ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 4491
ตอบกลับ: 11
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

โปรดอาฬวกยักษ์

[คัดลอกลิงก์]
มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

อาฬะวะกะยักษ์ผู้มีจิตกระด้าง ปราศจากความยับยั้ง
มีฤทธิ์ใหญ่ยิ่งกว่าพระยามาร เข้ามาประทุษร้ายอยู่ตลอดรุ่ง
องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ ด้วยขันติบารมี
ด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-2 15:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พุทธชัยมงคลคาถาบทที่ ๒ กล่าวถึงชัยชนะของพระพุทธเจ้าที่มีต่ออาฬวกยักษ์ ซึ่งเป็นยักษ์ที่ดุร้าย ใจคอเหี้ยมโหด เต็มไปด้วยโทสะ และโมหะ แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงเอาชนะได้ด้วยขันติบารมี คาถาบทนี้นิยมใช้สำหรับการเอาชนะศัตรูผู้กระด้างกระเดื่อง ศัตรูผู้เป็นอันธพาล เป็นต้น
ที่มาของชัยชนะครั้งนี้เกิดขึ้นในพรรษาที่ ๑๖ รายละเอียดมีดังนี้


ยักษ์นั้น เป็นเทวดาจำพวกหนึ่งอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิก อยู่ในปกครองของท้าวเวสสุวรรณ ในสมัยที่เป็นมนุษย์นั้น บุคคลพวกนี้มักเป็นคนเจ้าโทสะ โกรธง่าย โมโหง่าย แต่ได้ทำบุญอยู่บ่อยๆ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้วจึงได้ไปเกิดเป็นยักษ์
ในครั้งพุทธกาล มียักษ์ตนหนึ่ง ชื่อ อฬวกยักษ์ มีวิมานอยู่ที่ต้นไทรใกล้เมืองอาฬวี ยักษ์นี้มีฤทธิ์มาก เหาะเหินเดินอากาศได้ และมีนิสัยดุร้าย ชอบจับคนและสัตว์กินเป็นอาหาร โดยอฬวกยักษ์ได้รับพรจากท้าวเวสสุวรรณให้สามารถจับมนุษย์และสัตว์ที่เข้าไปสู่ร่มไทรของตนกินเป็นอาหารได้
ในครั้งนั้น นครอาฬวี มีกษัตริย์ชื่อ พระเจ้าอาฬวกะ
พระเจ้าอาฬวกะเป็นพระราชาที่โปรดการล่าเนื้อมาก พระองค์เสด็จออกล่าเนื้อเป็นประจำ ระหว่างการล่าเนื้อพระองค์ได้ตั้งกติกาว่าถ้าเนื้อหนีออกไปทางผู้ใด ผู้นั้นจะต้องรับผิดชอบติดตามเนื้อนั้นกลับมาให้ได้
วันหนึ่ง ระหว่างการออกล่าเนื้อ เนื้อตัวหนึ่งได้หลบหนีไปทางที่พระเจ้าอาฬวกะประทับอยู่ ดังนั้น พระองค์จึงทรงธนูเสด็จติดตามเนื้อนั้นไปเป็นระยะทางถึง ๓ โยชน์ ในที่สุด พระองค์ก็สามารถฆ่าเนื้อนั้นได้
พระเจ้าอาฬวกะทรงตัดเนื้อออกเป็น ๒ ท่อน แล้วหาบกลับมา ระหว่างที่เสด็จกลับมานั้นเป็นเวลาเที่ยง เมื่อพระองค์เห็นต้นไทรใบหนาร่มเย็นจึงได้เสด็จเข้าไปประทับพักเหนื่อย โดยไม่รู้ว่าเป็นที่อยู่ของอฬวกยักษ์ พระองค์จึงถูกอฬวกยักษ์จับตัวไว้กินเป็นอาหาร แต่พระเจ้าอาฬวกะทรงขอชีวิตและสัญญาว่าจะส่งคนและสำรับอาหารมาให้เป็นประจำ วันใดพระองค์ไม่ส่งคนมาให้ ก็ขอให้อาฬวกยักษ์ไปจับพระองค์กินได้ อาฬวกยักษ์จึงปล่อยพระองค์ไป

