ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 32641
ตอบกลับ: 9
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

มหายันต์ศรีจักรา แห่งมหาจักรวาล

[คัดลอกลิงก์]




  • ในลัทธิพระเวทต้นกำเนิดของศาสนาฮินดูในประเทศอินเดียและเนปาลศาสตร์แห่งการเขียนลวดลายเพื่อสร้างกระแสพลังอำนาจนี้เรียกว่า อักกะตัชชารี หมายถึงการเขียนพระยันตร์รูปแบบต่างๆรวมไปถึงเลขยันตร์คาถาอาคมที่ถอดจากคำพูดแต่ละคำกลายเป็นตัวอักษรและสัญลักษณ์อันถูกจัดเรียงอย่างมีระเบียบและการนำตัวเลขแทนสัญลักษณ์ดวงดาวต่างๆจัดเรียงอยู่ในผังสมมุติของจักวาลทำการจัดเรียงตัวเลขเหล่านั้นในทิศทางองศา
    ที่ดีที่สุดโดยเชื่อว่าอำนาจจากตัวเลขที่ถูกสมมุติแทนดาวดวงต่างๆจะส่งพลังงานจากดาวดวงจริงหรือพลังจักวาลมาสู่ตัวผู้บูชาทั้งนี้พระยันตร์ต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นก็เพื่อใช้กับเหตุการหรือความปรารถาต่างๆหนึ่งในพระยันต์ที่เรียกว่าเป็นมหายันต์ที่มีอำนาจในการแผ่พลังงานจักวาลชั้นสูงคือ ศรีจักรา ยันต์ศรีจักรานี้เป็นรูปยันต์ที่มีความซับซ้อนอย่างยิ่งปรากฏเป็นรูปสามเหลี่ยมที่ซ้อนขึ้นลงสลับกันคล้ายดาวหกแฉกซ้อนกันทั้งหมด3ชั้นมีจุดกึ่งกลางเป็นสามเหลี่ยมควำอยู่ภายในและภายในสามเหลี่ยมคว่ำนั้นมีจุดวงกลมที่เรียกว่าพินธุอยู่รูปสามเหลี่ยมที่เหลีอมซ้อนกันนั้นถูกบรรจุอยู่ภายในวงกลมที่ซ้อนกันอยู่2ชั้นวงกลมชั้นแรกมีรูปดอกบัวแปดกลีบวงกลมชั้นที่2มีรูปดอกบัว16กลีบโดยรูปทั้งหมดนี้ถูกซ้อนอยู่ในสี่เหลี่ยมจตุรัสอีกที่หนึ่งรูปร่างของมหายันต์ศรีจักรานี้มีความหมายอย่างลึกซึ้ง


การสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อทางศาสนาต่างๆนั้นสถานที่ที่ถูกสร้างจะต้องทำการออกแบบให้สอดคล้องกับจักวาลเพื่อเป็นการดึงอำนาจเบื้องสูงลงมารวมทั้งเป็นการนำพาพลังงานจากเบื้องต่ำขึ้นไปสู่เบื้องสูงทั้งนี้จึงเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับพลังงานจักรวาลโดยตรงอย่างเช่นการสร้างพีระมิดอันเป็นสถานที่ที่มีประจุกระแสพลังงานมหาศาลอยู่ภายในหรือการสร้างพระเจดีย์ต่างๆเช่นมหาปราสาทนครวัดนครธมการสร้างพระเจดีย์ต่างๆที่เราเห็นกันทุกวันนี้ก็ล้วนมาจากญาณทัศนะที่ล่วงรู้รูปแบบบางอย่างอันจะสามารถเชื้อเชิญพลังงานอันมหาศาลจากจักรวาลการรวบรวมพลังงานที่กระจัดกระจายให้เป็นระเบียบการแผ่พลังงานออกมาอย่างต่องนื่องและทรงประสิทธิภาพรวมทั้งการยกพลังงานชีวิตและคลื่นพลังงานภายในของผู้ที่เข้ามาให้สูงขึ้น

จากการสร้างรูปแบบเพื่อทำสถาปัตยกรรมชั้นสูงที่มีขนาดใหญ่อีกทางหนึ่งคือการจำลองเอารูปลักษณ์ดังกล่าวเป็นพระยันต์เพื่อพกติดตัวโดยเชื่อว่าคือการย่อส่วนลงมาเพื่อให้เป็นขุมพลังงานที่เคลื่อนที่ได้การสร้างแผนผังเพื่อสร้างวัดวาอารามคือการสร้างแผนผังจำลองจักวาลที่ใหญ่มหาศาลมาเป็นตัวเรือนแต่กระนั้นตัวเรือนหรือสิ่งก่อสร้างก็ไม่สามารถเคลื่อนที่หรือจับย้ายไปมาให้ติดไปกับแต่ละตัว

บุคคลแต่สามารถใช้ได้กับคนจำนวนมากพร้อมกันได้ขณะที่การจำลองรูปแผนผังจักวาลมาสู่รูปลักษณ์ขนาดเล็กที่สามารถติดตัวไปไหนต่อไหนจึงเป็นสิ่งที่สามารถส่งพลังงานอย่างต่อเนื่องให้แก่บุคคลผู้นั้นและสามารถผันแปรพลังงานที่ส่งออกมาในรูปที่เราต้องการได้โดยตรงดีกว่า

