ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3836
ตอบกลับ: 3
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

วัว

[คัดลอกลิงก์]
วัวธนู–ควายธนู ของขลังเฝ้าบ้าน เฝ้าเรือน   
วัวธนู–ควายธนู ของขลังเฝ้าบ้าน เฝ้าเรือน

         วิชาวัวธนูหรือวิชาควายธนูเป็นศาสตร์ทางโยคะ  เรียกว่า  วิชาวูดู  แพร่หลายอยู่บางแคว้นของประเทศอินเดียและแคว้นคองโกแถบลุ่มแม่น้ำอเมซอนในกาฬทวีป  ส่วนในภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและอาณาเขตติดต่อกับประเทศกัมพูชา  (เขมร)  มีการนิยมศึกษาเล่าเรียนกันอยู่บ้าง  ซึ่งวิชาศาสตร์ชนิดนี้นับเป็นวิชาฝ่ายมาร  แต่ทางจีนเรียกว่าม้อเก็งหรือม่อซุกใช้เสกปวยตอ  ภาษาไทยแปลว่า  มีดบินใช้ทำร้ายศัตรูในระยะไกลได้  เป็นดิรัจฉานวิชานั้น  มิได้หมายความว่า  วิชาของสัตว์เดียรฉานหรือวิชาของพวกเดียรถีย์  แต่หมายความว่าเป็นวิชาที่ขวางกั้นหนทางพระนิพพาน  คือ  ยังข้องและติดอยู่  แม้จะเป็นวิชาเสกหนัง  ปังฟัน  สะเดาะโซ่ตรวนขื่อคา  ลุยฟุตอาพัดต่าง ๆ ก็จัดอยู่ในจำพวกเดียวกันทั้งนั้น

         ผู้เขียนขอนำเรื่องเก่าแก่เล่าต่อสืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนานยิ่งโดยเฉพาะเรื่องราวของ  วัวธนู – ควายธนูมาเล่ากันหลายแบบหลายอย่างเป็นที่พิสดาร  และคงจะมีความสมบูรณ์ถูกต้องอยู่บ้าง  ไม่มากก็น้อย  หากจะมีสิ่งใดพลาดก็ขออภัยด้วย  ณ  ที่นี้  

         ซึ่งเรื่องนี้ผู้เฒ่าผู้แก่เล่ากันว่า  มีพระธุดงค์รูปหนึ่งได้จาริกแสวงบุญไปตามสถานที่ทุรกันดาร  วันหนึ่งได้สัญจร  (เดินทาง)  เข้าไปในราวป่าปราศจากบ้านผู้คน  ขณะนั้นดวงตะวันคล้อยต่ำลงจะลาลับขอบฟ้าอยู่แล้ว  ได้มีสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นอยู่เบื้องหน้าท่าน  จึงมุ่งหน้าเดินตรงไปหาปรากฏเป็นภาพของพระอุโบสถกลางป่าแห่งหนึ่งแต่อยู่ไกลลิบ  ซึ่งในระหว่างทางได้พบชายนุ่งขาวห่มขาวอยู่ผู้หนึ่งเดินสวนมา  และขอติดตามท่านไปด้วยในลักษณะความเป็นห่วงเป็นใย  และเมื่อเดินไปได้สักพัก  เห็นต้นไผ่ป่าโน้มลำต้นขวางทาง  ชายแก่ผู้ที่ได้ร่วมเดินทางมากับพระธุดงค์นั้นได้ใช้มือล้วงลงไปในย่ามหยิบมีดหมอออกมาเล่มหนึ่งแล้วลงมือตัดฉับเดียวต้นไผ่ก็ขาดออกจากกัน

         จากนั้นก็รีบขมีขมันจัดการแยกชิ้นส่วนเป็นไม้ตอกได้กำใหญ่  พลางเดินไปสานไปเมื่อสานเสร็จก็บรรจุในย่ามที่ใช้สะพายอยู่ติดตัว  พอไปถึงจุดหมายปลายทางเห็นเป็นพระอุโบสถที่ทรุดโทรมลักษณะคล้ายจะรกร้างมานานปี  ส่วนด้านหลังพระอุโบสถเป็นศาลาหลังเล็กค่อนข้างผุหลังคาโหว่และเห็นพระภิกษุชุมนุมกันอยู่ด้วยกันสี่รูป  โดยไม่ยอมให้การต้อนรับทักทายและไม่ยอมสบตากับผู้ใดด้วย  แววตานั้นมีลักษณะไม่คล้ายกับผู้คนทั่ว ๆ ไป  แต่มันคล้ายกับดวงตาของสัตว์ดุร้าย  ชายแก่ในชุดขาวรีบพาพระธุดงค์เข้าไปในพระอุโบสถ  และทำการปิดประตูหน้าต่างลงกลอนอย่างรีบเร่ง  แล้วจึงปัดกวาดฝุ่นละอองพอใช้พักอาศัยได้  จากนั้นได้ล้วงเอาเทียนขี้ผึ้งในย่ามออกมาสองเล่มพร้อมธูปสามดอกมาบูชาพระรัตนตรัยและบอกให้พระธุดงค์ทำวัตรเย็น

