่านชื่อ หลง โยมมารดาชื่อ ฉ่ำ ท่านเกิดที่บ้านตำบลบางกระบือ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี มีพี่น้องร่วมบิกามารดาเดียวกัน 5 คน ดังนี้
1. หลวงพ่อฟุ้ง
2. นายสุก โตเสม
3. นายสอน โตเสม
4. นายสี โตเสม
5. นางโต๊ะ ยิ้มจันทร์
เมื่อเยาว์วัยได้เข้าเรียนหนังสืออยู่กับพระที่วัดบางกระบือ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี โดยเรียนทั้งภาษาไทยและภาษาขอม มีความรู้พอแก่วิชาที่เรียนแล้วได้ออกจากวัดมาอยู่ช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพตามตระกูลเดิมคือ ทำนา และการประมงในลำแม่ลา อันเป็นถิ่นที่มีปลาชุกชุม รสดี สีสวย ของจังหวัดสิงห์บุรี ท่านได้ช่วยบิดา-มารดา ประกอบอาชีพทำมาหากินด้วยความอุตสาหะมานะบากบั่นเป็นอย่างดีมาจนอายุได้ 19 ปี ถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหารเป็นรั้วของชาติ (เป็นทหารช่างอยู่อยุธยา) อยู่ 2 ปี ครั้นปลดประจำการแล้วบิดามารดาประสงค์จะให้บวชเรียนสืบอายุพระศาสนา ซึ่งเรื่องนี้หลวงพ่อเคยเล่าว่าตรงกับความใฝ่ฝันของท่านคืออยากบวชเป็นทุนเดินอยู่แล้ว จึงยินดีตอบรับเพื่อตอบแทนสนองคุณของพ่อแม่ด้วยความกตัญญูกตเวที
เป็นลูกศิษย์พระครูศรี
เมื่อตกลงที่จะบวชแล้วบิดาก็ได้นำไปฝากอยู่กับพระอาจารย์ที่วัดบางกระบือ อันเป็นวัดที่ใกล้บ้าน และได้เข้าบรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่..........มิถุนายน พ.ศ.2457 ณ พัทธสีมาวัดสิงห์ ต.ทับยา อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี โดยมีท่านพระครูศรีวิระยะโสภิต (หลวงพ่อพระครูศรี) วัดพระปรางค์ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระใบฎีกาบัตรกับ พระอาจารย์จับ เป็นกรรมวาจาและอนุสาวจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้วอุปัชฌาย์ใต้ตั้งนามให้ว่า อุตฺตโม เมื่อออกจากพระอุโบสถแล้วก็เข้าจำพรรษาอยู่ที่วัดราษฎร์บำรุง ต.ทับยา อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ทั้งนี้ด้วยความประสงค์ของเจ้าอาวาสวัดมีศักดิ์เป็นปู่ของท่านซึ่งประสงค์จะให้พระหลานได้อยู่ใกล้ชิดเพื่อสะดวกแก่การอบรมสั่งสอน ในขณะที่ท่านจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ ก็ยังปฏิบัติหน้าที่ของสัทธิวิหาริกที่ดีอีกพึงปฏิบัติพระอุปัชฌาย์ของตน จึงเป็นที่รักเป็นที่วางใจแก่พระอุปัชฌาย์ คือ หลวงพ่อพระครูศรี ขณะนั้นหลวงพ่อพระครูศรีฯ ท่านเป็นเถระคณาจารย์ผู้เรืองวิทยาคม มีเวทมนตร์คาถาอาคมในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อนี้มีเรื่องเล่าเอาไว้มากมาย แต่จะขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง คือ มีเด็กวัดซุกซนเที่ยวปีนต้นไม้เล่น หลวงพ่อเผลอปากทักไปว่า “จะปีนขึ้นไปทำไม เดี๋ยวก็ตกลงมาหรอก” เมื่อสิ้นคำพูดของหลวงพ่อ ปรากฏว่าเด็กคนนั้นตกลงมาจริงๆ เดชะบุญที่ปีนขึ้นไปไม่สูงมากนักจึงตกลงมาไม่ได้รับบาดเจ็บ และหลังจากนั้นหลวงพ่อจะระมัดระวังไม่ทักไม่ดุเด็กอีกเลย หลวงพ่อศรีท่านเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ที่โด่งดังในสมัยนั้น โดยชื่อเสียงของท่านดังไปทั่วทั้งภาคกลาง โดยเฉพาะแถบสิงห์บุรี, อ่างทอง, ชัยนาทและนครสวรรค์ เมื่อหลวงพ่อฟุ้งท่านใกล้ชิด และเป็นศิษย์ที่ท่านอุปสมบทให้ด้วยตัวของท่านเอง ย่อมเป็นโอกาสดีที่จะได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมต่างๆ จากหลวงพ่อศรีและทราบว่า หลวงพ่อฟุ้งได้รับ การถ่ายทอดมาจนครบทุกวิชาของหลวงพ่อศรี ศิษย์ของหลวงพ่อศรี อีกรูปหนึ่งที่ยังมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ขณะนี้ เมื่อเอ่ยชื่อเสียง ทุกท่านต้องรู้จักดี คือ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง หลวงพ่อแพท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อศรีรุ่นหลังหลวงพ่อฟุ้งมาก เพราะพรรษาต่างกันประมาณ 20 พรรษา หลวงพ่อฟุ้ง จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ที่วัดราษฏร์บำรุงเป็นเวลา 5 พรรษา ต่อมาหลวงปู่ท่านมีความประสงค์จะให้ไปจำพรรณรอยู่ที่วัดแม่ลา(วัดสะเดา) ต.