ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3867
ตอบกลับ: 11
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ย้อนรอยภาพยนต์ในตำนาน "The Exorcist"

[คัดลอกลิงก์]
ย้อนรอยภาพยนต์ในตำนาน "The Exorcist"

                                       

ย้อนรอยภาพยนต์ในตำนาน "The Exorcist"

เกริ่นนำก่อนนะตัวเธอว์...
        ภาพยนต์ The Exorcist เป็นภาพยนต์สยองขวัญ ถือว่าเป็นภาพยนต์ในตำนานอีกเรื่องนึงที่ถูกกล่าวขานว่า.. "มันน่ากลัว จริงๆนะเค่อะ" เพราะภาพยนต์เรื่องนี้ ได้แรงบรรดาลใจ จากเรื่องจริง จึงทำให้ตัวหนังดูน่ากลัวเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ นอกจากภาพยนต์ทำออกมาได้น่ากลัวแล้ว แน่นอน เขาว่ากันว่าภาพยนต์นี้มีอาถรรพ์ และด้วยเหตุนี้ผมเลยได้สัมผัสกับตัวหนังซักหน่อย ได้ผลสรุปมาว่า ทำได้น่ากลัวจริงๆครับ และทำให้อยากรู้ถึงประวัติเรื่องจริงมากยิ่งขึ้น จึงได้ค้นหาเรื่องราวความเป็นมา แล้วได้ความมาประมาณเนี้ย!!!
    หมายเหตุ : เนื้อหาในกระทู้นี้ค่อนข้างมีหลายบรรทัด ผู้ใดที่ต้องการอ่านสั้นๆ อ่านสรุปได้ที่ความคิดเห็นเอานะจ๊ะ...

ตอนที่ 1 ตำนานผีสิงในแมรีแลนด์
      ดำดิ่งสู่อดีต ในวันที่ 20 สิงหาคม 1949 (กรูส์ยังไม่เกิดเรย...)  วิลเลียม ปีเตอร์ บลาตตี ในตอนนั้นเขาได้เป็นนักศึกษาที่ มหาวิทยาลัยจอนห์ทาวน์ ในขณะที่เขาอ่านหนังสือพิมพ์ได้สะดุดกับบทความนึงเข้าอย่างจัง นั่นคือ ข่าวเด็กชายวัย 14 ปี ในแมรีแลนด์ ถูกผีเข้าสิงเป็นเวลาร่วมเดือน..
     เด็กคนนี้มีนามว่า ร็อบบี้ มานไฮน์  เมื่อสืบข้อเท็จจริงได้ประมาณว่า ร็อบบี้ได้ถูกชวนให้เล่นผีถ้วยแก้ว ด้วยป้าคนนึงที่เขาสนิทด้วยกันมากเพื่อติดต่อกับวิญญาณเป็นประจำ จนหลายสัปดาห์ต่อมา คุณป้าคนนี้ก็ได้เสียชีวิตกระทันหัน จนทำให้ ร็อบบี้นั้น รู้สึกเหงาเพราะ ร็อบบี้นั้นสนิทกับป้าคนนี้มาก ร๊อบบี้จึงได้ทำการเล่นผีถ้วยแก้วเพื่อติดต่อกับวิญญาณของป้า จนเป็นเหตุทำให้ร็อบบี้ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง ซึ่งน่าคาดว่าวิญญาณที่เข้าสิงคือป้าที่สนิทของร็อบบี้เอง
     หลังจากพอจะรู้สาเหตุ หลวงพ่อโบว์เดิร์น ก็ได้พาร็อบบี้เพื่อทำการไล่ผีในทันที ในระหว่างทำพิธีกรรมก็มีตัวหนังสือขึ้นมาว่า "อาฆาต" และ "นรก" โนนขึ้นมากลางหลังของร็อบบี้อย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง ร็อบบี้ ยังถุยน้ำลายใส่หลวงพ่อ บางครั้งก็เหมือนจะมีสติและทำท่าทางเหมือนจะขับไล่วิญญาณด้วยตนเอง บางครั้งก็พูดภาษาลาตินทั้งๆที่ ล็อบบี้เอง ไม่เคยเรียนรู้ภาษาลาตินมาก่อน
       หลังจากอาการของล็อบบี้ที่ดูเหมือนเริ่มหายได้ ก็ได้พาตัวกลับมายังที่บ้าน จนกระทั่งกลางดึกในอีกหลายวันต่อมา ร็อบบี้ได้ตะโกนว่า "ซาตาน ข่อยคือ เซนต์ ไมเคิล ไม่ว่าเจ้าสิเป็นซาตาน หรือผีร้าย ข้าขอสั่งให้เจ้าออกจากร่างข่อยบัดเดี๋ยวนี้ ในนามของ โดมินุส จงออกไป ออกไป..." หลังจากนั้นร่างกายของร็อบบี้ ก็ชักกระตุกอย่างรุนแรง ก่อนที่จะฝุบลงไปกับพื้น หลังจากนั้นซักพัก ร็อบบี้ได้เงยหน้าขึ้น แล้วบอกกับหลวงพ่อ โบว์เดิร์นว่า "เขาออกไปจากร่างผมแล้วฮับ" และนี่ก็เป็นการสิ้นสุดของการถูกผีสิงที่กินเวลาร่วมประมาณ 3 เดือน...
      หลังจากที่เขาได้อ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ บลาตตี้ จึงให้ความสนใจเกี่ยวกับข่าวนี้มาก แต่หารู้ไม่ว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ จะเป็นการพลิกเปลี่ยนชีวิตของเขาในอนาคต

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-9-19 15:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kit007 เมื่อ 2014-9-19 15:34