         ส่วนชายแก่ได้ยึดที่มุมหนึ่งของพระอุโบสถตั้งหน้าตั้งตาสานตอกอะไรของแกไปโดยไม่พูดจากับใคร  จนเดือนโผล่พ้นยอดไม้สู่ท้องฟ้าทำให้มองเห็นจากรอยแผ่นกระเบื้องหลังคาพระอุโบสถที่หลุดหาย  สุนัขก็เริ่มส่งเสียงเห่าหอนรับกันเป็นระยะ ๆ เสียงโหยหวนน่าสะพรึงกลัวในบรรยากาศอันเงียบสงัดวังเวง  ทันใดนั้นได้ยินเสียงหวีดหวิวคำรามของเสือร้าย  สายลมโชยพัดพากลิ่นสาบใกล้เข้ามา  จึงกระซิบพระธุดงค์ให้ตั้งสมาธิจิตบริกรรมพระพุทธคุณ  มีอะไรผิดปกติอย่าได้สนใจเป็นอันขาด  และเสียงนั้นก็ใกล้เข้ามาทุกที ๆ  จนได้ยินเสียงหายใจครืดคราด  และเสียงตะกุยตะกายที่ประตูพระอุโบสถ

         ซึ่งเสียงนั้นกะประมาณอย่างน้อยมีจำนวนไม่ต่ำว่า  3-4 ตัว  ถ้าพูดกันแล้วมันเป็นลีลาของเสือโคร่งชัด  ๆ ทันใดนั้นท่านผู้ชราได้ผลุดลุกจากที่นั่ง  ซึ่งสงบมานานได้เดินตรงไปสู่ประตูพระอุโบสถทำการสอดไม้ไผ่ที่สานออกตามรูช่องดาลอันแล้วอันเล่าไม่ทราบจำนวนเท่าใด  ในบัดดลก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ของสัตว์ใหญ่  พร้อมเสียงคำรนคำรามกึกก้องฉาด ๆ ซัดกันนัวไปหมด  ปานแผ่นดินจะถล่มทลาย  ประมาณชั่วหม้อข้าวเดือด  ผลของเสียงการรณรงค์ต่อสู้ได้เงียบหายไป  ทุกสิ่งตกอยู่ในความเงียบสงัดราตรีอันวอมแวมของแสงเทียน

         ต่อจากนั้นก็พากันพักผ่อนโดยอาการสงบ  ครั้นพอรุ่งเช้าก็ถอดกลอนผลักบานประตูพระอุโบสถเผยกว้างออก  สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาก็คือ  ภาพของเสือโคร่งขนาดวัดได้จากหัวถึงหางประมาณหกศอกจำนวน 4 ตัว  นอนตายอยู่ในที่ต่าง ๆ ในลักษณะลำตัวไส้ทะลักเรี่ยราด  ชายแก่ในชุดขาวจึงอธิบายให้พระธุดงค์ทราบว่าพระสี่รูปที่เห็น เมื่อเย็นวานนั้นก็คือเสือสมิงร้าย  4  ตัว  และให้สังเกตดูจะเห็นว่าที่คอยังมีผ้าเหลืองพันอยู่ทุกตัว  และถ้ามาช่วยไม่ทันละก็อาจตกเป็นเหยื่อของเสือสมิงร้ายพวกนี้ก็ได้

วัตถุที่ใช้สร้างวัวธนู – ความธนู  แต่ละชนิดออกไปดังนี้

         1. วัวทอง  (ไม่ใช่ทองคำ  ทองผสม  เช่น  ทองเหลือง  ทองแดง  ที่ภาคอีสานนิยมเรียกว่า  ทอง  ส่วนทองเรียกว่า  คำ)  เป็นวัวธนูชั้นหนึ่ง  สร้างขึ้นด้วยโลหะอาถรรพณ์  มีตะปูตรึงโลงศพ  เหล็กขนัน  ผีตายท้องกลม  งั่ง (ตัวยาซัดทองชนิดหนึ่ง)  ทองแดงเถื่อน  ดีบุก  ทองขวานฟ้า  เงินปากผี  ทองยอดนพศูนย์  นำมาหล่อหลอมเข้าด้วยกัน  แล้วลงอักขระตามตำราที่ใช้บังคับ  หรือหล่อเป็นโคถึกหรือกระทิงโทน

         2.วัวขี้ผึ้ง  เป็นวัวธนูชั้นสอง  ท่านให้ใช้ขี้ผึ้งปิดหน้าผีตายโหง  ผีตายท้องกลม  ผสมด้วยผมผีตายพราย ผมผีตายลอยน้ำ  ตานกกรด  ตาแร้ง  ตาชะมด  กำลังวัวเถลิง  เผาไฟให้ไหม้บดเป็นผง  ผสมกับเถ้ากองฟอนเจ็ดป่าช้าแล้วนำไปคลุกกับขี้ผึ้งปั้นเป็นรูปวัวหรือความก็ได้ เสกด้วยอาการ  32  บางตำราเพิ่มคนเลี้ยงอีก 1 คน

         3. วัวไม้ไผ่  เป็นวัวธนูชั้นสาม  ใช้ชั่วคราวในเวลาฉุกเฉิน  ให้ใช้ไม้ไผ่ที่ขึ้นคร่อมทาง  กลั้นหายใจตัดด้วย นะโมตัสสะ  กะทีเดียวให้ขาดจากกัน  นำมาสานเป็นรูปหัววัว  คล้ายเฉลวปักหม้อยาแผนโบราณ

กรรมวิธีการสร้าง

        วัวกำหนดสร้างตามตำราที่ระบุไว้ให้เลือกเอา  วันมาฆบูชาหรือวันวิสาขบูชาและวันอาสาฬหบูชาและใน แต่ละวันให้กำหนดฤกษ์แตกต่างกันออกไปดังนี้