เมื่อพระเจ้าอาฬวกะเสด็จกลับพระนครแล้ว พระองค์ก็ทรงปฏิบัติตามสัญญาโดยจัดส่งนักโทษไปให้อาฬวกยักษ์กินเป็นอาหารทุกวัน
อาฬวกะยักษ์นี้มีกำลังมาก เคี้ยวกินนักโทษเหมือนกินเผือกกินมัน คนที่ไปส่งนักโทษเห็นเข้าก็หวาดกลัว นำมาบอกเล่าสู่กันฟังจนชาวเมืองอาฬวีไม่มีผู้ใดกล้าทำความผิด ในไม่ช้าจึงไม่มีนักโทษส่งไปให้ยักษ์อีก แม้พระเจ้าอฬวกะจะแกล้งเอาทรัพย์ไปทิ้งล่อไว้กลางทาง ก็ยังไม่มีใครกล้าหยิบฉวยเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนเพราะกลัวจะถูกจับเอาไปเป็นอาหารยักษ์


3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-2 15:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เสนาอำมาตย์จึงแนะนำให้นำเด็กบ้านละ ๑ คน ส่งไปเป็นอาหารยักษ์ ทำให้บ้านที่มีบุตรหรือบ้านที่มารดากำลังมีครรภ์อยู่ พากันอพยพหนีไปอยู่เมืองอื่น เมืองอฬวีต้องจัดส่งคนไปเป็นอาหารแก่อฬวกะยักษ์อยู่ถึง ๑๒ ปี ในที่สุดก็ไม่มีเด็กจะให้ยักษ์กิน คงเหลือเด็กเพียงคนเดียว ก็คือ อาฬวกกุมาร พระโอรสของพระเจ้าอาฬวกะนั่นเอง ซึ่งพระเจ้าอาฬวกะก็ตัดสินใจส่งราชโอรสของตนให้ไปเป็นอาหารของยักษ์เพื่อทรงปฏิบัติตามสัญญา
เช้าตรู่วันนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสรรพสัตว์ด้วยสัพพัญญุตาญาน ได้ทรงเห็นว่าอาฬวกยักษ์นี้มีอุปนิสัยพอจะบรรลุโสดาปัตติผลได้ ครั้นทรงกระทำภัตตกิจเช้าเสร็จแล้ว จึงเสด็จจากเมืองสาวัตถีไปยังที่อยู่ของอาฬวกยักษ์ เป็นระยะทาง ๓๐ โยชน์
พระพุทธเจ้าทรงเสด็จถึงหน้าวิมานของอาฬวกยักษ์ในเวลาค่ำ ยักษ์รักษาประตูชื่อ คัทรภะ เห็นจึงเข้าไปถวายบังคมแล้วกราบทูลถาม พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบว่า พระองค์มีพระประสงค์จะพักแรมในที่นี้สักคืนหนึ่ง คัทรภยักษ์ จึงกราบทูลว่า เจ้าของวิมานนี้คือ อาฬวกยักษ์ เป็นยักษ์ที่โหดร้ายหยาบคายมาก ไม่ยอมไหว้ใครๆ แม้แต่บิดามารดาของตน ไม่รู้จักสมณะชีพราหมณ์ และไม่เคารพพระรัตนตรัย พระพุทธองค์อาจจะมีอันตรายได้ แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงออกพระโอษฐ์ขอพักอาศัยถึง ๓ ครั้ง ในที่สุดคัทรภยักษ์ก็อนุญาตให้พระพุทธองค์เข้าพักได้ แต่ขอให้ตนไปแจ้งให้อาฬวกยักษ์ทราบเสียก่อน แล้วคัทรภยักษ์ก็ออกจากวิมานมุ่งตรงไปป่าหิมพานต์ เพื่อแจ้งให้อาฬวกยักษ์ซึ่งกำลังประชุมอยู่ที่สมาคมยักษ์ได้ทราบ