ยันต์ศรีจักราคือพระยันต์ที่มีความหมายภายในตัวที่กว้างขวางและลึกมีอิทธิพลต่อหลายระนาบของมิติต่างๆเป็นทั้งการสื่อพลังงานจักวาลการสื่อพลังงานของเทพจนกระทั้งการเข้าถึงปรัชญาระดับสูง

จุดกึ่งกลางของพระยันต์นี้หมายถึงจุดเริ่มต้นของการแผ่ขยายพลังงานพลังงานที่แผ่ออกมามีลักษณะเป็นระลอกคลื่นขณะเดียวกันก็มีการดึงดูดพลังงานจากจักรวาลเข้ามาสู่ตัวเองการแผ่พลังงานและการดึงพลังงานจักวาลของศรัจักรานี้เป็นแบบเดียวกันกับกระบวนการหายใจเข้าออกของมนุษย์และเป็นปรากฎการดึงพลังงานเข้าออกของจักรภายในตัวคนเราด้วย

การแผ่พลังงานที่มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมซ้อนๆกันนั้นสามเหลี่ยมคือตัวแทนของเวลาทั้งสามอันได้แก่ อดีต ปัจจุบันอนาคตและภพทั้งสามคือกามเทพรูปภพและอรูปภพรวมไปถึงพลังงานอันรังสรรค์ของพระเป็นเจ้าอีกสามอย่างคือแสงน้ำและอากาศเมื่อแรกที่พลังงานจากจุดกึ่งกลางทำการแผ่ออกมากลายเป็นรูปสามเหลี่ยมนั้นหมายถึงคุณสมบัติแรกสามประการของพระเป็นเจ้าคือแสงน้ำและอากาศเมื่อเกิดแสงน้ำและอากาศขึ้นมาก็เกิดเป็นภพต่างๆที่มีความละเอียดต่างๆกันและเกิดเป็นเวลาต่างๆที่ต่างกันออกไปในแต่ละภพการแผ่นพลังงานของศรีจักราแผ่ไปในทิศหลักทั้งสี่คือเหนือใต้ออกตกและแผ่ไปในทิศทั้ง6คือด้านหน้าด้านหลังซ้ายขวาเบื้องบนและเบื้องล่างฐานบัวที่ซ้อนกันสองชั้นจาก8เป็น16แสดงให้เห็นถึงการขยายพลังงานที่คล้ายกับการแย้มของกลีบดอกบัวเป็นแบบทวีคูณและไม่มีที่สิ้นสุดตามแนวของศาสตร์แห่งโยคะ


ศรีจักราคือการย่อส่วนพลังจักวาลหรือพลังแห่งพระเป็นเจ้าที่ยิ่งใหญ่ลงมาสู่รูปแบบที่มีขนาดเล็กดังนั้นศรีจักราจึงทำหน้าที่คล้ายชิบของคอมพิวเตอร์หรือแผงวงจรของคอมพิวเตอร์ที่ประมวลความรู้ข้อมูลหรือสาระสำคัญอย่างยิ่งยวดเอาไว้

http://aiphan.blogspot.com/2011/12/blog-post.html





2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-12 16:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ศรีจักรา
มหายันต์ปาฏิหาริย์แห่งโลก มนุษย์ เทพ       และจักรวาล            
           ศรีจักรานี้เป็นยันต์ที่ถือว่าเป็นสุดยอดของยันต์ทั้งปวงของชาวภารตะ       ซึ่งถูกลอกเลียนไปใช้ในทิเบตแต่ก็ได้ไปแบบไม่ครบถ้วน       เนื่องจากคติยันต์ฝ่ายฮินดูนั้นผูกสร้างอำนาจจากเทวะต่างๆด้วย       การบูชาเทวราชที่เป็นรูปแบบหนึ่งของธรรมชาติ       หรือบางทีคัมภีร์โบราณก็มักกล่าวว่า       ธรรมชาติที่เราเห็นอยู่สัมผัสอยู่นี่ละที่เป็นส่วนหนึ่งของพระเป็นเจ้าของพวกเขา       ซึ่งตรงนี้ลุงกุสต้องขอบอกว่าเรื่องราวของเทพเจ้าทางพราหมณ์เขานั้นนะไม่ใช่สิ่งที่เหลวไหลไร้สาระนา       แต่เป็นการศึกษาในระดับคลาสสิกทีเดียวเชียวซึ่งต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า       เรื่องทรงเจ้าเข้าผีที่ก่อคดีสะเทือนขวัญที่เพิ่งผ่านมาเร็วๆนี้มันเป็นคนละเรื่องกับศาสตร์ของทางพราหมณ์เขา       ซึ่งไม่นิยมยอมรับเรื่องการประทับทรงนี้เลย       โดยยกเว้นพวกกลุ่มชาวทมิฬ(อินเดียใต้)        ที่มักมีพิธีทรงเจ้าแต่คนฮินดูส่วนใหญ่เขาไม่ยอมรับเนื่องจากมีคติว่าร่างกายของมนุษย์นั้น       หยาบเกินกว่าภาวะของเทพเจ้าจะเข้าทาบทับจนสนิทได้ซึ่งผู้ที่จะเข้าถึงเทพเจ้าได้ต้องบำเพ็ญตบะเฉพาะ       และต้องแสวงสันโดษจนจิตยกระดับเป็นที่สมาคมกับมหาเทวะทั้งหลายได้       เรื่องการทรงเจ้าเข้าผีแบบดำน้ำลุยไฟนี่ละลุงกุสไม่ยอมรับกิจพิธีเหล่านี้ว่า       เป็นเรื่องของเทพเจ้าหรอกเพราะจากตำรับตำราที่เชื่อถือได้พบว่าเป็นพิธีกรรมของพวกคนป่าด้อยอารยะธรรมแบบพ่อมดหมอผีวูดู       ซึ่งลัทธินิยมเทวะเรียกพวกนี้ว่า “อสูรนิกาย”        นิยายจีนกำลังภายในเราจะได้ยินว่า “ม้อก่า”หรือนิกายอสูรนี่ละ       สำหรับสายอารยะธรรมนี่ต้องบอกว่ามาคนละด้านเลย       พวกเทพนิกายนี้เดิมของอินเดียนั้นมาตอนที่เผ่าอารยันบุกเข้าส่วนกลางของชมพูทวีป       และสถาปนาเผ่าพันธุ์ของตนเข้าปกครองชาวพื้นเมืองเดิมที่เรียกว่ามิลักขะซึ่งมีส่วนหนึ่งอพยพถอยร่นมาสู่อินเดียทางตอนใต้       เผ่าอาระยันก็คือบรรพบุรุษของราชวงศ์ศากยะ       ซึ่งเราจะไม่แปลกใจเลยที่ลำดับเทพเจ้าในพุทธศาสนานั้น       บางประการเหมือนที่ปรากฏในคัมภีร์ก่อนยชุรเวทของพราหมณ์       และเป็นต้นเรื่องราววิชาการสายพระเวทต่างๆที่แตกสาขาออกมากมายจน       แม้พุทธฝ่ายเถรวาทที่ยึดมั่นในธรรมวินัยดั้งเดิมที่พระศรีศากยะมุนีก็รับเอาความรู้นี้มาปรับใช้(ระดับฆารวาสธรรม)        โดยอยู่ใต้พุทธปรัชญาอย่างกลมกลืนทั้งนี้ก็เพราะต่างเป็นเรื่องราวของสัจจะธรรมในธรรมชาติจึงเรียกว่าพูดจาภาษาเดียวกันนั่นเอง