ตอนที่ 2 จุดเริ่มต้นนวนิยายสู่ภาพยนต์ The Exorcist

     หลังจาก บลาตตี้ ได้เรียนจบ เขาก็ได้ทำการเขียนหนังสือ ตีแผ่เกี่ยวกับเหตุการณ์ผีสิงในแมรรีแลนด์ เขาจึงได้เดินทางเผื่อสอบถามกับบุคคลที่เขาได้อ่านบทความในหนังสือพิมพ์ เริ่มจากคนแรก หลวงพ่อโบว์เดิร์น และหลวงพ่อโบว์เดิร์นเขาได้ตกลงให้ความยินดีที่จะให้ข้อมูลในครั้งนี้ แต่บลาตตี้เองก็ฉุกคิดได้ว่า การเขียนตีแผ่ครั้งนี้ อาจมีผลกระทบกับครอบครัวเขาได้ จึงได้ทำการเปลี่ยนแปลงตัวละคร จากเด็กชาย ที่ถูกเข้าสิงในแมรีแลนด์ เป็นเด็กผู้หญิง ที่ถูกเข้าสิงในวิชิงตัน และใช้ชื่อว่า เรแกน แทน
     จนกระทั่ง 1 ปีต่อมา บลาตตี้ได้รวบรวมข้อมูลและได้จัดแต่งเป็นนวนิยาย The Exorcist ที่ได้เค้าโครงจากเรื่องจริงผสมผสานกับจินตนาการของเขา แต่ยอดขายก็ไม่ดีเอาซะเลย จนบลาตตี้ต้องยอมซื้อโฆษณาในรายการนึง จนทำให้นวนิยายของเขาเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น จนยอดขายหนังสือของเขาพุ่งกระฉูดและเพราะเหตุนี้ ทำให้เจ้าของสำนักพิมพ์รีบมาเจรจากับ บลาตตี้ เพื่อขอไปทำภาพยนต์ในเวลาต่อมา

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-9-19 15:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ตอนที่ 3 อาถรรพ์ The Exorcist

       ในระหว่างการถ่ายทำหนังก็มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นเช่น คนที่จะมารับบทที่จะถูกผีหักคอ ก่อนที่จะโยนศพทิ้งลงหน้าต่าง ก็ดันเสียชีวิตจริงๆ หลังจากเล่นฉากนี้ไปได้แค่ 2 อาทิตย์, เลขาของบลาตตี้อยู่ๆก็ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ และเสียชีวิตลงในที่สุด ในขณะที่เพื่อนของเธอก็เสียสติจนถูกนำตัวไป โรงพยาบาลบ้า และสตูดิโอที่ถูกใช้เป็นเป็นบ้านที่เด็กถูกผีสิงก็เกิดไฟไหม้อย่างลึกลับ ทั้งๆที่ไม่มีใครอยู่ที่นั่นสักคน
       หลังจากภาพยนต์ The Exorcist ได้ทำการถ่ายทำตัดต่อเสร็จเรียบร้อย ได้เวลาเข้าฉาย ก็เกิดความสยดสยองขึ้น เพราะทำให้คนที่ดูภาพยนต์เรื่องนี้ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ อาเจียน เป็นลมกันเยอะแยะไปหมด จนถึงกระทั่งบางคนส่งผลกระทบให้เกิดภาพหลอน กระทบทางจิตใจ จนไม่กล้าดูหนังผีไปอีกเลย แต่เหตุการณ์ความหลอนยังไม่ร้ายเท่าครั้งนี้ หลังจากเด็กคนนึงในประเทศอังกฤษได้เสียชีวิต หลังจากดูหนังเรื่องนี้เพียงแค่หนึ่งวัน
      แต่ด้วยความหลอนมา กลับทำให้หนัง The Exorcist ดังไปทั่วโลก ยอดขายตั๋วทะลุไปอย่างราบคาบ แถมยังได้รางวัลออสการ์ถึง 10 สาขาอีกซะด้วย


     ส่วนใครที่สนใจภาพยนต์เรื่ีองนี้ก็ลองหาดูได้นะครับ แต่อาจจะหาดูยากนิดในยุคนี้ แต่ภาพยนต์เรื่องนี้ได้ถูกทำออกเป็นสามภาคด้วยกัน ตามภาพด้านล่างครับ

  




เนื้อหาโดย: นายผัดกะเพรากุ้งกรอบ

ที่มา http://board.postjung.com/806677.html
   
น่าจะเป็นหนังผีฝรั่งเรื่องแรกที่ไปดูในโรงภายนต์จะเรียกว่าดูคงไม่ถูกเพราะปิดตาเกือบทั้งเรื่อง...โครตหลอน เตียงลอย คอหมุนหันหลัง ไต่กำแพงที่สำคัญอ๊วกพุ่ง.....ทำให้รู้ว่าหนังผีฝรั่งมันโครตน่ากลัวกว่าแม่นาคไทยมากมาย....
แต่หนังผี( ไม่เชิง ) ที่ดูแล้วคิดว่า น่ากลัว หลอน และโครตโหดน่าจะเป็นชุดนี้
Hellraiser(ไอ้หัวตะปู) หนังสยองขวัญอีกเรื่องที่ผมลืมไม่ลงจริงๆฝันร้ายตลอด!!![size=0.6em]หมวด » บันเทิง » บันเทิงเริงรมย์ » Hellraiser(ไอ้หัวตะปู) หนังสยองขวัญอีกเรื่องที่ผมลืมไม่ลงจริงๆฝันร้ายตลอด!!!











Clive Barker's Hellraiser (1987) บิดเปิดผี
[size=-1]เอาล่ะครับ หนังชุดสุดสยองต่อไปนี้ เป็นหนังสยองโหดครับ ทั้งแหวะ สยอง ซาดิสม์ และโรคจิตครบสูตร (แต่ผมชอบมากกกก) ภาพในโปสเตอร์ก็มักจะเป็นตัวประหลาด ที่ดูดิบๆน่ากลัวๆ ซึ่งอาจจะรบกวนจิตใจคนขวัญอ่อนได้นะครับ ดังนั้นถ้าขวัญไม่แข็งนัก ก็เตรียมใจนิดหรือไม่ก็ข้ามๆไปเลยแล้วกัน ส่วนพวกขวัญแข็ง ดิบๆ (คอเดียวกับผม) ก็ตามมาดูกันเลยครับ

[size=-1]


แนวหนัง สยองขวัญ สั่นประสาท โหดๆๆ

ไม่ใช่เล่นๆ นะครับกับหนังสยองเรื่องนี้ กับภาคแรกของหนังสยองขวัญที่ผมชอบที่สุด ซึ่งที่หน้าปกของหนังก็คือพี่พินเฮด ปีศาจที่โด่งดังอีกตัวไม่แพ้พวกเจสันหรือเฟรดดี้นะครับ แต่บ้านเราอาจจะไม่ค่อยแพร่หลายเท่า ทว่า ความสยองและใบหน้านี่น่ากลัวครับ