วันมาฆบูชา

         อันเป็นวันเพ็ญเดือนสามให้กำหนดฤกษ์ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าจนถึง เที่ยงคืนเป็นหมดฤกษ์  แต่จะต้องเลือกตัดช่วงใดช่วงหนึ่งที่ดีที่สุดอาจจะ  1 – 3 ชั่วโมง  ตามแต่ความสั้น – ยาวของช่วงฤกษ์ที่อยู่ภายในระยะเวลาเที่ยงคืน

วันวิสาขบูชา

         กำหนดเวลาฤกษ์ตั้งแต่พระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าตอนเช้าจนถึงเที่ยง  และต้องเลือกติดฤกษ์เหมือนวันมาฆบูชาเช่นกัน วันอาสาฬหบูชากำหนดเวลาฤกษ์ตั้งแต่บ่ายคะเนอาทิตย์อยู่เหนือยอดไม้ใกล้ลับฟ้าจนถึงอาทิตย์ลับของฟ้าวันนี้ไม่ต้องตัดฤกษ์ถือเป็นฤกษ์ดีโดยเวลากำหนดอยู่แล้ว

         อนึ่ง  การใช้ดอกไม้ในพิธีกำหนดตามวันคือ  วันมาฆบูชา  ใช้ดอกไม้  4  สี  เข้าใจว่าคงจะมีความหมายถึง “จาตุรงคสันนิบาต”  อันเป็นองค์ประกอบแห่งความหมายของวันมาฆบูชาก็เป็นได้ซึ่งเป็นวันที่ครบองค์  4  คือ  มีพระสงฆ์ที่เป็นอรหันต์มาชุมนุมกัน  1,250  องค์  1. พระสงฆ์เหล่านั้นล้วนเป็นเอหิภิกษุ  2. พระสงฆ์เหล่านั้นมากันเอง โดยมิได้นัดหมาย  3. เป็นวันเพ็ญเดือนสามที่พระพุทธองค์แสดงโอวาทปาติโมกข์  และเข้าใจว่าดอกไม้  4  สีคงมีความหมายดังกล่าวมา

        สำหรับวันอาสาฬหบูชาท่านให้ใช้ดอกไม้  8  สี  อันนี้ก็เข้าใจว่าคงจะมีความหมายว่าในวันอาสาฬหบูชาซึ่งเป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเทศนา  โปรดปัญจวัคคีย์นั้นทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทา  อันหมายถึงอริยมรรค  8  ประการก็น่าเป็นไปได้  ส่วนวันวิสาขบูชานั้นท่านให้ใช้ดอกไม้  3  สีก็น่าจะหมายถึงการเกิดอัศจรรย์จากนิมิตทั้งสามมาตรงกันนั่นเอง

         วัตถุในการใช้เป็นส่วนประกอบในการสร้างที่สำคัญ  คือ  ครั่งที่เกาะบนกิ่งพุทธาซึ่งชี้ไปทางทิศตะวันออกอย่างน้อยจาก  3  ต้นขึ้นไป  ตามตำรับระบุไว้อย่างแน่ชัดว่าต้องเลือกเอาครั่งในกิ่งที่ชี้ไปทางทิศตะวันออกเท่านั้นและถ้าเป็นกิ่งตายพรายท่านให้ใช้เพียงกิ่งเดียวเป็นพอ  จะเพิ่มอานุภาพมากขึ้น

คาถาที่ใช้เสกทำน้ำมนต์ในแบบนี้ท่านให้เสกด้วย

         “อมอุดเทตะยัง  สะนหิ  อมงัวทะนูลูกแม่เฒ่ารักษาเจ้าให้ดี  ผีสางสะเด็ดหนี  ขวักคว้าน  อมโคโนมหาโคโน อมโคโส  มหาโคโส  สันทะ  สันทิ  จันทิหิ  อมมหาหิริโอตัมปะ  สัมปัญโน  นะภาเวนุ  นุเวภานะ  เวภานะนุ  ภานะนุเว  นะภาเวนุ  สัพปุริสา  โลเก  เทวะทำมาติ  วัดจะเร”

ท่านให้สวด  7  ครั้งขณะทำน้ำมนต์

การใช้วัวธนูเฝ้าบ้านตามตำรา  ท่านว่าให้เอาวัวธนูนั้นเสกด้วยคาถาดังนี้  7  ครั้ง

         นะภาเวนะ  นะภาเวนุ  เวทาสากุ  กุสาทาเว  ทายัสสะ  ตะทะสา  ทิกุกุ  ทิสาสา  กุตะกุ  ภูตะพุ  โคสวาหะ  โสถิทเต  โหตุเต  ชัยยะมังคลานิ  นุเวภานะ  นุเวภานะ  เวถานะนุ  เวถานะนุ  ภานะนุเว  ภานะนุเว  นะนุเวภา  นะนุเวภา  นะภาเวนุ  นะภาเวนะ แล้วรดน้ำบนหลังวัวธนูรองเอาน้ำนั้นรดรอบ ๆ เขตบ้านที่เป็นการกำหนดเขตไว้ให้แน่ชัด