           ลุงกุสเล่าเรื่องมายิกของชาวตะวันตกมาก็หลายตอนเลยอยากนำเรื่องราวของชาวภารตะที่นับว่าเป็นต้นตำรับมายิก       หรือพระเวทสายสำคัญสายหนึ่งของโลกมาเล่าสู่กันฟังบ้างและพบว่า       ในกระบวนยันต์ต่างๆที่มีใช้ในบ้านเรานั้นส่วนใหญ่พัฒนาดัดแปลงมาจากสายพราหมณ์มากพอสมควร       ทั้งนี้เราต้องยอมรับอยู่ว่าวิทยาการของพราหมณ์(ในระดับทางโลกีย์วิสัย)        นั้นถือว่าเป็นสุดยอดของโลกสายหนึ่งทีเดียวเชียวเดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่บอก        

            ชาวภารตะมักปลูกสร้างความศักดิ์สิทธิ์โดยกำหนดบูชาองค์เทวะเจ้าต่างๆ       ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทางธรรมชาติโดยมองจักรวาลในระบบที่เปิดคือมิใช่มองแค่มนุษย์เป็นศูนย์กลาง       แต่มองในโลกธาตุที่มีภพภูมิอื่นๆร่วมอยู่ด้วยทั้งไม่ได้จัดระดับมนุษย์ให้สูงหรือต่ำเกินไปแต่อยู่บนหนทางเลือกแบบว่า        “จิตวิญญาณเสรี”อย่างไรอย่างนั้นคือจะเลือกไปดีไปชั่วได้ด้วยศรัทธาและปัญญาของตัวเองที่จะนำพาพฤติกรรมของตนเป็นการสร้าง        “กรรม” ที่ชักนำสถานะของตนไป เรื่องเทพเจ้าของภารตะถูกนำมาผูกสร้าง        “มหาวิทยา” คือความรู้ที่ยิ่งใหญ่สองประการคือ ยันตรา และมันตรา       กล่าวว่าทั้งสองประการคือเส้นสายของจักรวาลที่ถักทอเป็นชาติภพหรืออาจเรียกว่า       มายาแห่งประชาบดีก็บ่มิผิด(เอ้าว่าเข้านั่น) ยันตราเป็นคลื่นของแสง       ส่วนมันตราเป็นคลื่นของเสียง เรียกว่า มีทั้งคลื่นตามยาวและคลื่นตามขวางเลย       หลักการดังกล่าว       ยันตราและมันตราต่างๆจึงมีความเข้มขลังที่เป็นพลังงานศักดิ์สิทธิ์สากล       ที่เสมือนหนึ่งจิตวิญญาณสากลแห่งจักรวาลได้รังสรรค์สร้างให้มนุษย์ได้รู้จักเรียนรู้เพื่อค้นพบตัวตนที่แท้จริงว่า       อัตตาของตนนั้นคือสถานะใดในอุ้งหัตถ์แห่งประชาบดี(ธรรมชาติผู้สร้าง,พระเป็นเจ้า)

*     http://webpraonline.blogspot.com/2013/11/1_19.html

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-12 16:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ศรีจักรา
มหายันต์ปาฏิหาริย์แห่งโลก มนุษย์ เทพ       และจักรวาล (ตอนที่ ๒)
            