หนังว่าด้วยสิ่งของที่มีชื่อว่า Lament Configuration ซึ่งก็คือกล่องรูบิคที่ว่ากันว่าจะมอบความสุขสูงสุดแก่ผู้ที่เปิดมัน แล้วแฟรงค์ คอตตอน (Sean Chapman) ได้ซื้อมาครอบครองและเปิดมันจนสำเร็จ แต่เขากลับต้องเผชิญกับนรกที่สุดจะสยองจนถึงแก่ความตายไป

จากนั้นหลายปีต่อมา แลร์รี่ ค็อตตอน (Andrew Robinson) พี่ชายของแฟรงค์ได้ย้ายเขามาอยู่ในบ้านแฟรงค์ พร้อมด้วยจูเลีย (Clare Higgins) ภรรยาใหม่ และคริสตี้ (Ashley Laurence) ลูกสาวของแลร์รี่ ครอบครัวนี้ไม่รู้เลยครับว่ากำลังจะมาเผชิญกับความสยองและความตายแบบที่นรกแม้แต่นรกก็ยังทำได้ไม่เที่ยมเท่า

หนังโหด สยองและน่ากลัวครับ ดิบมากๆ ฉากแหวะๆ นี่มีนับไม่ถ้วนอ้ะ และแต่ละฉากก็ยี้ๆ ทั้งนั้น ใจไม่แข็งก็อย่าดีกว่าครับ กรี๊ดไปหลายรายแล้ว ตัวอย่างเช่น ฉากถลกหนัง โครงกระดูก ซากศพ ภาพตะขอเกี่ยวเนื้อตัว และอื่นๆ อีกมากมาย รวมไปถึงบรรยากาศสยองดิบๆ มืดทึม ถ้าอ่านแล้วยังสยองก็ไม่ต้องห่วงครับเพราะในเรื่องมันแหวะและสยดสยองมากกว่าที่ผมบอกเยอะ

แต่สำหรับคนที่ไม่สะทกสะท้านหนังแบบนี้หรือชอบ (แบบผมน่ะนะครับ) บอกได้เลยว่าไม่ควรพลาด เพราะหนังสยองถึงขีดและทำได้น่าติดตามอย่างมาก ตอนต้นเรื่องก็เปิดปมและแนะนำตัวละคร แต่บรรยากาศหนังมันสยองไปตลอดครับ แม้ช่วงต้นจะแนะนำตัวละคร แต่ก็มีฉากแหวะสยองๆ แทรกเข้ามาเป็นพักๆ พอมาช่วงท้ายนี่ก็ลุ้นกันน่ะครับ ว่าจะหาทางเอาชนะพวกซีโนไบท์ (บรรดาตัวประหลาดที่ออกมาจากกล่อง) ได้อย่างไร เพราะมันมากันเต็มบ้านเลย

ซึ่งในบรรดาซีโนไบท์ทั้งหมด ตัวที่เด็ดเกินใครก็คือ พินเฮด (Doug Bradley) ที่ผมบอกน่ะครับ แกจะโผล่ไปทุกภาคเลย และยังสร้างสีสัน (แบบโหดๆ) ได้อย่างดีด้วย ชอบจริงๆ ชอบ...

ตอนเด็กๆ ผมกลัวนะครับ ยอมรับเลยว่ากลัวพี่พินเฮดมา และนี่เป็นหนังสยองเรื่องที่ไม่กล้าจะเช่ามาดูด้วย เอาแค่ปกนี่ก็ไม่น่าพิศมัยแล้วครับ แต่ก็ตัดใจลองดูครับ พอดูปุ๊บก็สยองมากๆ แต่ดันชอบอีกต่างหาก ที่นี้พอชอบจนอยากซื้อ แต่ก็ดันไม่กล้าซื้ออีก (เอาเข้าไป ปอมกลัวครับ)กลัวจริงๆ นึกตอนี้ผมอาจจะอานะ แต่ตอนนั้นมันกลัวมากครับ หนังบ้าอะไรฟะ เลือดเยอะ แล้วพี่พินเฮด เวลาโผล่มาทีก็โผล่แบบมาได้ทุกที และพอโผล่มาแล้วจะไม่มีใครหนีเขาไปได้ ก็ได้แต่ผวาล่ะครับว่าตอนดูเนี่ยอย่าโผล่มาข้างหลังแล้วกัน

หนังไร้มุขฮาครับ สยองทั้งสิ้น โหดและรุนแรงมาก เด็กๆ ไม่ควรดูครับ ต้องรอหน่อยดีกว่า แต่เนื้อหาผมว่าดีครับ มันแน่นและน่าสนใจ ซึ่งหนังกำกับโดย Clive Barker โดยสร้างจากนิยายเรื่อง The Hellbound Heart ของเขาเอง ซึ่งหนังสนุกและสยองมากๆ ครับ ยาวแค่ 90 นาที ดูสบายๆ เลย สั้นดีกระชับและตื่นเต้นได้ตลอดเวลา

ผมไม่รู้จะบรรยายอย่างไรครับ บอกได้แต่ว่ามันทำถึง ไอ้เรื่องความแหวะนี่ก็เต็มๆ แล้วน่ะ ส่วนความสยองทางอารมณ์ก็เต็มที่ไปเลย โทนหนังก็หม่น และอีกอย่างผมว่าบรรยากาศคาวเลือดในหนังมันสามารถแผ่ทะลุจอได้ด้วยนะครับ ไอ้ภาพที่เห็นมันเล่นเราขนลุกจนเหมือนเราไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ อ้ะ อันนี้ผมคงอินกับหนังมากไปมั้งครับ แต่ผมเชื่อว่าหนังมันน่าจะทำให้หลายๆ คนอินครับ อย่างน้อยก็น่าจะทำให้ท่านรู้สึกได้ว่า "ไม่ปลอดภัย" น่ะ

ทีนี้ก็อยู่กับท่านแล้วล่ะครับ ถ้าขวัญอ่อน แนะนำว่าควรหาคนดูด้วยครับ ดูคนเดียวไม่น่าไหวนะ แต่คนที่ขวัญแข็งและชอบหนังสยองขวัญ นี่คือความสยองชั้นดีที่ท่านจะพลาดไม่ได้ครับเป็นอันขาดครับ
....ภาคนี้ปอมก็ชอบนะ โหดเลย หุหุ

