ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2392
ตอบกลับ: 4
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

เรื่อง ภพของเปรตผู้มีฤทธิ์

[คัดลอกลิงก์]
ที่มา หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับปรโลก (หน้าที่ ๑๐๓ - ๑๐๙)

ท่านสาธุชนทุกท่านครับ

ดวงจิตช่วงสุดท้ายของชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากเรามีใจที่อยู่ในบุญ ก็จะไปบังเกิดในสุขคติโลกสวรรค์ แต่หากจิตของเราหม่ก หมุ่นอยู่ในกิเลส หนทางเดียวที่จะไปคืออบายภูมิซึ่งมีแต่ความทุกข์และความลำบาก ดังเรื่องราวต่อไปนี้

สมัยก่อนพุทธกาลประมาณ๗๐๐ปี มีหนูน้อยคนหนึ่งอาศัยอยู่กับพ่อแม่ในหมู่บ้านไม่ไกลจากกรุงสาวัตถีมากเป็นผู้มีจิตใจเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้อุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งด้วยความเคารพ เมื่อเติบโตเป็นหนุ่ม มารดาได้ไปขอหญิงสาวซึ่งมีฐานะเท่าเทียมกันมาเป็นลูกสะใภ้ แต่โชคร้ายที่ชายหนุ่มไปอาบน้ำกับเพื่อนและถูกงูกัดตายก่อนที่จะได้แต่งงานเพียงวันเดียว เมื่อละโลกไปแล้วได้บังเกิดในวิมานเปรต เนื่องจากมีจิตปฏิพัทธ์ในหญิงสาวและขาดสติก่อนตาย แต่ด้วยบุญที่ชายหนุ่มเคยอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงทำให้เป็นเปรตผู้มีฤทธิ์มี อนุภาพมาก นามว่าเวมานิกเปรต ขณะที่เวมานิกเปรตได้ตรวจตราดูทิพยสมบัติอยู่นั้น เกิดจิตอยากได้หญิงสาวมาเป็นคู่ครอง จึงคิดหาวิธีการที่จะนำนางเหล่านั้นมาอยู่ในวิมานของตัวเองและก็ได้ทราบว่าการที่หญิงสาวจะมาเสวยสมบัติเวมานิกเปรตกับตนได้นั้นจะต้องมีบุญรองรับในระดับหนึ่งก่อน ขณะนั้นเองด้วยฤทธิ์เปรต ก็ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งกำลังตัดเย็บจีวรแต่ขาดด้ายเพียงอย่างเดียว จึงแปลงร่างมาเป็นมนุษย์เข้าไปนมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้า พร้อมทั้งบอกหนทางไปยังบ้านหญิงสาว เพื่อให้นางได้บุญใหญ่จากการถวายด้าย ฝ่ายหญิงสาวเมื่อทราบว่าพระจะมาบิณฑบาตด้ายเย็บจีวร จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาถวายด้ายจำนวนหนึ่งแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อหญิงสาวมีบุญรองรับแล้วเปรตจึงแปลงกายเป็นชายหนุ่มไปขอหญิงสาวกับมารดาของนาง โดยเนรมิตภาชนะต่างๆในบ้านให้เต็มไปด้วยแก้วแหวนเงินทองกลายเป็นของมีค่า และทุกชิ้นจะมีชื่อสลักไว้ เพื่อให้รู้ว่า ผู้มีฤทธิ์นำทรัพย์เหล่านี้มามอบให้คนในบ้านหลังนี้โดยเฉพาะ คนอื่นจะเอาไปไม่ได้ เมื่อมารดาหญิงสาวได้เห็นอนุภาพ จึงอนุญาตให้นำลูกสาวไปอยู่ด้วยได้ และด้วยบุญที่ถวายด้ายกับพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงมีบุญรองรับสามารถเสวยทิพยสมบัติร่วมกับเวมานิกเปรต อย่างมีความสุข ฝ่ายมารดาเมื่อได้ทรัพย์ก็ไม่เกิดความตระหนี่ แบ่งสมบัติให้กับหมู่ญาติ ที่เหลือก็ให้คนกำพร้าและคนเดินทางส่วนตัวเองก็ใช้สอยตามอัตภาพ นางได้รอคอยการกลับมาของลูกสาว แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราว ก่อนตายนางได้บอกกับหมู่ญาติว่า เมื่อลูกสาวกลับมาให้มอบทรัพย์สมบัติเหล่านี้ให้แก่นาง เพื่อนำไปหล่อเลี้ยงตัวเองและสร้างบุญกุศล ฝ่ายบุตรสาว ได้เสวยทิพยสมบัติจนเวลาล่วงไป๗๐๐ปี เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันเสด็จอุบัติขึ้น และกำลังประกาศธรรมอยู่ในกรุงสาวัติถี นางเกิดความคิดถึงมารดาและหมู่ญาติ จึงขอร้องเวมานิกเปรตแต่เปรตไม่อนุญาติเพราะรักและเป็นห่วงนางมากจึงไม่อยากให้กลับไปยังโลกมนุษย์ พยายามห้ามนางว่านางอยู่นี่มาตั้ง๗๐๐ปีแล้ว หมู่ญาติและคนรู้จักล้วนได้ตายจากไปหมดแล้ว แต่นางก็ยังคงยืนยันอยากจะกลับไป เวมานิกเปรตเห็นความตั้งใจอันแน่แน่วของนาง จึงอนุญาตและบอกว่า เมื่อนางกลับไปจะมีอายุอยู่ได้ไม่เกินเจ็ดวันก็จะตาย เพราะกายมนุษย์ของนางมีอายุมากเกินคนทั่วไป ที่อยู่ในภพนี้ได้เพราะบุญเก่าหล่อเลี้ยง เมื่อกลับไปถึงให้รีบนำทรัพย์ที่มารดาฝังเอาไว้ มาทำบุญในพระพุทธศาสนา เพื่อนางจะได้มีทิพยวิมานที่สว่างไสวยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า ทันทีที่นางได้มาถึงโลกมนุษย์ ร่างกายของนางก็กลับกลายเป็นหญิงชรามีผมขาวโพลนไร้เรี่ยวแรง ไม่มีกำลังวังชา และไม่มีใครจำนางได้ นางได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับหลานเหลนโหลน ซึ่งสืบทอดมายาวนานถึง ๗ ชั่วคน เมื่อคนทั้งหลายได้ฟัง ก็ต่างเข้าใจเพราะเป็นเรื่องราวที่บรรพบุรุษได้เล่าสืบทอดกันมา ว่าผู้มีฤทธิ์มารับนางไปอยู่ด้วย ทำให้หมู่ญาติ และชาวบ้านที่ได้ยินข่าว มาเยี่ยมหญิงชราที่มีอายุยืนที่สุด นางได้ให้หลานๆ ขนเอาทรัพย์ที่มารดาของตนฝังไว้ออกมาทำทาน นางจะสอนทุกคนว่า “เราได้เห็นเปรตมากมายที่ไม่ได้ทำความดีไว้ ต่างได้รับความเดือดร้อนทุกข์ทรมาน เพราะไม่ได้สั่งสมบุญเอาไว้ บางประเภทก็เสวยสุขเฉพาะกลางวัน พอกลางคืนก็ได้รับการลงทัณฑ์ทรมาน มนุษย์ทั้งหลายก็เช่นเดี่ยวกันควรจะสั่งสมบุญไว้มากๆจะได้ไปเสวยสุขในสวรรค์ อย่างเดียวไม่ต้องไปบังเกิดเป็นเปรต” จากนั้นนางได้ตั้งใจบำเพ็ญมหาทานบารมีแด่ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ตลอด ๗วัน และให้คำแนะนำ แก่หมู่ญาติและคนทั้งหลายว่า “ให้รักในการทำบุญสั่งสมบุญให้มากๆอย่าได้ตระหนี่ อย่าได้ประมาทในการดำเนินชีวิต” ครั้นครบ๗ วัน นางก็ได้เสียชีวิตลง แล้วได้ไปบังเกิดเป็นเทพธิดาผู้มีรัศมีกายสว่างไสวในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ท่านสาธุชนทุกท่านครับ พระเดชพระคุณหลวงพ่อมักจะกล่าวกับลูกๆเสมอว่า เมื่อจิตเศร้าหมองไม่ผ่องใสทุกคติเป็นที่ไป เมื่อจิตผ่องใสไม่เศร้าหมองสุขคติเป็นที่ไป ดังเช่นเวมานิกเปรต ก่อนตายด้วยจิตปฏิพัทธิ์ในหญิงจึงไปเกิดในภพภูมิเปรต แต่ก็เป็นเปรตที่มีฤทธิ์เพราะผลแห่งการอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้าตลอดมา และเมื่อได้เห็นผลแห่งบุญแล้วก็ได้บอกหญิงอันเป็นที่รักของตนให้สั่งสมบุญในช่วงสุดท้ายของชีวิตจึงได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เราลูกพระธัมฯ หลานคุณยาย ผู้มีเป้าหมายไปถึงที่สุดแห่งธรรม ก็ต้องเป็นบุคคลหนึ่งที่รักและขวนขวายในการสั่งสมบุญและสร้างบารมี เพื่อชีวิตหลังความตายที่มีแต่ชัยชนะ สู่ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษ และกลับมาสร้างบารมีพร้อมกับหมู่คณะอีกครั้งได้อย่างสง่างาม
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-11-12 15:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ต้องเป็นบุคคลหนึ่งที่รักและขวนขวายในการสั่งสมบุญและสร้างบารมี