           การปรับเปลี่ยนเงื่อนไขกาลเวลาของยุคต่างๆที่ซ้อนมิติอยู่ในจักรวาล       ซึ่งโดยปกตินั้น จะแสดงสถานะยุคทางกาลเวลานั้นสี่สถาน       เริ่มตั้งแต่เริ่มต้นยุคสร้าง จนสิ้นสุด(มหากาลียุคคือปัจจุบันนั่นเอง)        ซึ่งเป็นการดับยุคแล้วเกิดวัฏฏะยุคทางกาลเวลาใหม่       สิ่งเหล่านี้ได้ปรากฏในการเคลื่อนที่ของระบบสุริยะทั้งระบบที่โลก       เป็นแกนในการสร้างความสัมพันธ์กับดาวเคราะห์อื่นๆนั้น       ก็จะมีลักษณะการอย่างเช่นการเกิดจุดสุริยะฉายเป็นเสมือน       ประตูสวรรค์สี่ครั้งตามที่กล่าวมานั้นก็ตาม       ลักษณะดังกล่าวยังปรากฏให้เห็นเป็นฤดูในปีนั้นก็มีความแตกต่างตามสภาวะที่ปรากฏในธรรมชาติ       ซึ่งบางคนอาจถกเถียงว่า บางส่วนอย่างพื้นที่ตรงใกล้เส้นศูนย์สูตร       หรือบริเวณขั้วการหมุนของโลกนั้นจะมีฤดูกาลปรากฏให้เห็นไม่ถึงสี่ฤดูกาลก็ขอแก้ว่า       ฤดูทั้งสี่นั้นยังมีอยู่แต่ช่วงที่ปรากฏในแต่ละพื้นที่นั้นเหมือนจุดเงา       ที่บางบริเวณอาจเกิดการทาบซ้อนหรือมีระยะสั้นจึงไม่อาจสังเกตเห็น       ความเป็นไปดังกล่าวย่อมแสดงให้ประจักษ์แจ้งถึงประตูแห่งจักรวาล       ที่มีอยู่ถึงสี่ด้านและเป็นที่มาของเทพผู้พิทักษณ์ที่เรารู้จักในคติพุทธศาสนาว่า       จตุโลกบาล ยังไงละหลานๆ ซึ่งกระบวนดาวฤกษ์ดาวเคราะห์       ทั้งหลายนี้จะมีแรงกระทำต่อกันอยู่ตลอดจึงรักษาสถานะที่เป็นในขณะนั้น       ได้หากดาวใดหรือสิ่งใดมีการเปลี่ยนแปลงภายในที่รบกวนระบบใหญ่ก็จะเกิดการไม่สมดุล       และดำรงอยู่ไม่ได้ ความรู้นี้จึงเกิดปรัชญาเรื่อง “กรรม”        ของพราหมณ์ที่มีนัยใกล้เคียงกับที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ(กฏไอแซคนิวตันทั้งสามข้อ)คือ        “หากกรรมเพียงนิดปรากฏก็กระเทือนทั่วจักรวาล”        การกระทำของใครก็ตามจึงส่งผลต่อระบบจักรวาล       ทั้งระบบต่างที่ผลปรากฏจะมากน้อยกว่ากันเท่านั้น หลักกรรมที่ว่าจึงเกิดจารีต        “อหิงสา” คือการไม่เบียดเบียนเป็นการรักษาตัวเอง และระบบไว้เพราะเชื่อว่าหาก       กรรมที่มนุษย์ร่วมกันก่อมากๆก็อาจมีผลกระทบกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ       ต่างๆที่แปรปรวนไปเรื่องนี้ดูจะสอดคล้องกับหลักศาสนาใหญ่ทุกศาสนาเลยละ        (ไม่รู้ว่า คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ จะเกี่ยวหรือไม่?        แต่นักศาสนาหลายคนเชื่อว่าเป็นสัญญาณเตือนมนุษย์จากบางสิ่งบางอย่างว่าให้ปรับการกระทำของตนเสียใหม่)        ขณะที่จักรวาลดำเนินธรรมชาติความเป็นไปที่เล่ามา       โดยในระหว่างที่ยุคกาลเวลานี้ยังดำเนินไปนั้นจะมีพลังงานบางประการรักษาสมดุลของจักรวาลไว้คือ       ก่อเกิด(พรหม) รักษาสถานะ(นารายณ์) ทำลายเพื่อสร้างสภาวะใหม่(ศิวะ)        รวมเรียกว่า “พระเป็นเจ้า” นั่นเอง       โดยอาศัยแบบจำลองเสาหลักของกาลเวลาที่เรียกว่า “ศรีไกรลาส”        ซึ่งเป็นจุดที่กาลเวลาสงบนิ่งที่อดีต       ปัจจุบันและอนาคตเป็นหนึ่งเดียวกันอาจกล่าวว่าลักษณะเช่นนี้เป็น       การตกผลึกของวัฏฏะจักรการเวลาซึ่งได้กำหนดเหตุการณ์ดังกล่าวในลักษณะภาพรูปทรงเรขาคณิต       ซึ่งในทางวัตถุนั้นเราไม่อาจเห็นได้ง่ายนัก       แต่โดยหลักวิชาทางพราหมณ์ยุคก่อนได้เรียนรู้กลไกการเคลื่อนขยายอาณาเขตของจักรวาล       ที่มีการสามารถเล็งหาจุดศูนย์กลางการเคลื่อนออกนั้น        (ปัจจุบันนักดาราศาสตร์ก็ยอมรับว่า จักรวาลขยายตัวออกทุกขณะ)        ในทางวัตถุนั้นหากหลานๆลุงกุสอยากจะลองค้นคว้าเรื่องสถานที่ที่เป็นจุดยึดตรึงกาลเวลา       ก็สามารถหาได้จากเข็มทิศที่ลองวางแนวเข็มทิศที่เป็นสนามแม่เหล็กในบ้านดู       ก็จะพบว่าแต่ละพื้นที่มีเส้นแรงแม่เหล็กที่ไม่เป็นแนวเดียวกันทั้งหมด       ทั้งนี้ก็เนื่องจากกลไกของวัตถุต่างๆในบ้านที่สะท้อนพลังงานแม่เหล็กโลกออกมาไม่เหมือนกัน       ซ้ำปัจจุบันได้มีการค้นพบและใช้ประโยชน์จากไฟฟ้าในชีวิตประจำวันมากมาย       จนเกิดสนามพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้ามั่วไปหมด       จุดยึดตรึงต่างๆที่สามารถอยู่ในระนาบเดียวกันได้ย่อมเกิดเส้นแรงลัพธ์       ซึ่งหากเราขีดเส้นแนวแกนขั้วแม่เหล็กจากจุดต่างๆได้มากพอก็จะเห็นแนวๆหนึ่ง       ที่เป็นแกนหลักของแนวเล็กๆในสนามแม่เหล็กบริเวณนั้นเสมอ        (ในหนึ่งตารางเมตรต้องทำแนวขั้วแม่เหล็กหรือแนวเข็มทิศอย่างน้อยหกสิบจุดในอัตราเฉลี่ยต่อพื้นที่       ที่ใกล้เคียงหรือก็คือแบ่งพื้นที่นั้นออกให้ได้อย่างน้อยหกสิบส่วนนั่นเอง)        แนวแกนที่ว่าจะเป็นจุดยึดตรึงเวลาหรือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในบริเวณนั้น       ซึ่งหากเราพบว่าวันใดแนวแกนที่ว่านั้นมีการเบี่ยงเบนเกินกว่าหนึ่งองศาครึ่ง       ก็จะแสดงว่าสนามแม่เหล็กในโลกอาจมีการกระทบจากคลื่นพลังงานบางอย่าง       และมีการบิดตัวเนื่องจากเกิดการประทุใต้โลกซึ่งนั่นก็คือการบอกเหตุของแผ่นดินไหวนั่นเอง)        ความรู้นี้เท่าที่ลุงกุสค้นและคว้ามานั้นคงยังไม่อาจยืนยันตามหลักวิทยาศาสตร์ได้สักเท่า       เพราะถามใครก็มักได้ความแบบไม่จบเรื่องซักกะที       ที่ลุงกุส(เจ้าเก่า)ยกมาเล่าก็เพื่อให้ลองทดสอบและสร้างความเข้าใจตลอดจน       พิสูจน์เรื่องสนามพลังงานในชั้นต่างๆที่อยู่รอบๆตัวเราโดยจะเข้าใจได้ในระดับที่สูงขึ้นได้เองว่า        “ศรีจักรา” นั้นทำงานอย่างไร?