[size=-1]
[size=-1]
ภาค สองนี้ หลอนกว่าและโหดว่า ฉากที่ใช้มีดโกนเฉียนเนื้อตัวเองเพราะหลอนว่ามีแมลงออกมาจากเนื้อบอกตรงๆแทบอ้วก...
Hellbound: Hellraiser II (1988) บิดเปิดผี 2
[size=-1]
[size=-1]


แนวหนัง สยองขวัญทะลุนรก

มาครับ มาต่อกันเลย กับเรื่องสยองที่ยังไม่จบสิ้นลง

หลังจากภาคแรกที่คริสตี้ ค็อตตอน (Ashley Laurence) ต้องเผชิญกับเหล่าซีโนไบท์และเจอนรกสุดโหดมาแล้ว ครั้งนี้เธอจำเป็นต้องกลับไปเปิดกล่องรูบิคนั่นอีกครั้งเพื่อเข้าไปช่วยวิญญาณพ่อของเธอในนรก

ภาคที่แล้วแค่เปิดกล่องแล้วผีออกมาใช่มั้ยครับ แต่ภาคนี้คริสตี้ต้องลงไปในนรกเองเลย ก็คิดดูแล้วกันครับว่าจะเจอกับอะไรบ้าง ซึ่งหนังสานต่อเรื่องจากภาคแรกได้ดีมาก เพราะลุ้นหนักกว่าเก่า ไหนเธอจะต้องเจอกับพวกซีโนไบท์เจ้าเก่าที่นำโดยพี่พินเฮด (Doug Bradley) แล้ว ยังต้องเจอกับมิตินรกที่วกวนเป็นเข้าวงกตอีก คือ ถ้าเธอออกมาไม่ทันก็ต้องอยู่ในนั้นกับเหล่าผีนรกน่ะฮะ

หนังยังโหดอยู่ แต่อาจจะไม่แหวะดิบเท่าตอนแรก แต่เรื่องเข้มข้นขึ้น ผจญภัยมากขึ้น เรียกว่าถ้าดูภาคแรกแล้วต้องต่อด้วยภาค 2 ครับ จะได้ต่อเนื่องในอารมณ์ ตัวละครในภาคนี้นอกจากคริสตี้แล้ว ยังได้ Clare Higgins กลับมารับบทจูเลียด้วย ตอนเปิดตัวขึ้นมาก็สยองกันน่าดูล่ะครับ คิดดูเถอะ เธอตื่นฟื้นขึ้นมาในสภาพไร้หนัง มีแต่เลือดทั้งตัวน่ะครับ

แล้วก็ยังมี Kenneth Cranham มารับบท ดร.ฟิลลิป แชนนาร์ด จิตแพทย์ที่หมกมุ่นในเรื่องกล่องรูบิคและยังเป็นคนเริ่มต้นความสยองของภาคนี้อีกด้วย ซึ่งตอนที่พี่แกลงไปในเขาวงกตนรกแล้วก็ต้องเจอกับเรื่องสยองนั่น ก็น่ากลัวกันไปล่ะครับ, Sean Chapman ก็กลับมาแสดงเป็นแฟรงค์ ค็อตตอนอีกเช่นกัน แล้วก็ยังมี Imogen Boorman มารับบทสาวน้อย ทิฟฟานี่ เด็กที่มีปัญหาทางจิตที่เก่งเรื่องการทำปริศนาทั้งหลาย จนโดนดร.ฟิลลิปเอามาใช้เปิดกล่องรูบิคนั่น

บอกได้ว่ามันส์ครับ เรื่องราวเข้มข้นและสนุกสนาน ผจญภัยบนความสยองโดย Clive Barker ยังคงคิดเรื่อง และได้ Peter Atkins เพื่อนของ Barker มาช่วยตกแต่งบท ผลที่ได้ออกมาก็เจ๋งมากครับ เพราะเนื้อเรื่องมันดำเนินต่อทันทีที่หนังเริ่ม แล้วก็กระหน่ำมาตลอด มีทิ้งปมเรื่อยๆ สลับกับฉากสยองแหวะๆ ประดามี เลยไม่มีน่าเบื่อครับ

นอกจากนี้หนังยังมีจุดที่คาดไม่ถึง มีการพลิกผันในเรื่องด้วยครับ อันทำให้ผมคลั่งพี่พินเฮดสุดๆ ก็ในภาคนี้นี่เอง เพราะหนังมีบทชั้นเยี่ยมที่ทำให้ พี่พินเฮดกลายเป็นตัวละครที่มีมิติ มีความลึก ไม่ได้เป็นแค่ตัวไล่ฆ่าเท่านั้น ยังมีอะไรที่คาดไม่ถึงซ่อนอยู่ด้วย ต้องไปดูเองครับ บอกได้แต่ว่าผมยิ้มท่ามกลางฉากสยองเลยล่ะ

ส่วนพวกซีโนไบท์ก็โหดตามเคย และในภาคนี้ยังมีซีโนไบท์ตัวใหม่โผล่ออกมาด้วยครับ สยองกันไปเลยล่ะ มันลอยได้แล้วก็ยังมีมือสยองๆ โอย เพียบครับ เลยทำให้ตอนท้ายลุ้นกันหนักเลยว่าเรื่องจะจบลงอย่างไร กล่องบ้านี่จะถูกปิดหรือไม่ และคริสตี้จะหยุดนรกสำเร็จอีกครั้งหรือเปล่า

เยี่ยม สยอง และหนุกหนาน อย่างที่บอกครับ ดูภาคแรกแล้วต้องดูตอนสองต่อเพื่อความสยองและสนุกสนานแบบต่อเนื่อง และเนื้อหามันโยงเกี่ยวกันดีจริงๆ แม้จะสยองน้อยกว่าตอนแรก แต่ด้านเนื้อหานี่มันส์มากๆ ครับ และที่เด็ดอีกอย่างคือ ดนตรีประกอบสุดสยองและอลังการ ฝีมือของ Christopher Young เป็นอีกหนึ่งธีมที่คุณๆ จะต้องคุ้นเคยครับ เพราะรายการทีวีไหยและละครเอามาใช้บ่อยอีกเช่นกัน ซึ่งในหนังได้เอามาใช้กับฉากไตเติ้ล ทำให้โหมโรงความน่าดูได้แบบเกินร้อยเลยล่ะครับ และหนังก็ไม่ผิดหวังอีกด้วย ฉากในวงกตก็ออกมาดี ยิ่งไอ้ตรงฉากลานกลางวงกตที่เห็นท้องฟ้าได้นั่นยิ่งสุดยอดครับ ออกแบบมาดีจริงๆ