ขณะนั้น ประตูวิมานของอาฬวกยักษ์ก็เปิดออกเอง พระพุทธเจ้าจึงเสด็จเข้าไปประทับนั่ง เปล่งพระรัศมีเป็นสีทองอยู่บนบัลลังก์ทิพย์ของอาฬวกยักษ์ พวกนางสนมของอาฬวกยักษ์เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปก็มีความยินดี พากันมาถวายบังคมแล้วมานั่งฟังธรรม
ทางด้านคัทรภยักษ์ เมื่อไปถึงป่าหิมพานต์ก็นำความไปแจ้งอาฬวกยักษ์ให้ทราบ อาฬวกยักษ์ก็นิ่งไว้ไม่ได้แสดงอาการเพราะอาย กลัวว่ายักษ์อื่นจะรู้ว่ามีพระสมณะเข้าไปในที่อยู่ของตน
ขณะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดนางสนมยักษ์อยู่นั้น มียักษ์อีก ๒ ตน คือ สาตาคิรยักษ์ และเหมวตยักษ์ พร้อมด้วยบริวาร พากันเหาะไปประชุมที่ป่าหิมพานต์ แต่เมื่อมาถึงวิมานของอฬวกยักษ์ก็ไม่สามารถจะเหาะผ่านไปได้ พอทราบว่าพระพุทธองค์ประทับอยู่จึงพากันแวะลงไปเฝ้าฟังธรรมก่อนจะเดินทางต่อ เมื่อไปถึงสมาคมยักษ์แล้ว สาตาคิรยักษ์และเหมวตยักษ์ จึงแจ้งให้อาฬวกยักษ์ทราบว่าพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่วิมานของเขา และแนะนำให้เขาไปเฝ้าพระพุทธองค์
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-2 15:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อได้ทราบเช่นนั้นแล้ว อาฬวกยักษ์ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แม้สาตาคิรยักษ์และเหมวตยักษ์ จะอธิบายว่าพระบรมศาสดาคือพระโพธิสัตว์ที่จุติจากดุสิตสวรรค์มาตรัสรู้เพื่อสั่งสอนสรรพสัตว์ อันเทวดาทั้งหลายรู้ดี แต่อฬวกยักษ์ก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ลุกขึ้นเอาเท้าซ้ายเหยียบพื้นศิลา เท้าขวาเหยียบยอดเขาไกรลาส ส่งเสียงร้องประกาศชื่อของตนดังก้องไปทั่วชมพูทวีป
อิทธิฤทธิ์ของอาฬวกยักษ์นั้น แม้เสียงร้องประกาศก็ดังก้องไปทั่วชมพูทวีป นับเป็นเสียงหนึ่งในบรรดาเสียงดังพิเศษ ๔ อย่างที่ได้ยินกันทั่วชมพูทวีป คือ
๑. เสียงปุณณกยักษ์ส่งเสียงไชโย ในคราวชนะพนันพระเจ้าธนัญชัยโกรพยะ
๒. เสียงท้าวสักกะร้องประกาศขู่จะกินพุทธบริษัทผู้ใจบาป ไม่ถือศีลถือธรรมครั้งปลายพุทธกาลของพระกัสสปพุทธเจ้า
๓. เสียงพระเจ้ากุสราชร้องประกาศพระนามของพระองค์ ในคราวที่พระองค์ทรงพาพระนางปภาวดีเสด็จขึ้นช้างออกจากพระนคร เมื่อนครกุสาวดีถูกกษัตริย์ทั้ง ๗ ปิดล้อม และ
๔. เสียงอาฬวกยักษ์ในครั้งนี้