             เรื่องสนามแม่เหล็กที่อีตาปาปิลุสนำมาขยายความในคอลัมน์ศาสตร์ปาฏิหาริย์ข้างๆ       ลุงกุสนี้ในสมัยก่อนที่ยังไม่พบแม่เหล็กและวิธีใช้ซึ่งจากประวัติที่มีพบว่า       จีนพบก่อนชาติแรกไม่เห็นจะไปเกี่ยวกับชาวภารตะที่เป็นต้นเรื่องศรีจักราตรงไหน       หากเราคิดคงแค่นี้ก็คงไม่มีเรื่องมาฝอยต่อแต่ลุงกุสนั้นอยู่ไม่สุขค้นไปค้นมาจนพบว่า       ชาวอินเดียหรือภารตะโบราณนั้นยังรับอารยะธรรมจากแอตแลนติส       และอาณาจักรไมโนอันที่รุ่งเรืองวิทยาการแบบวิทยาศาสตร์และฮอทสุดๆผ่านมาทางชาวกรีก       ที่ไปมาหาสู่กันและขอเฉลยต่อเลยว่าที่เรียกว่า “ชมพูทวีป”        ที่หมายเอาว่ามีสัญฐานเหมือนต้นหว้านั้นไม่ผิดหรอกเพราะเมื่อหลายหมื่นปี        (อาจถึงแสนปี)ก่อนนั้น “อินเดียเป็นเกาะขนาดใหญ่”        ที่เพิ่งเคลื่อนตัวมาบรรจบกับทวีปเอเชียเมื่อไม่นานมานี้เอง(แต่ก็คงหลายหมื่นปีแหละ)        ใครอยากพิสูจน์ความรู้นี้ให้ไปที่ “กรมทรัพยากรธรณี”        ที่เป็นหน่วยงานราชการอยู่ที่กรุงเทพฯแถวถนนพระราม ๖       ตรงข้ามโรงพยาบาลรามาธิบดี       จุดแสดงพิพิธภัณฑ์หินแร่เขาจัดแสดงการเลื่อนตัวของแผ่นดินในยุคเวลาต่างๆเอาไว้ให้ดูอยากพิสูจน์ก็ไปดูเอาเอง        (ไม่เสียค่าเข้าชม)เดี๋ยวจะหาว่าลุงกุส(เจ้าเก่า)ไม่บอก