ปอมบอกว่า ภาคนี้ไม่แพ้ภาคหนึ่ง ดูได้นะจ๊ะ
Hellraiser III: Hell on Earth (1992) งาบแล้วไม่งุ่นง่าน
[size=-1][size=-1]


แนวหนัง สยองขวัญ

กล่องรูบิคมันไม่ยอมสงบครับ ภาค 2 นี่น่าจะสยบกล่องไปได้แล้วนะ แต่มันยังหน้าด้านกลับมาได้อีก

ซึ่งในครั้งนี้คนที่ต้องเจอกับกล่องและพี่พินเฮด (Doug Bradley) คือ นักข่าวสาวโจอี้ ซอมเมอร์สกิล (Terry Farrell) โดยที่ในครั้งนี้พินเฮดและพลพรรคของเขาต้องการจะทำให้โลกทั้งใบกลายเป็นนรก โอ้ งานนี้งานใหญ่ครับ โจอี้เลยต้องสืบหาความจริงเกี่ยวกับพินเฮดเพื่อใช้ในการหยุดยั้งมันก่อนจะสายเกินไป

สำหรับผม Hellraiser จบบริบูรณ์ไปในภาค 2 แล้วครับ ภาคนี้ถือว่าดันทุรังทำออกมา แต่ก็ยังพอมีความเกี่ยวเนื่องกับ 2 ภาคก่อน ดังนั้นจะเรียกว่าเป็นภาคผนวกก็พอไหว ซึ่งช่วงต้นๆ ออกจะอืดและน่าเบื่อไปหน่อย แต่ก็พอจะมีฉากโหดๆ ให้หายง่วงขึ้นมามั่ง แต่พอพี่พินเฮดแกโผล่มานี่ หนังน่าดูขึ้นมาเลยครับ เพราะพี่พินเฮดนี่แหละ

จุดที่ทำให้หนังตอนนี้สนุกขึ้นมาก็เนื่องมาจากตัวพินเฮดมีความซับซ้อนขึ้น อย่างนี้ครับจริงๆ แล้วพี่พินเฮดนี่ก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน แต่เพราะไปเปิดไอ้กล่องนี่เขาเลยโดนทำให้กลายเป็นซีโนไบท์ไป แล้วทีนี้ตอนนี้ก็เป็นการต่อสู้ระหว่างพินเฮดสุดชั่วกับเอลเลียต สเปนเซอร์ ผู้ที่เป็นร่างมนุษย์ของพินเฮดนั่นแหละ (เหมือนพระเจ้ากับพิคโคโล่ ใน DragonBall นั่นแหละครับ) หนังเลยทวีความสนุกมากยิ่งขิ้นครับ เพราะเล่นกับตัวพินเฮด ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉลาดมากเลยครับ เพราะหนังแนวเดียวกับเรื่องอื่นๆ จะไม่ค่อยทำอะไรกับปีศาจประจำเรื่องเท่าไหร่ แต่ในหนังชุด Hellraiser นี้จะกลายเป็นว่าเราได้ติดตามพัฒนาการของปีศาจพินเฮดไปเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของหนังนะครับ

ส่วนฉากห๋าก็โหดมากครับ ยิ่งไอ้ตอนฆ่าล้างบาร์นี่สยองมากๆ ผมว่าคนที่ไปเที่ยวเทค หากดูฉากที่ว่าคงสยองล่ะครับ มันฆ่ากันโหดมากจริงๆ

แล้วพอมาช่วงท้ายหนังจึงมีลุ้นอยู่พอสมควร ตอนตีกับพี่พินเฮดก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวครับ แล้วซีโนไบท์ภาคนี้ก็มีเพิ่มอีกเพียบด้วย (แต่เสียดายที่ไม่ค่อยมีบทบาทมากเท่าไหร่)

โดยรวมๆก็นับว่าโอเคนะครับ ยังพอไหว ไม่เด็ดเท่า 2 ภาคแรก แต่ก็ยังไม่ถือว่าน่าผิดหวังครับ ยังสนุกและดูได้ดีอยู่ ก็เอามาดูต่อกับสองภาคแรกก็ไม่เลวครับ ผมชอบเอามาดูต่อกันสามตอนเสมอๆ น่ะ มันติดลมน่ะครับหนังชุดสยองที่ทำได้ต่อเนื่องและเนื้อเรื่องดีมันหาไม่ได้บ่อยหรอกนะครับ และภาคนี้ก็ได้ Peter Atkins (คนเขียนบทจากภาคสอง) มาคิดเรื่อง จริงๆ เขาจะได้กำกับนะครับ แต่เผอิญหนังตกเป็นลิขสิทธิ์ของ Dimension Films (และนี่ก็เป็นหนังเรื่องแรกของค่ายนี้ด้วยนะครับผม)

และทางผู้ใหญ่ของบริษัทเห็นว่า Atkins ยังไม่มีประสบการณ์เพียงพอ ก็เลยให้ Anthony Hickox มากำกับแทน ซึ่งเขาก็ดังมาจากหนังสยอง Waxwork ที่พอจะสนุกอยู่เหมือนกัน กับเรื่องนี้ก็ไม่เลวครับ

Hellraiser: Bloodline (1996) งาบแล้วไม่งุ่นง่าน 2 (เวลาไหนก็ไม่เว้น)

[size=-1]

Hellraiser: Bloodline (1996) งาบแล้วไม่งุ่นง่าน 2 (เวลาไหนก็ไม่เว้น)
[size=-1]
[size=-1]


แนวหนัง สยองขวัญ

หนังยังมีชื่อไทยอีกชื่อนะครับว่า เปิดนรกปีศาจหัวตะปู ลิขสิทธิ์ของ ST เขาน่ะครับ

หนังภาคนี้ควรที่จะสนุกไม่แพ้สองภาคแรกนะ เพราะนี่เป็นภาคก่อนหน้าและภาคจบของเรื่องราวกล่องรูบิคปริศนาและพี่พินเฮด (Doug Bradley) ด้วย แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้นนะครับ