แล้วอาฬาวกยักษ์ก็บันดาลลมพายุใหญ่ ให้พัดตรงเข้าทำลายพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าทรงอธิษฐานปิดภัยพิบัตินั้นเสีย
อาฬวกยักษ์บันดาลห่าฝนใหญ่ให้ตกลงมา จะใช้น้ำท่วมพระพุทธเจ้าให้ตาย แต่แม้ว่าฝนจะตกรุนแรงจนแผ่นดินแตกเป็นช่องๆ แต่ฝนนั้นก็ไม่อาจเปียกจีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้
อาฬวกยักษ์บันดาลฝนแผ่นหินให้ตกลงมายอดเขาใหญ่ๆ พ่นควันลุกโพลงลงมาทางอากาศ แต่พอถึงพระพุทธเจ้า ฝนหินก็กลับกลายเป็นดอกไม้ทิพย์ไปทันที
อาฬวกยักษ์ทำฝนเครื่องประหาร ฝนถ่านเพลิง ฝนเถ้ารึง ฝนทราย ให้ตกลงมา แต่ฝนเหล่านั้นก็กลายเป็นของหอมอันเป็นทิพย์มาบูชาพระพุทธองค์ไปจนหมดสิ้น
อาฬวกยักษ์นั้น เมื่อไม่อาจทำอันตรายพระพุทธเจ้าได้ด้วยการบันดาลฝนต่างๆ จึงพาพลยักษ์และภูตเข้าไปหา แต่ภูตเหล่านั้นก็ไม่อาจเข้าใกล้พระพุทธเจ้าได้ ดุจดังแมลงวันไม่อาจตอมก้อนเหล็กที่ลุกโพลงได้ฉันนั้น
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-2 15:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผ่านไปครึ่งคืน อาฬวกยักษ์คิดว่าจำเป็นต้องใช้อาวุธที่ร้ายแรงที่สุดของตน ก็คือ ทุสสาวุธ ซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงดุจวชิราวุธของพระอินทร์ คฑาวุธของท้าวเวสสุวรรณ และนัยนาวุธของพระยายมราช
ทุสสาวุธนี้มีลักษณะเป็นผืนผ้า หากโยนขึ้นไปในอากาศ ก็จะทำให้ฝนแล้งถึง ๑๒ ปี ถ้าทิ้งลงพื้นดิน ต้นไม้ต่างๆ ก็จะไหม้ทำลายถึง ๑๒ ปี ถ้าทิ้งลงมหาสมุทร น้ำก็จะแห้งขอด ถ้าทิ้งบนภูเขา แม้เขาสิเนรุมาศก็จะระเบิดกระจัดกระจายเป็นผุยผง
เมื่ออฬวกยักษ์จะใช้ทุสสาวุธ บรรดาเทวดาทั่วหมื่นโลกธาตุต่างก็มาชุมนุมกันเต็มไปหมด เพื่อรอดูพระบารมีของพระพุทธองค์ในการปราบอฬวกยักษ์
อาฬวกยักษ์เหาะวนรอบพระพุทธเจ้า แล้วปล่อยทุสสาวุธไปในอากาศ ทุสสาวุธก็ส่งเสียงดังน่าสะพรึงกลัวประดุจสายฟ้าผ่า แต่สุดท้ายก็ลอยตกลงมากลายเป็นผ้าเช็ดพระบาทที่แทบเท้าพระพุทธองค์
อาฬวกยักษ์เห็นดังนั้น คิดว่าอาวุธทั้งหมดไม่อาจทำอันตรายพระพุทธองค์ได้ จึงออกคำสั่งแก่พระพุทธองค์ว่า “สมณะ ท่านจงออกไปเดี๋ยวนี้”
พระพุทธเจ้าทรงดำริว่าอฬวกยักษ์เป็นผู้มีจิตใจแข็งกระด้าง หากตอบโต้ด้วยความแข็งกระด้างก็จะกลับมีจิตใจกระด้างขึ้นกว่าเก่า ดำริแล้วก็ทรงลุกขึ้นและเสด็จออกจากวิมานยักษ์
อฬวกยักษ์เห็นดังนั้นจิตใจก็อ่อนลง คิดว่าพระพุทธเจ้านี้ว่าง่าย แล้วออกคำสั่งต่อว่า “สมณะ ท่านจงเข้าไป” พระพุทธเจ้าก็ทรงเสด็จเข้าไปในวิมานยักษ์ อฬวกยักษ์ได้ใจ ออกคำสั่งให้พระพุทธเจ้าเข้าๆ ออกๆ อยู่ ถึง ๓ ครั้ง ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงทำตาม ประดุจการตามใจบุตรเมื่อร้องไห้ แต่เมื่อถึงครั้งที่ ๔ อฬวกยักษ์สั่งว่า “สมณะ ท่านจงออกไป” ครั้งนี้พระพุทธเจ้าทรงดำรัสตอบว่า “เราไม่ออกไป ท่านจะทำอะไรก็ทำเถิด”
เมื่ออฬวกยักษ์ถามเหตุผล พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบว่า “เมื่อเราเข้ามานั้นเราไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ้าน เมื่อเจ้าให้ออกเราจึงออก แต่เมื่อเจ้าผู้เป็นเจ้าของบ้านอนุญาตให้เราเข้ามาแล้ว เหตุใดเราต้องออกไปอีก ดูก่อน อฬวกยักษ์ เจ้าอนุญาตให้ใครเขาเข้ามาแล้วออกปากไล่เขานั้น ไม่มีมารยาท ไม่มีใครนับถือ”
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-2 15:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย oustayutt เมื่อ 2013-9-2 16:00