            ที่นี้แกนที่เป็นศูนย์กลางพลังงานต่างๆบนโลกที่เหล่าดาวเคราะห์ใหญ่น้อย       และดาวฤกษ์ร่วมกระทำที่ชาวภารตะเรียกว่า “เทพนพพระเคราะห์”        นั้นละจะมีจุดศูนย์กลางแรงลัพธ์อยู่บนพื้นที่ต่างๆกระจายอยู่ทั่วโลก       ที่เห็นๆก็ ปิรามิดในประเทศ อิยิปต์ไง ส่วนในภารตะหรือ       อินตะระเดีย(อินเดีย)นั้น       เขาค้นพบเขาลูกหนึ่งมีสีขาวอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยปัจจุบันจุดนี้อยู่แถบเนปาลตรงรอยต่อกับทิเบต       มีพลังงานในระดับเข้มข้นมากและภูเขาลูกนี้ดูแปลกคือสีของภูเขานั้นออกขาวโพลน       ทั้งที่พื้นดินด้านล่างๆลงมามีสีดำตามปกติก็เลยเรียกตามลักษณะว่า ไกรลาส       ซึ่งแปลว่า เขาเผือก (ขาว)นั่นเอง       อันว่าเขาไกรลาสนี้เองและที่เหล่าโยคีนักบวชต่างนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์นักหนา       เลยจัดคอนโดเอ้ย!!!! วิมานสถิตให้มหาเทพองค์สำคัญคือ สดาศิวะ ท่านประทับอยู่       ในแต่ละปีจะมีโยคีผู้นับถือ       สดาศิวะอย่างจริงจังจำนวนมากเสี่ยงตายต่อสู้กับความหนาวเหน็บจาริกเดินทางด้วยเท้าเปล่าไปประทักษิณ        (การแสดงการเคารพด้วยการเดินรอบสิ่งนั้นในทิศทางตามเข็มนาฬิกา)รอบเขาลูกนี้แล้วกล่าวปัญจมหามนต์ที่ว่า        “โอมนมัสศิวา”        ว่ากันว่ากว่าจะครบรอบหนึ่งต้องว่ามนต์ห้าพยางค์นี้เป็นพันๆหมื่นๆครั้ง       และกลับมาด้วยของที่ระลึกนับถือแทนองค์สดาศิวะเป็นเพียงหินสีดำก้อนเล็กๆก้อนเดียว       เรียกว่า “ศรีไกรลาสศิลา” ซึ่งนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก        