แม่ลา เพราะเป็นวัดที่ท่านอุปการะแต่ก่อนทั้งเป็นความประสงค์ของเจ้าอาวาสและบรรดาญาติ ๆ แถวแม่ลานั้นด้วย ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมาอยู่วัดแม่ลา(วัดสะเดา) ในขณะที่มีหลวงพ่อ........เป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อท่านเป็นพระที่ใฝ่ใจศึกษาหาความรู้พระธรรมวินัย และตั้งใจปฏิบัติสม่ำเสมอ ด้วยดีเสมอมา เป็นผู้ประกอบด้วยอินทรีย์สังวรสำรวมและมีอิริยาบถอันนิ่มนวล สงบเสงี่ยมเรียบร้อย
ในปี พ.ศ. 2467 วัดสะเดาว่างเจ้าอาวาสลงคณะสงฆ์จึงแต่งตั้งให้หลวงพ่อฟุ้งท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบแทน เมื่อเป็นเจ้าอาวาสแล้วหลวงพ่อท่านก็ริเริ่มดำเนินการพัฒนาวัด ด้วยการซ่อมแซมปรับปรุงเสนาสนะที่ชำรุดทรุดโทรมให้มีสภาพมั่นคงขึ้น และจัดการสร้างเสนะที่สำคัญและ.......เป็นขึ้นมาใหม่ด้วยความอุตสาหะอันแรงกล้ายอมสละกำลังกาย สติปัญญา และความสามารถทุกอย่างเพื่อความเจริญของวัด และโดยเหตุที่ท่านมีความรู้ในทางช่างเป็นอย่างดี การก่อสร้างภายในวัดจึงจัดทำเอง โดยขอแรงชาวบ้านในท้องถิ่นบ้าง ต่างถิ่นบ้างมาช่วยกันโดยไม่ต้องเสียค่าจ้าง ท่านรับภาระหนักในการพัฒนาวัดเป็นอย่างมากแทบจะกล่าวได้ว่าวัดสะเดายิ่งใหญ่ขึ้นมาในยุคสมัยที่ท่านครองวัดเป็นเจ้าอาวาสอยู่
แม้ว่าท่านจะเป็นนักพัฒนาทางด้านวัตถุชั้นแนวหน้า ถึงกระนั้นท่านก็สนใจในการพัฒนาทางด้านจิตใจด้วย ข้อนี้จะเห็นได้จากการที่ท่านประกอบไปด้วยคุณธรรมความดี เป็นที่ประทับใจแก่ศิษยานุศิษย์และสาธุชนทั้งหลาย คุณธรรมความดีของหลวงพ่อมีดังนี้
1. อินทรีย์สังวร ท่านสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้มีความยินดียินร้ายเพราะเห็นรูป ฟังเสียงดมกลิ่น ลิ้มรส และสัมผัสเข้าครอบงำจิตใจได้ ท่านวางใจเป็นอุเบกขาในอารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามากระทบ ไม่ฟูขึ้นเพราะอิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่ชอบมีลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ไม่แฟบลงเพราะ อนัฏฐารมณ์ คือ ความไม่ชอบมีความเสื่อมจากลาภ ยศ เป็นทุกข์เพราะถูกนินทา คุณธรรมพวกนี้หลวงพ่อท่านถือเคร่งครัดมากดังจะเห็นได้ว่าท่านไม่ทะเยอทะยานในเรื่องเหล่านี้เลย แม้บางครั้งศิษยานุศิษย์บางคน ปรารถนาให้ท่านมีสมณศักดิ์ เพื่อเป็นเกียรติประวัติบ้าง ได้มาปรารภกับท่าน แทนที่ท่านจะสนใจ กลับถูกท่านสั่งสอนเป็นคติเสมอว่า ลาภ ยศ อันเป็นสิ่งที่คนอื่นปรารถนานั้นล้วนเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งสิ้น และเวลาตายแล้วก็เอาติดตัวไปไม่ได้ จะมีก็แต่บุญกุศล หรือคุณธรรมความดีที่เราสร้างไว้เท่านั้น
2. เมตตาธรรม ความรัก ความเห็นใจ ความปรารถนาดี ซึ่งเป็นคุณธรรมของผู้หลักผู้ใหญ่ คุณธรรมข้อนี้หลวงพ่อมีบริบูรณ์จริง เพราะท่านมีความรัก ความปรารถนาดี ความเห็นใจแก่ศิษยานุศิษย์และคนทั่วไป ดังจะเห็นได้ว่าท่านมีอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใสร่าเริงต่อบุคคลทั้งที่เป็นญาติมิตร ศิษยานุศิษย์ และคนอื่นๆ เสมอกัน มีความรู้สึกที่เป็นความปรารถนาดี ปรารถนาสงเคราะห์ต่อกัน แสดงความยินดีต่อบุคคลที่ได้ดี แสดงความเห็นอกเห็นใจเมื่อยามเดือดร้อน วางตนเป็นที่พึ่งต่อบุคคลทั่วไปเหมือนพ่อแม่เป็นที่พึ่งแก่ลูก หรือเหมือนร่มโพธิ์ ร่มไทร ให้ความร่มเย็นแก่วิหคทั้งหลาย เมตตาธรรมของท่านนั้นครอบคลุมถึงสัตว์เดรัจฉาน ดังจะเห็นได้ว่าท่านเลี้ยวแมว หมาเอาไว้มากมาย ความดีของหลวงพ่อยังมีอีกมากมายกว่านี้ ที่นำมาแจ้งแก่ท่านผู้อ่านก็เพื่อเป็นแบบอย่างแบบฉบับแก่ผู้ที่ใฝ่ดีทั้งหลาย |
|