อาฬวกยักษ์แปลกใจในพุทธปัญญา จึงเปลี่ยนเป็นทูลถามปัญหา โดยขู่ว่าหากพระองค์แก้ไม่ได้ เขาก็จะฉีกหัวใจ และจับร่างพระองค์เหวี่ยงข้ามแม่น้ำคงคา
แล้วอฬวกยักษ์ก็ไปนำคำถามมาถามพระพุทธเจ้า โดยคำถามนี้มีที่มาจากในอดีตกาลในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อน คือ พระกัสสปะพุทธเจ้า บิดามารดาของอาฬวกยักษ์ได้เคยถามปัญหาจากพระพุทธกัสสปะ และได้นำมาสั่งสอนอฬวกยักษ์ แต่พอนานวันเข้าอฬวกยักษ์ก็จำได้แต่คำถาม แต่ลืมคำตอบ ถามใครๆ ก็ไม่มีใครตอบได้ เพราะเป็นปัญหาที่ตอบได้เฉพาะพระพุทธเจ้า อฬวกยักษ์จึงเขียนคำถามเก็บไว้ในวิมาน
พระพุทธเจ้าก็ทรงแก้ปัญหาให้อฬวกยักษ์เหมือนที่พระพุทธกัสสปะเคยแก้ไว้ ดังนี้


ปุจฉา : อะไรเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอันประเสริฐของคนในโลกนี้ อะไรที่บุคคลประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้ อะไรเป็นรสอันล้ำเลิศกว่ารสทั้งหลาย และผู้เป็นอยู่อย่างไรที่นักปราชญ์ยกย่องว่าประเสริฐสุด
วิสัชนา : ศรัทธาเป็นทรัพย์อันประเสริฐของคนในโลก ธรรมอันบุคคลประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้ ความสัตย์เป็นรสอันล้ำเลิศกว่ารสทั้งหลาย และผู้อยู่ด้วยปัญญานักปราชญ์ทั้งหลายสรรเสริญว่าประเสริฐสุด
ปุจฉา : คนข้ามโอฆะได้อย่างไร ข้ามอรรณพได้อย่างไร ล่วงทุกข์ได้อย่างไร บริสุทธิ์ได้อย่างไร
วิสัชนา : คนข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา ข้ามอรรณพได้ด้วยความไม่ประมาท ล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา
ปุจฉา : คนมีปัญญาได้อย่างไร หาทรัพย์ได้อย่างไร หาชื่อเสียงได้อย่างไร ผูกมิตรได้อย่างไร และทำอย่างไรจึงจะไม่เศร้าโศกเมื่อไปสู่ภพหน้า
วิสัชนา : บุคคลเชื่อฟังธรรมย่อมได้ปัญญา บุคคลไม่ประมาท ฉลาด ไม่ทอดธุระ มีความเพียร ย่อมหาทรัพย์ได้ บุคคลย่อมได้ชื่อเสียงเพราะความสัตย์ ผู้ให้ย่อมผูกมิตรไว้ได้ และบุคคลผู้มีธรรม ๔ ประการ คือ สัจจะ ทมะ จาคะ และขันติ บุคคลนั้นละโลกนี้ไปแล้วย่อมไม่เศร้าโศก