     โดยที่หลักไกรลาสหรือเสาหลักกาลเวลานี้       จะเป็นเหมือนหลักการที่ใช้ในการเปิดมิติเร้นลับของจักรวาลได้ในทุกสิ่ง       พบว่าวิชาพราหมณ์บางแขนงก็ยังมีการกล่าวถึงกระดูกสันหลังเป็นเสา       พระสุเมรุหรือแกนไกรลาส และบางทีก็ยังพบว่า       เรียกกลุ่มประสาทบางกลุ่มในสมองที่มีรูปทรงเหมือนปิรามิด(Pyramidal)        ว่าไกรลาสฃ
http://webpraonline.blogspot.com/2013/11/2.html
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-12 16:15 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มหายันต์ปาฏิหาริย์แห่งโลก มนุษย์ เทพ และ       จักวาล (บทสรุป)                        (ศรีจักราบทสรุปต่อจากฉบับที่แล้ว) ...........        การใช้ศรีจักราเพื่อสร้างความสมดุลในสถานที่
เพียงนำศรีจักราเล็กแบบติดตัวหรือจะเป็นแบบเฉพาะที่ใช้ตั้งก็ได้ซึ่งประการหลัง       จะส่งผลที่ชัดเจนกว่าแต่ไม่จำเป็นเท่าจิตของเราที่สามารถต่อจิตถึงศรีจักราในมิติทิพย์ได้มากเพียงใด       โดยนำศรีจักรามาตั้งในบริเวณที่คิดว่าเป็นย่านกลางของพื้นที่       อันนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้ววาง       ศรีจักราให้สมมาตรกับแนวทิศเหนือใต้ออกตกโดยใช้แนวสุริยะวิถีเป็นแนวเทียบเคียงในกรณีนี้       บางคณะก็ดัดเเปลงอย่างแบบปิรามิดโดยใช้แนวเเกนสนามเเม่เหล็กของพื้นที่นั้นแต่ยากตรงที่ต้อง       ใช้เเม่เหล็กหาแนวต่างๆในห้องซึ่งอาจไม่ใช่เเนวเดียวกันเนื่องจากในห้องนั้นอาจมีคานเหล็ก       หรือคอนกรีตเสริมเหล็กที่ทำให้สนามแม่เหล็กภายในสถานที่นั้นเกิดการเบี่ยงเบนจากสนามแม่เหล็กโลก       ก็อย่างที่ซินแซฮวงจุ้ยของจีนใช้หล่อแก(เข็มทิศฮวงจุ้ย)        หาจุดมงคลของสถานที่ในห้องนั้นนั่นเเหละ อันนี้       แล้วแต่จะเลือกผลแตกต่างกันบ้างแต่ไม่ถือเป็นสาระสำคัญ       แก่นเเท้คือที่ต้องใช้จิตมนุษย์เป็นตัวเหนี่ยวนำพลังงานผ่านสื่อคือศรีจักรายันตรา       มีข้อห้ามอยู่อย่างคือเมื่อวางเเล้วห้ามถูกต้องสัมผัสอีกเสมือนเรา       กำหนดจุดนั้นเป็นแกนพลังงานพื้นที่ถ้ามีใครไปถูกต้องเคลื่อนย้ายก็เป็นอันว่าอาจแปรปรวนต้องตั้งใหม่       ความเข้มข้นของพลังนั้นอย่างที่บอกก็คือจะกระจายออกจากมุมต่างๆของศรีจักราเเบบอิออนพลังจิตที่       ปรับเปลี่ยนออร่าในสถานที่นั้นให้เป็นไปตามประสงค์ที่ต้องต่อจิตคือกำหนดถึงศรีจักราเขาบ่อยครั้งเท่าไร       ก็เท่ากับเปิดประตูให้ทิพยะอำนาจลงสู่สถานที่ซึ่งจะเปลี่ยนบรรยากาศในสถานที่นั้นให้มีพลังมากขึ้นเท่านั้น       ซึ่งจะเกื้อกูลต่อการสมาคมกับเทวะอำนาจที่มีภาวะละเอียด       ส่วนจะสื่อกับเทวะในทิพยรูปได้หรือไม่ได้นั้น       ขึ้นกับอายตนะของแต่ละบุคคลที่จะเปิดรับการสิ่อนั้นๆได้เเค่ไหนโดยพื้นที่บริเวณนั้นนับว่ามี       ส่วนสำคัญหากพลังงานเข้มข้นสูงก็สื่อได้ง่ายอย่างบริเวณที่เรียกว่า "ลับแล"        หรือ "บังบด"        นั่นไงที่มีคนพบเรื่องราวนอกเหตุผลต่างๆก็เนื่องจากบริเวณนั้นอาจมี       อะไรสักอย่างที่ทำให้มีพลังงานในพื้นที่สูง(อาจดำหรือขาวก็ได้)        ก็จะเกิดอำนาจลี้ลับในพื้นที่นั้นอย่างกับที่เกจิสยามนิยมทำเครื่องรางที่บูชาเพื่อสร้างภาวะที่ต้องการ       อย่างยันต์โชคลาภ ค้าขายแต่ไม่ได้โม้นะว่าศรีจักรานี่เหนือกว่า       ซึ่งศรีจักรานี้นับว่ามีลูกเล่นลูกชนที่ครบด้านและเป็นไปแบบอัตโนมัติ       คือหากกระเเสพลังรอบนอกแปรเปลี่ยนศรีจักรานี่จะปรับให้เสร็จศัพท์พลังงานจึงไม่ลดทอน

     การใช้ศรีจักราเพื่อเสริมพลังกับแท่นที่บูชา       ก็เพียงแต่วางศรีจักรา       ในทิศทางที่หันสามเหลี่ยมด้านบนสุดมาทางตัวเราก็จะสร้างอำนาจในเเท่นบูชา       ขึ้นอย่างมากท่านที่เห็นออร่าจะสามารถสังเกตุได้ถ้าวางศรีจักราในบริเวณหิ้งพระ        (เทพ)        ประมาณหนึ่งสัปดาห์ลองดูออร่าที่หิ้งอีกทีจะเห็นเปลี่ยนแปลงไปมากเพราะบริเวณนั้นจะสื่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ดีขึ้นนั่นเอง        (ถ้าเราบูชาพระพุทธจะเห็นออร่าสีฟ้าชัด ถ้าเป็นเทพชั้นสูงสีทอง       ถ้ารองลงมาก็เป็นภาวะตามรัศมีกายเทพองค์นั้นๆ)

     การใช้ศรีจักราติดตัว       ก็เพียงแขวนให้อยู่ระดับจักระที่สี่คือระดับหัวใจคือ สูงจากกระบังลมประมาณ       ๒-๓ นิ้ว (sternum)แต่ถ้าจะใช้ขยายจักระบริเวณใด       ให้วางบนจักระนั้นอย่างต้องการขยายจักระ ที่หกเพื่อเพิ่มสมรรถนะตาที่สาม       คือความหยั่งรู้หรือปัญญาญาณที่ไม่ใช่เรื่องตาทิพย์เพียงอย่างเดียว       ก็นอนหงายทำตัวสบายๆวางจิตใจให้สบายผ่อนคลายหายใจลึกๆสัก๑๐ครั้งวางศรีจักราขนาดติดตัว        (อย่าใช้ขนาดตั้งโต๊ะวางนะจะเพราะเดี๋ยวหัวจะยุบมันหนักมาก)        ให้จุดพินทุอยู่เหนือระหว่างกลางคิ้วประมาณ ๑-๒ เซนติเมตร       หลับตานอก(ปิดเปลือกตา)        แล้วเหลือกตาในคือลูกตาเพ่งมองตรงจุดพินทุที่คะเนตามความรู้สึกว่าศรีจักราอยู่       จินตภาพให้เห็นจุดเเสงสีฟ้าอมม่วงลักษณะสว่างใสเป็นประกาย       แล้วกล่าวมนตราอะไรก็ได้ที่คุณนับถือถ้ามีบทเฉพาะศรีจักราว่า "โอม ฮะรี ชะรีง       นะมะฮา" ว่ายาวๆหายใจลึก ไปเรื่อยๆจะรู้สึกเหมือนเสียวตรงหน้าผาก       หรือตึงตรงหน้าผากรักษาอาการนั้นไว้ ทำครั้งละไม่เกิน ๑๐ นาที       ห้ามเกินเด็ดขาดเพราะอาจจะปวดศรีษะเนื่องจากจักระขยายเร็วเกินไป       ให้หมั่นทำอย่างน้อยวันละ ๑ ครั้งห้ามเกินวันละ๓ครั้ง       ลองฝึกดูผลเป็นอย่างไรยังไม่บอก       ของจริงจะรู้ด้วยตัวเองผู้ได้ประสบการณ์อะไรแปลกๆเขียนจดหมายมาจะตอบรายบุคคล