มนต์คาถาควายธนู

         โอมปู่เจ้าสมิงพราย  ปู่เจ้ากำแหงให้กูมาทำควาย  เชิญพระอิศวรมาเป็นตาซ้าย  เชิญพระนารายณ์มาเป็นตาขวา  เชิญพระอาทิตย์มาเป็นเขา  เชิญพระจันทร์มาเป็นหาง  เชิญพระพุทธคีเนตร  พระพุทธคีนาย  มาเป็นสีข้างทั้งสอง  เชิญพระจัตตุโลกบาลทั้งสี่มาเป็นขาสี่เท้า  เชิญฝูงผีทั้งหลายเข้ามาเป็นไส้พุง  นะมะสะตี
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-7-6 16:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วัวธนู ควายธนู หลวงพ่อน้อย ของขลังสายเขมรที่ไม่ธรรมดา
          วัวธนู ควายธนู เครื่องรางของขลัง หลวงพ่อน้อย ซึ่ง วัวธนู ควายธนู เครื่องรางของขลัง หลวงพ่อน้อย นี้เป็นของขลังสายเขมรที่ไม่ธรรมดา อยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับ วัวธนู ควายธนู เครื่องรางของขลัง หลวงพ่อน้อย คลิกที่นี่


          แท้จริงแล้วเรื่องของวัวและควายธนู เป็นเครื่องรางของขลังทางฝั่งลาวและเขมร แต่ต่อมาได้เข้ามาสู่แผ่นดินสยามเมื่อคราวมีการอพยพไพร่พลเข้ามา

          หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง นครปฐม ท่านเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในพระเวทย์สายนี้เป็นอย่างมาก ท่านสร้างและปลุกเสกวัวธนูและควายธนูเอาไว้เฝ้าบ้านป้องกันเสนียดจัญไรจากคุณไสยลมเพลมพัด

          หลวงพ่อน้อย ท่านเอาทองแดงมาขึ้นเป็นรูป จากนั้นพอกด้วยครั่งผสมผงอาถรรพ์ 108 ลงรักปิดทองก็มี ท่านเสกด้วยคาถาที่เข้มขลังจากสายลาว เสกจนวัวธนู-ควายธนูหันหัวไปซ้ายไปขวาได้ พระเกจิรุ่นเก่าท่านขลังศักดิ์สิทธิ์จิตสูงจึงทำได้

          คนโบราณเรียกวัวของท่านว่า วัวปั้นหุน ดังคำภาษิตที่เขายกเอาไว้ให้เป็นเบญจภาคีเครื่องรางของขลังว่า "ปลัดขิกหลวงพ่อเหลือ เสือหลวงพ่อปาน หนุมานหลวงพ่อสุ่น วัวปั้นหุ่นหลวงพ่อน้อย ศรีษะทอง เบี้ยแก้กันของวัดนายโรง"

          เคยเห็นมากับตาตอนที่เดินจากตราดเข้าสู่เขมรทางด้านเกาะกงและอ่าวปอ ด้วยเราเป็นเพียงพระหนุ่มเณรน้อยที่ยังอ่อนนักกับพระเวทย์และอาคมในยุคนั้น ได้เดินทางไปพักที่อ่าวปอเพื่อรอวันพรุ่งจะไปเฝ้าสังฆราชเขมร ซึ่งเป็นสหธรรมิกกับพระอาจารย์สอนกรรมฐานที่อยู่เมืองนครศรีธรรมราช   

          ที่อ่าวปอนี้มีวัดหนึ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงสร้างเอาไว้ ทราบจากที่หน้าบันโบสถ์มีรูปตราประจำพระองค์ และเลข 5 ไทย ภายใต้มหามงกุฎปรากฏ อย่างนี้ก็ทำให้เราได้อุ่นใจขึ้นบ้างว่าโบสถ์หลังนี้พระราชสมภารเจ้า เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินของเราสร้างขึ้น คงจะพอนอนได้หลับลงสนิท ไม่คิดมากถึงเรื่องไสยอันลึกลับเสียเท่าไหร่นัก

          ไม่น่าเชื่อ สองทุ่มเศษที่เงียบราวกับป่าช้าที่ผีดุ ในใจก็กลัวอยู่แต่พอข่มด้วยสมาธิให้อยู่พอประคองไหว ราวเที่ยงคืนเศษไม่รู้สุนัขทำไมเห่าหอนนัก ทั้งๆ ที่นี่ไม่มีเลือกตั้งผู้แทน สักครู่ได้ยินเสียงอะไรไม่ทราบดังขึ้นตุบๆๆ อยู่หน้าโบสถ์ นึกในใจเป็นตายก็ไม่ออกไปดู โบสถ์ทรงแบบมหาอุดเข้าออกทางเดียวยังไม่น่าเกรงเท่าไหร่ แต่ในใจลึกๆ นึกไว้ว่าทหารเขมรมาเราไม่กลัว แต่ถ้าหากเป็นผีเขมรนี่คงลำบาก เพราะคงพูดกันไม่รู้เรื่องแน่   

          แต่คืนนั้นก็รอดผ่านพ้นไปด้วยดี พอเช้าแล้วเปิดประโบสถ์ออกไปดู เห็นมีเศษหนังชิ้นใหญ่เท่าฝ่ามือวางเรียงกองอยู่ตรงใกล้ๆ ธรณี ประมาณ 3-4 ชิ้น พระในวัดที่พอสื่อกันได้พูดไทยสำเนียงเขมรบอกว่า เมื่อคืนนี้เขาเห็นมีคนมาปล่อยของลองอาคม แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เลยหล่นอยู่หน้าโบสถ์ พอได้ฟังแล้วขนลุกซู่ และพนมมือขึ้นนึกถึงพระบารมีพระราชสมภารเจ้าในหลวงรัชกาลที่ 5 เพราะลำพังพระหนุ่มเณรน้อยอย่างเราคงไม่รอดพ้นแน่