เพื่อชีวิตหลังความตายที่มีแต่ชัยชนะ สู่ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษ


และกลับมาสร้างบารมีพร้อมกับหมู่คณะอีกครั้งได้อย่างสง่างาม


เรื่องนี้ ในสมัยบวชเคยอ่านหนังสือเรื่อง เปรตตาวัตถุ ซึ่งมีคนมาบริจาคไว้ที่วัด บอกเกี่ยวกับเปรตชนิดต่างๆ และผลบุญของเปรต สึกแล้วว่าจะซื้อเก็บไว้ ไม่มีขาย ผมกลับไปวัดหนังสือหายไปแล้ว ผมอ่านก็เป็นแบบเดียวกัน บุญส่วนบุญบาปส่วนบาป แยกกันเหมือนนำกับนำมัน เปรตบางตน สมัยเป็นคน สมาทานศีลช่วงเย็น ตั้งใจรักษาศีลแปด เมื่อตายเป็นเปรตก็ได้รับผลบุญและผลกรรมสลับกันไป ....พระภิษุองค์หนึ่งท่านบอกว่า อย่างแสวงหาบุญ ท่านบวชมาก็ไม่เห็นตัวบุญ จงใช้ปัญญาสร้างกรรม(คือการกระทำ) กรรมสิ่งใดดีให้รู้ ว่ากรรดีย่อมนำไปสู่ที่ดี (ผล) กรรมสิ่งใดชั่ว นำไปสู่ที่ชั่ว(ผล) ผมว่า คนปัจจุบันกลัวคำพูดว่ากรรม เพราะมองในทางลบ กรรมในความหมายพุทธศาสนามี 2 แบบ ดังที่พระเทศนา ...กุสลาธรรมมา อกุสลาธรรมมา คือผลของการกระทำนั้นเอง
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้