7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-2 16:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในที่สุดแห่งการทูลถามปัญหานี้ อาฬวกยักษ์ ผู้ส่งจิตใจไปตามพระธรรมเทศนา ก็สำเร็จเป็นพระโสดาบันในรุ่งแจ้งนั้นเอง
เมื่ออาฬวกยักษ์สำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้วก็เปล่งเสียงสาธุการ เป็นเวลาเดียวกับที่คนจากเมืองอาฬวีนำอาฬวกกุมารมามอบให้

อาฬวกยักษ์รับพระราชกุมารนั้นแล้วก็ประคองราชกุมารน้อมถวายแด่พระพุทธองค์ด้วยความเคารพ พระพุทธองค์ทรงรับพระราชกุมารนั้นมา ทรงประทานพรแล้วทรงมอบคืนให้คนของกษัตริย์เมืองอาฬวี พระราชกุมารนั้นจึงมีพระนามว่า หัตถกอาฬวกะ
แล้วพระพุทธเจ้าก็เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองอาฬวี มีอาฬวกยักษ์เดินถือบาตรและสังฆาฏิตามมาส่งถึงครึ่งทางแล้วจึงกลับ หลังจากนั้นอาฬวกยักษ์ก็อยู่ในศีลธรรม เลิกกินเนื้อมนุษย์ตั้งแต่บัดนั้น
ฝ่ายพระเจ้าอาฬวกะพร้อมด้วยข้าราชบริพารและประชาชน ได้ตามไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งใกล้ประตูเมืองอาฬวี และทูลถามเหตุว่าพระพุทธองค์ทรงโปรดยักษ์ร้ายได้อย่างไร


พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงอาฬวกสูตร กษัตริย์และประชาชนเหล่านั้นได้ฟังธรรมแล้วก็บรรลุมรรคผลถึง ๘๔,๐๐๐ คน ส่วนหัตถกอาฬวกกุมาร ต่อมาก็ได้บวชเรียนและสำเร็จเป็นพระอนาคามี
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-2 16:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หัตถกอาฬวกกุมาร นั้น เมื่อเจริญวัยขึ้นมา ได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดา ได้บรรลุเป็นพระอนาคามี ประกาศตนเป็นอุบาสกขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต เมื่อเขาจะไปที่ใด ๆ ก็จะมีอุบาสกผู้เป็นอริยะ ๕๐๐ คน ติดตามแวดล้อมตลอดเวลา พระบรมศาสดาได้ตรัสถามเขาว่า “ มีหลักสงเคราะห์บริษัทบริวารอย่างไร? ”
หัตถอาฬวกกุมาร กราบทูลว่า:-
“ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์สงเคราะห์ด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการคือ:-
๑. ทาน ถ้าเขายินดีด้วยการให้ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยการให้
๒. ปิยวาจา ถ้าเขายินดีด้วยการพูดจาไพเราะน่ารัก ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยวาจาไพเราะน่ารัก
๓. อัตถจริยา ถ้าเขายินดีด้วยการให้ทำกิจที่เกิดขึ้นจนสำเร็จข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยการช่วยทำกิจที่เกิดขึ้นให้สำเร็จ
๔. สมานัตตตา ถ้าเขายินดีด้วยการวางตนเสมอกัน ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยการวางตนเสมอกัน

พระบามศาสดา ทรงอนุโมทนาในการสงเคราะห์บริษัทบริวารของเขา แล้วทรงประกาศบกย่องหัตถอาฬวกอุบาสก ให้ดำรงตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าอุบาสกทั้งปวง ในฝ่าย ผู้สงเคราะห์บริษัทด้วยสังควัตถุ ๔.


ที่มาครับ
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-2 16:03 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-2 16:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้