          พอเดินไปดูหลังประธาน ก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมมีคอกของวัวและควายธนูอยู่บนโต๊ะหมู่เล็กๆ ถามว่ามีไว้ทำไม เขาบอกว่าโยมเอามาถวายไว้ เวลาวันโกนโยมเขาจะมาถือศีลนอนในโบสถ์นี้ รุ่งเช้าเป็นวันพระ ก็ทำบุญใส่บาตรและภาวนาจนสิ้นวันพระ เขามีเอาไว้กันคนที่เป็นมิจฉาทิฐิมาทำของใส่อย่างเมื่อคืนนี้แหละ ผมจึงเชื่อว่าแม้วันนี้โลกเปลี่ยนไปปานใด แต่ทว่าเรื่องของคุณไสยยังมีอยู่จริง   

          ที่เขมร วัวธนูและควายธนูเป็นเครื่องรางที่ป้องกันคุณไสยได้เยี่ยมนัก ใครมีบูชาต้องตั้งเป็นคอก มีแก้วน้ำและกอหญ้าสดวางไว้เป็นเครื่องเซ่น เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องเกรงกับสิ่งที่มองไม่เห็นอีกต่อไป แม้เราจะอยู่ในโลกวิทยาศาสตร์แล้ว แต่บางครั้งวิทยาศาสตร์ก็กลายเป็นสิ่งที่จำกัดกั้นไม่ให้เราเข้าถึงกับสิ่งที่นอกเหตุเหนือผลที่มีอยู่จริงได้เหมือนกัน     


มนต์ พันลาย

http://hilight.kapook.com/view/19410
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-7-6 16:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เดือนเขมรผู้มีควายธนู
http://kumanthongsiam.igetweb.com/webboards/603601/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99-45-(+++%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B9-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B9).html
ผมชื่นชอบเรื่องราวของวัวธนู ควายธนูมาก วันนี้ก็มีอยู่สองเรื่องที่ มีประสบการณ์เกี่ยวกับควายธนู เรื่องแรก "เดือนเขมรผู้มีควายธนู" พ.ศ.2480 เจ้าคุณพระปราจีนบุรีซึ่งเป็นเจ้าเมืองปราจีนบุรีผู้ให้ความเคารพนับถือในตัว พระอาจารย์สิงห์มานาน ได้เดินทางมานครราชสีมาเพื่ออาราธนาให้ไปเผยแพร่พระธรรมทางเมืองนั้นดูบ้าง ระหว่างนั้นพระอาจารย์สิงห์ ได้เดินทางกลับมาจากขอนแก่นโดยท่านเจ้าคุณอุบาลี(ศิริจันโท)ตามตัวลงมา เพราะทางเมืองโคราชสมัยนั้นยังไม่มีพระคณะใดออกเผยแผ่พระธรรม เจ้าคุณอุบาลีเล็งเห็นว่าเมืองโคราชนี้ต่อไปจะรุ่งเรืองได้และเหมาะสมที่จะให้พระอาจารย์สืงห์ลงมาเผยแผ่พระธรรม พระอาจารย์สิงห์ก็ไม่ขัดข้องออกเดินทางจากขอนแก่นมาโคราชใน พ.ศ. 2475 โดยจัดตั้งสำนักวิปัสสนาขึ้นที่วัดป่าสาละวันในปัจจุบัน

     พระปราจีนบุรีเดินทางมาพบพระอาจารย์สิงห์ที่นี่ เพราะทางปราจีนบุรีกำลังก่อสร้างวัดป่าทรงคุณและวัดปากพอกอยู่ยังไม่แล้วเสร็จ ขอให้พระอาจารย์สิงห์ลงไปช่วยดูแลในการจัดสร้างครั้งนี้ พระอาจารย์สิงห์จึงได้ออกเดินทางมาอยู่ปราจีนบุรีและเปิดสอนวิปัสสนากัมมัฎฐานแก่พระสงฆ์ สามเณรและบรรดาาญาติโยมทั้งหลาย ไหน ๆ ก็มาเมืองปราจีนทั้งที พระอาจารย์สิงห์ก็อยากจะเห็นต้นโพธิ์ซึ่งได้รับคำบอกเล่าจากพระเณรชาวบ้านหลายคนว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์อายุยืนยาวมานับเวลาเป็นพันปี มีความใหญ่โตขนาด 10 คนโอบเป็นต้นโพธิ์ที่นำมาจากพุทธคยา จัดเป็นพระบริโภคเจดีย์อัน สำคัญทางพระพุทธศาสนา เมื่อมาอยู่ปราจีนบุรีแล้ว วันหนึ่งพระอาจารย์สิงห์ก็ออกเดินทางเพื่อจะไปนมัสการพระบริโภคเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ ลัดเลาะทุ่งนามาจนถึงบริเวณต้นโพธิ์ก็ได้ชมดูด้วยความชื่นชมต่อความเติบโตของต้นโพธิ์ต้นนี้อย่างยิ่ง