หนังภาคนี้เล่าถึงอดีตประวัติการสร้างกล่องปริศนา ซึ่งโดนสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 โดย ฟิลลิป เลอมาร์แชนด์ (Bruce Ramsay) นักทำของเล่นมือดี เขาสร้างมันตามคำสั่งของท่านเคานท์คนหนึ่งโดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองได้สร้างกล่องเปิดนรกขึ้นมา

จากนั้นหนังก็ตัดมาสู่เหตุการณ์ต่อจากภาค 3 ที่กล่องปริศนาได้ถูกฝังไว้ใต้อาคารขนาดยักษ์ซึ่งมีรูปลักษณ์เหมือนกล่องปริศนาไม่มีผิด และอาคารนี้ก็สร้างโดยจอห์น เลอมาร์แชนด์ (Ramsay อีกแล้วครับ) วิศวกรอนาคตไกลที่ต้องมาพัวพันกับสิ่งที่ตระกูลได้ทำเอาไว้ และในท้ายสุดหนังก็ไปโน่นเลยครับ ศตวรรษที่ 22 มีนักวิทยาศาสตร์ชื่อพอล เลอมาร์แชนด์ (Ramsay อีกรอบ) ได้พยายามทำการทำลายล้างกล่องนรกนี่ให้สิ้นซากไป และเขาก็ต้องเผชิญกับพินเฮดอย่างไม่ต้องสงสัยครับ

เนื้อหาของภาคนี้มันน่าสนมากๆ ครับ เพราะคำถามได้รับคำตอบซะที กล่องมาจากไหน? เกิดขึ้นอย่างไร? และมันจะจบลงหรือไม่ ลงนึกๆ ดูแล้วการเดินเรื่องของหนังมันก็ดูคล้ายพวก Creepshow น่ะครับ ประเภทนำเอาเรื่องราว 3 ตอนมาเล่าให้ฟัง อันนี้จัดว่าเป็นความคิดที่เข้าท่าครับ เพราะดูจากเนื้อหาแต่ละช่วงแล้ว มันเหมาะมากที่จะเล่าสั้นๆ ถ้าร่ายยาวจะกลายเป็นน่าเบื่อไป แต่ถึงงั้นก็ตาม เนื้อหาน่าจะมันส์ แต่ผลที่ได้กลับธรรมดามากครับ

สิ่งแรกที่หายไปคือเสน่ห์ความสยองแบบดิบๆ เถื่อนๆ ที่หายไปมากครับ ฉากแหวะๆ อาจจะยังพอมี แต่บรรยากาศน่าหวาดผวาแบบภาคก่อนมันไม่เหลือเลยครับ สไตล์มันออกจะไซไฟไปซะแล้วด้วย ต่อมาคือพวกซีโนไบท์ (พวกปีศาจน่าเกลียดน่ากลัวที่คอยฉีกมนุษย์น่ะครับ) ก็มีน้อย มีแค่ตัวเดียวเอง เป็นปีศาจฝาแฝดตัวติดกัน ความหลากหลายและน่ากลัวเลยลดลงไป แม้จะมีตัว Chatter-Beast (ปีศาจเขี้ยวโง้งจอมเขมือบ) มาเสริมทัพก็ตาม มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรนัก

รวมถึงแองเจลลิค (Valentina Vargas) เจ้าหญิงแห่งนรกที่รอคอยการปลดปล่อยนรกของเธอออกมาเดินดิน ถ้าว่ากันตรงๆ แองเจลลิคดูเหมือนว่าจะมีอำนาจมากไม่แพ้พินเฮดเลยนะครับ แต่เธอกลับไม่สามารถฉายแววอำมหิตโหดเหี้ยมออกมาเท่าไหร่ ทำท่าว่าจะเด่น แต่ก็แค่เกือบๆ เท่านั้น

และท้ายสุดคือพี่พินเฮดเจ้าเก่า (Doug Bradley) หัวหน้าซีโนไบท์ที่ทรงอำนาจและน่ากลัวที่สุด ในภาคนี้แม้พินเฮดจะมีบทบาทมากขึ้น แต่แทนที่จะดีดันกลายเป็นเฉยๆ ไป เพราะการที่พินเฮดโผล่ออกมาน้อยๆ เฉพาะฉากสำคัญๆ อย่างในภาคก่อน ทำให้เขาดูขลังน่าเกลงขาม คนดูเมื่อเห็นเขาปรากฏตัวจะรู้ทันทีว่าเจ้าชายดำผู้นี้มาพร้อมความน่าสะพรึง แต่กับภาค 4 นี้พินเฮดปรากฏตัวเกือบตลอดในครึ่งหลัง ความขลังเลยไม่มีครับ เหมือนพี่แกเดินดินทั่วๆ ไป

หนังค่อนข้างน่าผิดหวังที่สุดในชุดนี้ครับ เพราะหนังไม่โหดเท่าภาคแรกๆ อีกแล้ว คือ ... จิงๆ แล้วหนังโคตรสะอาดน่ะครับ ยังกับมีแม่บ้านมาเก็บกวาดมันทุกฉากยังงั้นแหละ สะอาดเกินปายแล้ว ขนาดหน้าพี่พินเฮดแกยังดูนวลๆ เลยครับ ไม่ทราบว่าไปโบ๊ะหน้ามาจากไหน ภาคก่อนๆ หน้าพี่เขาแข็งๆ เหมือนปูนซีเมนท์ มาภาคนี้ทำไมมันขาวดูมีเลือดฝาดขนาดนี้ล่ะ โธ่ เสียหมดเลยนะพี่

หนังอืดครับ ไม่ค่อยน่ากลัวแล้ว ไม่ค่อยน่าติดตามด้วย ทั้งๆ ที่เนื้อหาน่าสนนะ ยิ่งสำหรับแฟนๆแล้ว จะได้รู้ว่าไอ้กล่องบ้านี่มันมาจากไหน แต่การเดินเรื่องน่าเบื่อครับ ธรรมดามากๆ มิหนำซ้ำการปรากฎตัวของพี่พินเฮดแกก็ไม่น่ากลัวอีกแล้ว ดูเหมือนพี่เขามาเดินเล่นมากกว่าจะมาทรมานคนแบบตอนก่อนๆ