           การใช้ศรีจักราในการบำบัดอาการป่วยบางระดับ       ที่อาจเป็นการผิดปกติจากความไม่สมดุลของร่างกายที่มีสาเหตุจากร่างกายเองหรือได้รับพลังแฝง       วางศรีจักราบนฝ่ามือพินทุอยู่ตรงเส้นสุขภาพของลายมือคะเนกลางฝ่ามือ       ให้กำหนดถึงศรีจักรา       กล่าวมนตราจนรูสึกถึงพลังที่แผ่มาครอบคลุมจากนั้นนึกถึงเทวะที่ท่านศรัทธากล่าวบูชา(สรรเสริญคุณ)        แล้วขออำนาจให้บำบัดอาการดังกล่าว หายใจเข้าออกยาวๆแบบสบายๆ       ทำประมาณสิบห้านาทีกำหนดจิต       ที่ศรีจักราดึงความศักดิ์สิทธิ์เข้าตัวกล่าวมนตราความเร็วระดับที่รู้สึกว่ากำลังสบายไม่เร็วช้าไป        (ใช้ความรู้สึกเราเป็นตัวกำหนด) หากเจ็บปวดที่ไหนให้กำหนดนำ       สิทธิอำนาจความศักดิ์สิทธิ์นั้นไปละลายจุดนั้นจินตภาพให้ความป่วยไข้ให้หายไปหายใจออกยาวๆ        (ทำเสร็จแล้วควรอาบน้ำชำระไอโรคทันที)        

             สำหรับการบำบัดอาการเจ็บป่วยให้ผู้อื่นทำลักษณะเดียวกับทำให้ตัวเราเองโดย       ขอให้ศรีจักราคุ้มครองเราก่อนจินตภาพกำหนดรัศมีครอบคลุม       จากนั้นขอพลังจากศรีจักรา(วางที่มือซ้าย) ให้ผ่านตัวเรา ออกทางมือขวา       ห่างจากที่บำบัดประมาณ ๑ นิ้วหรือจะวางสัมผัสเบาๆก็ได้กำหนดพลัง       ให้เล็กเเหลมเป็นเส้นปลายเข็มสีขาว (ขั้นต้น)        ส่วนระดับกลางระดับสูงต้องแนะนำเฉพาะ       กำหนดพลังให้พุ่งไปที่จุดที่ต้องการบำบัดละลายความเจ็บป่วยนั้นถ้าเป็นพลังแฝงพวกวิญญาณร้าย       หรืออำนาจลี้ลับจะรู้สึกถึงการต่อต้านเช่นร้อนผ่าว เต้นตุ๊บตุ๊บ หรือ       เหมือนเข็มเเทงสวนเจ็บจึกจึก ให้หายใจออกยาวๆ       ช้าเร่งภาวนามนตราจะละลายพลังนั้น       โดยไม่ยากเคล็ดคือคิดว่ากำลังที่ส่งไปนั้นเเข็งเหมือนหัวเพชร       สามารถบดสลายพลังเหล่านั้นได้ทุกพลัง       ระหว่างทำต้องต่อจิตกับศรีจักราตลอด(ควรชำนาญในขั้นอื่นๆมาก่อน)        การบำบัดพลังแฝงควรขอพลังอำนาจจากเทพที่ชำนาญการปราบอำนาจชั่วร้ายอย่าง       นารายณ์ ศิวะ ท้าวเวสสุวัณ พระขันธกุมาร เจ้าแม่กาลี เป็นต้น       หลังการบำบัดทุกครั้งไม่ว่าตัวเองหรือทำให้ผู้อื่นต้องกล่าวขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้พลังอำนาจทุกครั้ง       จากนั้นให้อาบน้ำเพื่อชำระไอโรค(อาจเตรียมน้ำโดยใช้อำนาจศรีจักราก็ยิ่งดี       โบราณบ้านเราเรียกปรับธา
ตุ

http://webpraonline.blogspot.com/2013/11/3.html
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-12 16:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขอบคุณครับ
ยันต์ยอดจักรวาล ก็มีอิทธิคุณยอดเยี่ยมไม่ต่างจากยันต์ศรีจักรา แต่อย่างไร
ยันต์ยอดจักรวาล
แค่ชื่อก็โอเคแล้วครับ
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-14 18:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
รามเทพ ตอบกลับเมื่อ 2015-1-14 08:00
ยันต์ยอดจักรวาล ก็มีอิทธิคุณยอดเยี่ยมไม่ต่างจากยัน ...

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้