     แต่เป็นเวลามืดค่ำเสียก่อนจะเดินทางกลับก็ไม่สะดวกจึงกำหนดพักแรมที่วัดนั่นเอง เมื่อเจ้าอาวาสรู้ว่าพระอาจารย์สิงห์จะมาพักแรมที่วัดก็ดีใจ จึงได้ตระเตรียมที่พักและสนทนาด้วยทั้งข้อธรรมและการเดินธุดงค์ของพระอาจารย์ สิงห์ ขณะที่คุยกันอยู่นั้นก็มีชายคนหนึ่งขอพบเจ้าอาวาสซึ่งเป็นคนละแวกบ้านนี้เองสืบเชื้อสายมาจากชาวเรณูนคร ชาย คนนั้นก็เรียนถามท่านเจ้าอาวาสว่ามีพระมาจากถิ่นอื่นอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ เจ้าอาวาสงงเมื่อได้ยินคำถามจากชายผู้นั้นชื่อทิดมา เจ้าอาวาสก็ถามทิดมาว่าทำไมรู้มีมารูปหนึ่งกับสามเณรน้อยมีอะไรหรือ ทิดมาตอบว่าไม่มีอะไรหรอกแต่มีเขมรมาจากพระตะบองฝากให้มากราบเรียนพระที่มาพักด้วยเท่านั้น ท่านเจ้าอาวาสสงสัยมันรู้ได้ยังไงพระอาจารย์สิงห์ก็บอกว่าไม่ได้เตรียมเนื้อเตรียมตัวที่จะมาพัก พอดีพระอาจารย์สิงห์เดินเข้ามาที่ทิดมาซึ่งพับเพียบอยู่ตรงหน้ากุฎิ พระอาจารย์สิงห์ก็ถามทิดมา มาด้วยธุระอะไร ทิดมาบอกว่าชาวเขมรคนหนึ่ง ฝากให้มาบอกพระอาจารย์สิงห์ว่า คืนนี้เขาจะมาพบแล้วฝากไอ้นี่ถวายท่านด้วย


     ทิดมากล่าวจบก็หยิบของแปลกตา ชิ้นหนึ่งส่งให้พระอาจารย์สิงห์เป็นตอกที่เหลา บาง ๆ ขัดกันมาขัดกันไป เจ้าอาวาสวัดศรีมหาโพธิ์ยืนมองด้วยความมึนงง เห็นแต่เป็นตอกที่จักเหลาจนบางขัดกันไปขัดกันมาไม่เห็นจะสำคัญอะไร พอทิดมาลากลับพระอาจารย์สิงห์ก็หัวเราะพร้อมกับกล่าวว่า เขมรคนนี้เขาอยากจะลองดีผมกับผม แล้วพระอาจารย์สิงห์ก็ไม่ได้ กล่าวอะไรอีกเดินเข้าไปในกุฎินั่งพิจารณาตอกที่จักอยู่ในมือ เจ้าอาวาสถามว่าเขาเรียกว่าอะไร พระอาจารย์สิงห์ก็บอกว่าควายธนู  เจ้าอาวาสถามต่อมันเอามาให้ทำไม พระอาจารย์ตอบว่าเขาอยากจะลองดี แล้วทั้งสองก็นั่งสนทนากันอีกสักครู่ เจ้าอาวาสก็ขอตัวกลับกุฎิพัก ผ่อนเพื่อให้พระอาจารย์สิงห์พักผ่อนบ้างเพราะเดินทางมาเหนื่อย แต่พระอาจารย์สิงห์ไม่นอน เพราะตอกที่เหลาขดกันอยู่นั้นเป็นเหตุ พระอาจารย์สิงห์กำหนดนั่งทำสมาธิเอาตอกชิ้นนั้นถือในมือหลับตาเข้าสู่ภวังค์อันเงียบสงบ สักครู่ท่านได้ยินเสียงลมพัดอื้ออึงมาจากข้างนอก ตอกที่จักเรียบร้อยในมือเกิดผิด กล่าวคือ มีความร้อนชนิดหนึ่งเกิดขึ้น แผ่ซ่านเข้ามาจากฝ่ามือถึงสองแขนจนรู้สึกแต่พระอาจารย์สิงห์คงหลับตาอยู่อย่างนั้น เสียงลมพัดอื้ออึงตอกมีอาการเคลื่อนไหวคล้ายกับจะพองตัวโลดแล่นออกมาจากมือที่พระอาจารย์สิงห์วางตอกเอาไว้ แล้วพระอาจารย์สิงห์ก็ลืมตาขึ้น เอาตอกวางไว้ตรงหน้าหยิบก้านธูปที่กระถางข้าง ๆ มือมาหนึ่งก้านแล้วหักออกเป็น 4 ชิ้น วาง เป็นรูปสี่เหลี่ยมลักษณะเหมือนคอกสัตว์ล้อมตอกเอาไว้ พระอาจารย์สิงห์ยิ้มด้วยความพอใจแล้วนั่งหลับตาต่อไป ลมพัดแรงขึ้น ๆ เสียงใบโพธิ์พัดไหวเกรียวกราวแว่วเข้ามา เมื่อพระอาจารย์สิงห์ลืมตา มองดูตอกที่อยู่ในคอกสี่มุม ตอกนั้นมีอาการเคลื่อนไหวหัน รีหันขวางเหมือนสิ่งมีชีวิตที่พยายามจะหนีออกจากก้านธูปที่ทำไว้เหมือนคอก หันไปทางไหนเมื่อเจอก้านธูปก็ถดถอยหันไปอีกทางเป็นอยู่อย่างนั้น แต่ไม่สามารถจะหลุดออกไปจากก้านธูปสี่มุมนั้นได้แต่อย่างใด พระ อาจารย์สิงห์เอื้อมมือขึ้นมาแตะที่ลิ้นแล้ววางนิ้วลงบนตอก จากนั้นก็เปิดคอกหยิบก้านธูปออกทั้งหมด ทันใดตอกธรรมดาก็แสดงอภินิหารกลายเป็นร่างควายขนาดไม่ใหญ่นักพุ่งพรวดออกไปจากวงล้อมเผ่นออกไปทางหน้าต่างหายไปด้วยลักษณะอาการตื่นตกใจ