เฮ่อ ไม่น่าแปลกใจครับที่ ผู้กำกับหนังเรื่องนี้จะใช้ชื่อ Alan Smithee มาแปะแทน (ชื่อ Alan นี้ จะใช้ก็ต่อเมื่อผู้กำกับหนังเรื่องนั้นๆ ไม่ยอมรับผลงานชิ้นนั้นๆของตน พูดง่ายๆ คือ ย่ำแย่จนเจ้าตัวยังรับไม่ได้น่ะครับ) แล้วผู้กำกับตัวจริงก็คือ Kevin Yagher การที่เขาถอนตัวออกมาก็เพราะความเห็นขัดกับผู้สร้างครับ สุดท้ายผู้สร้างเลยจัดการหนังตามที่ตัวเองต้องการ แล้วพี่ Kevin ก็ถอนตัวออกมา

ตอนแรกได้ข่าวว่า Stuart Gordon แห่ง Re-Animator 2 ภาคหลังสนใจจะมาทำครับ แต่ก็ถอนตัวไปในนาทีสุดท้าย ในขณะที่ Guillermo del Toro ผู้กำกับ Blade II และ Hellboy ก็ปฏิเสธข้อเสนอในการกำกับครับ (คงไม่อยากทำนั่นเอง)

การที่หนังทะลึ่งหลุดไปไวไฟนั่นทำให้หนังไกลตัวครับ เมื่อ Jason X นั่นแหละ ไม่รู้จะกลัวอะไร ภาคก่อนๆ เหตุมันเกิดใกล้ตัวมากครับ คนดูเลยมีอารมณ์ร่วมได้ไม่ยากเย็น แต่ภาคนี้เกิดบนอวกาศก็คงมีเฉพาะนักบินอวกาศของนาซ่าเท่านั้นล่ะครับถึงจะมีอารมณ์ร่วม (แต่กลัวไม่กลัวนี่ว่ากันอีกเรื่องนะครับ) และช่วงบนยานอวกาศนี่กลายเป็นน่าเบื่อไปเลยครับ แม้ตอนหลังในการเล่นงานพินเฮดจะถือว่าใช้สมองอยู่ก็ตาม แต่หนังมันเฉยมาตลอดน่ะครับ เลยช่วยอะไรไม่ได้

หนังมันก็ไม่ถึงกับย้ำแยจนดูไม่ได้นะครับ แต่หากเทียบกันแล้ว ผมชอบภาคนี้น้อยที่สุดในบรรดาหนัง Hell ทั้งหมด เพราะมันไม่แรง ไม่ดหดไม่แหวะ เนื้อหาก็ไม่เข้มข้นเท่าสองภาคแรก พินเฮดก็ดูด้อยความสยองลง หนังเลยไม่ค่อยน่าจดจำนัก (แต่ดันทำเงินสูงสุดครับ 16 ล้านน่ะ .. นี่มากแล้วนะครับ ภาคก่อนๆ ทำแค่ 10 ล้านต้นๆ เอง)

ค่อนข้างน่าผิดหวัง ขนาดหวังน้อยแล้วนะครับ ก็เป็นว่าทำใจก่อนดูครับ มันเป็นหนัง Hell ที่สะอาดและเป็นไซไฟมากเลยครับ

แต่ก็มีสะใจแกหนึ่ง ที่จะมีตัวละครขอความเมตตาจากพี่พินเฮด พี่แกเลยตอบไปประมาณว่า แกบ้าแล้วรึไง ข้าดูเป็นคนมีความเมตตาตรงไหนฟะ ... จริงเลยล่ะครับ หน้าตาอย่างแก มีตะปูเต็มหัวเนี่ย จะเมตตาได้ไง ถ้าเมตตาฆ่าล่ะไม่แน่
Hellraiser: Inferno (2000) บิดเปิดขุมนรก

[size=-1]

ตั้งแต่ภาคนี้ไปผมว่าไม่ค่อยน่าดูเนื้อเรื่องไม่สนุกแต่ความโหดก็ยังไม่ลดลง
Hellraiser: Inferno (2000) บิดเปิดขุมนรก
[size=-1]
[size=-1]


แนวหนัง สืบสวน + เขย่าขวัญ

ภาคที่แล้วเป็นตอนสุดท้ายที่ได้ฉายในโรงครับ เพราะทีมงานกะจะไม่ทำอีกแล้ว และเรื่องราวมันก็จบลงไปจริงๆ แล้วด้วย แต่ก็เพราะเงินน่ะครับ ภาค 5 เลยโผล่มาอีก (ภาค 4 แย่สุด แต่ทำเงินสูงสุดครับ ได้ไป 16 ล้าน ... นั่นเยอะแล้วนะ)

โดยภาค 5 นี่ก็เป็นเหตุการณ์ในปัจจุบันครับ กล่องยังคงเวียนว่ายอยู่ในโลกและนายตำรวจโจเซฟ โทรน (Craig Sheffer) ได้ไปเปิดมันเข้า เขาจึงต้องเผชิญกับนรกและพี่พินเฮด (Doug Bradley) ตามบทบัญญัติมาตรา 7 (เอ้ย ไม่เกี่ยว)

....เอาล่ะ ผมว่าแฟนพันธุ์แท้ Hell คงรับภาคนี้ไม่ได้ครับ เพราะมันไม่โหด และมันดันกลายเป็นหนังจิตวิทยา คือ ตามปกติภาคก่อนๆ เปิดกล่องมาปุ๊บ ไอ้คนเปิดนี่ตายทั้งเป็นทันทีครับ จะมีทั้งลวดทั้งโซ่จะมาเกี่ยวตัวเต็มไปหมด เลือดสาดไปเลย แต่กับภาคนี้ เปิดกล่องแล้ว ....ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มันจะทำให้ผู้เปิดบ้าตาย เพราะมันจะมีเรื่องแปลกๆ มารบกวนจิตใจผู้เปิดเต็มไปหมด พูดง่ายๆ คือ ทำร้ายที่จิตใจและสมองครับ ให้คนเปิดงงว่าตกลงอันไหนเป็นเหตุการณ์จริงอันไหนหลอกวะเนี่ย แล้วทีนี้ผู้เปิดก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นไป