     จนกระทั่งรุ่งเช้าขณะที่พระอาจารย์สิงห์กำลังจะออกเดินทางกลับวัดป่าทรงคุณ ก็มีชายคนหนึ่งมาหาเป็นเขมร มาจากพระตะบองเมื่อเห็นหน้าพระอาจารย์สิงห์ก็ก้ม หัวลงกราบพระอาจารย์สิงห์ร้องอย่างเดียวว่า "มนต์ มนต์" เจ้าอาวาสซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ พระอาจารย์สิงห์เพื่อจะส่งท่านลงจากกุฎิได้ยินก็หัวเราะเพราะเจ้าอาวาสฟังภาษาออกเนื่องจากปราจีนบุรีอยู่ใกล้เขมรมีเขมรไปมาหาสู่อยู่เสมอ "เขานิมนต์ท่านสิงห์"  "เขาจะนิมนต์ผมไปไหนครับ" พระอาจารย์สิงห์ถามอย่างแปลกใจ ท่านมองดูชายคนนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์มีอะไรบางอย่างบอกท่านว่า ชายคนนี้เห็นจะต้องมีเรื่อง คุยกับท่านแน่ แต่ฟังภาษากันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ชายเขมรส่งภาษาออกมาอย่างช้า ๆ ตามองดูพระอาจารย์สิงห์ด้วยความเคารพนับถือ เจ้าอาวาสก็ทำหน้าที่เป็นล่าม "เขาบอกว่าเขาชื่อเดือน" ชายคนนั้นพยักหน้ายิ้ม "โมมีนา" เจ้าเขมรถามว่าพระอาจารย์สิงห์มาจากไหน "เวิ้ดป่าทรงคุณปราจีน" เจ้าอาวาสตอบ เขมรพยักหน้าเข้าใจแล้วกราบที่เท้าพระอาจารย์สิงห์แล้วเล่าถึงสาเหตุที่มาหา ในเช้าวันนี้จึงรีบออกเดินทางมาหาท่านเพราะเคารพนับถือพระอาจารย์สิงห์ "มันมาขอขมาท่านสิงห์" พระอาจารย์รู้ทันทีว่าเรื่องอะไร แต่ท่านทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ "มันบอกว่าเมื่อคืนนี้ท่านสิงห์กักควายธนูของมันไว้ตั้งนาน มิหนำซำยังจับควายธนูอาบน้ำจนเปียกปอนอ่อนเพลียหมดแรง ใช้ทำงานต่อไปไม่ได้มาขอให้ท่านสิงห์ถอนให้ด้วย" พระอาจารย์สิงหืให้เจ้าอาวาสบอกเจ้าเดือนว่า มีวิชาต้องเอาไว้ใช้เป็นประโยชน์จะกลั่นแกล้งใครเขาไม่ได้ ที่นี่เป็นเมืองไทย คนไทยเก่ง ๆ มีเยอะไม่ใช่มีท่านคนเดียว  ถ้าหากเมื่อคืนไม่ใช่ท่าน เป็นคนที่ไม่รู้เรื่องก็อาจบาดเจ็บถึงตายได้ ท่านเจ้าอาวาสฟังก็สงสัย เพราะท่านไม่รู้เรื่องว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ท่านเจ้าอาวาสได้ถ่ายทอดคำ บอกเล่าของพระอาจารย์สิงห์ให้เจ้าเดือนเขมรมาจากพระตะบองฟัง  เจ้าเดือนร้องไห้แล้วก้มลงกราบตอบกลับไปอีกทางว่า รู้ดีว่าท่านสงห์เก่งจึงล้อเล่นไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายแต่อย่างใด ต่อไปนี้จะเชื่อท่านสิงห์ แต่เสียดายวิชาที่เรียนมา ถ้าหากไม่เก่งจริงก็จะช่วยแก้ให้ แต่เมื่อเรียนวิชาทางนี้แล้ว ก็ต้องนำมาใช้ไม่เช่นนั้นวิชาจะเสื่อม พระอาจารย์สิงห์เดินกลับเข้า ไปในกุฎิแล้วส่งก้านธูปให้เจ้าเดือนเขมรผู้เรืองเวทย์เจ้าของควายธนู พร้อมกับหันมาทางเจ้าอาวาสและกล่าวว่า "ท่านช่วยบอกเขาด้วยว่าให้เอาไม้นี้แช่น้ำมนต์อาบควายธนูก็จะหายไปเอง ไม่ต้องวิตกใด ๆ พอ เจ้าเดือนได้รับก้านธูปใส่มือเท่านั้นก็หงายท้องชักดิ้นชักงอ พระอาจารย์สิงห์ไม่พูดอะไรเดินเลี่ยงออกไปจากประตูทันที เจ้าอาวาสเห็นเช่นนั้นก็ตกใจอยู่ ๆ เขมรคนนี้ก็มาชักดิ้นชักงอจะเป็นตายอย่างไรก็ไม่รู้ ร้องตะโกนเรียกพระเณรมาช่วยกัน ปากก็หันไปทางพระอาจารย์สิงห์ "ท่านสิงห์ไอ้เขมรมันเป็นอะไรไปแล้ว เร็วช่วยกันหน่อย" พระอาจารย์สิงห์หัวเราะเบา ๆ "ไม่เป็นไรหรอกท่านเดี๋ยวก็หาย" เมื่อพระอาจารย์สิงห์กลับมาวัดป่าทรงคุณก็เล่าเรื่องนี้ให้ญาติโยมฟังว่า สาเหตุที่เขมรคนนี้ชักดิ้น ชักงอเมื่อได้รับก้านธูปก็เพราะว่าเขาเรียนวิชาน้อยไป เรามอบของขลังกว่าให้เขา เขารับไม่อยู่ต่อไปจะเข็ด ไม่อย่างนั้นจะเที่ยวรังแกคนไทย นึกว่าคนไทยไม่มีคนเก่ง จงจำไว้อย่าข่มเหงดูถูกคนที่อ่อนแอกว่า…..