...โอเค แม้มันจะเข้าคอนเซปต์เปิดแล้วเจอนรกก็ตาม แต่มันไม่ใช่ Hellllllllllllll นี่หว่า เฮ่อ พี่พินเฮดแกไปเรียนจิตวิทยามาเมื่อไหร่ ผมก็ไม่ทราบนะครับ เฮ่อ ไม่ใช่พี่พินเฮดที่ผมรู้จักเล้ย แล้วพี่แกยังมีการมาสอนทางธรรมให้พระเอกด้วยนะครับ เออ เอาเข้าไป ...นี่ปีหน้าแกจะบรรจุมาเป็นครูมั้ยเนี่ย สอนเก่งเหลือเกิน

แต่ถ้า เราล้างสมอง ล้างภาพของ Hell ภาคก่อนๆไปซะ แล้วก็มาดูภาคนี้ในฐานะหนังลึกลับเรื่องนึง ..อืมม์
... ผมก็ว่ามันสนุกไม่เลว มันลึกลับครับ เพราะเราไม่รู้เลยว่า มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับพระเอก และมันจะเกิดบ้าบออะไรต่อไปอีก ไอ้หนังแบบนี้ผมก็ชอบครับ มันน่าติดตามดี ซ่อนเงื่อนดี แต่คนที่เป็นแฟนพันธุ์แม้ของ Hell ต้องปรับนึดนึงครับ อย่างที่ผมทำเนี่ยแหละ แล้วจะรู้สึกว่าหนังมันก็ใช้ได้

แม้หนังจะไม่โหด แต่ก็ทำได้ถึงในแนวทางของมันครับ กึ่งหลอนก็สืบสวน ไม่เหมือนภาคก่อน ไอ้ภาคก่อนที่ผมบ่นก็เพราะมันเปลี่ยนแนวด้วย และทำได้ไม่ถึงขีดด้วยนะครับ แต่กับภาคนี้แม้จะเปลี่ยนแนว แต่อย่างน้อยมันก็ทำได้ดี น่าติดตามและบรรยากาศก็มืดๆ ดี ไอ้ฉากหลอนๆ ก็มีเยอะครับ หนังกำกับโดย Scott Derrickson คนที่ทำ The Exorcism of Emily Rose นั่นแหละ กับเรื่องนี้ผมว่าไม่เลวครับ

เอาล่ะ ปรับสมองแล้ว ดูเฉพาะตัวหนัง ก็ดีครับ สนุกกว่าภาค 4 อีกนะจะว่าไป มันอาจจะไม่ใช่หนัง Hell ที่ดี แต่สำหรับแนวทางของมัน (หนังลึกลับสืบสวน) มันทำได้ถึงดีครับ
ปอม บอกว่า ภาคนี้อย่าดูเลย ห่วย หรือจะดูก็ได้นะ หุหุ
Hellraiser: Hellseeker (2002) หลุดนรกสยองโลก

[size=-1]
[size=-1]
[size=-1]
Hellraiser: Hellseeker (2002) หลุดนรกสยองโลก
[size=-1]
[size=-1]


แนวหนัง สืบสวน ลึกลับ เขย่าขวัญ

เอ่อ ผมบอกว่าหนังจบแล้วเหรอครับ ยัง ยังมีอีก ภาคนี้มาทางเดียวกับภาคก่อนเลยครับ เทรเวอร์ กูดเดน (Dean Winters) เปิดกล่องปริศนา แล้วก็เจอเรื่องแปลกๆ มากมาย ก่อนจะปิดท้ายด้วย การโผล่มาของพี่พินเฮด (Doug Bradley) ภาคที่เพิ่งจบจิตวิทยามาหมาดๆ อืมม์ ...

ครับ ถ้าชอบภาคที่แล้วก็น่าจะโอเคกับภาคนี้ เพราะมันก็ทางเดียวกันนั่นแหละ ลึกลับค่อยๆ หาคำตอบไป แนวมันจะกลายเป็นกระตุกจิตมากกว่าจะสยองแบบเต็มๆ แกะปมหาความจริง มีฉากแหวะบ้าง ถ้าใครนึกไม่ออกก็จะเล่าให้ฟังนะครับ ประมาณว่าตวเอกเปิดกล่องมา ทุกอย่างดูปกติ แต่แล้วสิ่งรอบตัวเริ่มเปลี่ยน เช่นมีคนมาบอกว่าเขาทำสิ่งนี้ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำ มีสิ่งแปลกๆ เกิดกับเขา จู่ๆ ก็เห็นตัวประหลาดแบบแว่บๆ พอหันมาอีกทีก็ไม่เห็นมันแล้ว ... นี่แหละครับ อะไรทำนองนี้ แล้วก็มีการสืบปมไป นี่แหละครับคือแนวของ Hellraiser ภาคหลังๆ ซึ่งบรรยากาศก็ไม่เลว เหมือนภาคก่อน แต่ผมว่าภาคก่อนทำได้ดีกว่านี้ครับ ภาคนี้เหมือนเป็นการตามแบบมากกว่า

และภาคนี้เราจะได้เจอกับคริสตี้ ค็อตตอน (Ashley Laurence) นางเอกจาก 2 ภาคแรก แต่เธอมีบทจี๊ดเดียวเองครับ ตอนแรกดีใจที่เธอมาเล่น แต่ที่ไหนได้ ตัวประกอบนี่หว่า

รุปว่าถ้าคุณชอบภาค 5 ก็น่าจะสมใจกับภาค 6 ครับ แต่หากคุณเหนียวแน่นกับภาพลักษณ์สุดโหดของเหล่าซีโนไบท์ในสามตอนแรกล่ะก็ ภาคนี้ไม่ถูกใจคุณแน่ๆ ครับ สำหรับผมก็ไม่ค่อยผิดหวังนะ เพราะพอจับแนวได้ แต่ที่แน่ๆ คือการที่คริสตี้มาเจอกับพินเฮดอีกนี่ ไม่รู้สิครับ ว่าตามจริงแล้วพินเฮดไม่น่าจะมาตอแยกับคริสตี้แล้วล่ะ หากท่านดูภาค 2 แล้วน่ะครับจะเข้าใจว่าทั้งคู่ไม่น่าจะมามีปัญหากันอีก

พอไหวสำหรับแนวสืบสวนลึกลับ
ปอมก็ชอบนะ อาจจะเดินเรื่องนานไปหน่อย แต่พอไหวจ๊ะ
Hellraiser: Deader (2005) เจาะประตูเปิดผี, อ้า มันออกมาอีกแล้วง่า
[size=-1][size=-1]


แนวหนัง สยองสืบสวน

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้