     เรื่องที่สองเป็นเรื่องราวของคุณประถม  อาจสาคร ประสบมาเมื่อ 90 ปีมาแล้ว ในสมัยคุณประถมอายุได้ 10 ขวบ อาศัยวัดเป็นที่พำนักเพื่อประโยชน์ในการศึกษาและพักอยู่ที่กุฎิท่านวินัยธรรม (เภา) วัดเขาบางทราย อยู่มาวันหนึ่งมีชายพเนจรนิรนามมาขอพักเป็นการชั่วคราว สอบถามได้ความว่าเดินทางมาไกลผ่านเส้นทางพนัสนิคมเรื่อยมา จนถึงหมู่บ้านหนองตำลึง อำเภอพานทอง ก็เป็นเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำปราศจากสถานที่พักพิงจึงได้อาศัยศาลาวัด  เพื่อ พักนอนชั่วคราว ในขณะที่ชายนิรนามผู้นี้กำลังจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงพายุกระทบน้ำจ๋อมแจ๋มเมื่อมองออกไปก็เห็นน้ำท่วมถึงครึ่งเสา ศาลาทั้งที่ไม่มีฝนตกเพราะเป็นฤดูแล้ง ก่อนนอนพื้นดินก็แห้งสนิทไม่มีเค้าฝนตกเลย พอจะเคลิ้มหลับเท่านั้นน้ำมาจากไหนเหลือเชื่อจริง ๆ โดนลองดีเข้าให้แล้ว เมื่อใช้สายตาเพ่งมองฝ่าความมืดออกไป เห็นเงาโลงผีลอยมาตะคุ่ม ๆ พวกมันแห่กันมามากมายใช้โลงผีเป็นพาหนะแทนเรือ ทำทีท่าจะบุกศาลา ชายนิรนามผู้นี้เห็นท่าไม่ได้การจึงปล่อยวัวธนูออกไปทันที เล่นเอาขบวนการผีร้ายแตกกระเจิดกระเจิงไม่สามารถบุกเข้ามาได้ แต่ผลสุดท้ายวัวธนูได้เสียทีพลาดท่านายป่าช้าถูกตีเขาหักไปข้างหนึ่ง ต้องกลับมาหาเจ้าของ ชายนิรนามจึงปล่อยคนเลี้ยงวัวธนูออกไปสู้ และสู้กันจนตลอดรุ่งใกล้จะสว่างไม่ปรากฎผลการแพ้ชนะ ชายนิรนามจึงออกเดินทางต่อไป และพักที่วัดบางทราย อนึ่งชายนิรนามคุยกันเป็นที่ชอบพอกับคุณประถมมาก ในอาทิตย์หนึ่งพอถึงวันอังคาร ชายนิรนามจะชวนคุณประถมไปเที่ยวเล่าแถวหนองไม้แดงซึ่งอยู่ใกล้วัดเขาบางทราย พร้อมทั้งบอกว่าจะให้ดูของดีแล้วใช้มือล้วงลงไปในย่ามหยิบวัวธนูขี้ผึ้งตัวเล็ก ๆ ออกมาตัวหนึ่งวางลงบนฝ่ามือ อีกทั้งหยิบผ้าแดงผืนน้อยคลุมลงบนหลังวัวธนูบริกรรมคาถาอยู่พักหนึ่ง วัวธนูก็วิ่งฝ่าอากาศออกไปผ่านต้นไม้กิ่งไม้ ชนหักสะบั้นหั่นแหลกไปคนละทิศละทาง เมื่อวัวธนูตกถึงพื้นดินก็กลายสภาพเป็นวัวธรรมดาเที่ยวและเล็มใบหญ้าใบไม้ในลักษณะอาการปกติ ต่อจากนั้นก็ล้วงลงไปในย่ามหยิบตุ๊กตาตัวเล็ก ๆคล้ายกุมารทองปล่อยตามออกไปเพื่อดูแลวัวธนู  กุมารนั้นเพศชาย ลักษณะอ้วนท้วนขาวผ่องน่ารักไว้จุกเปลือยกายล่อนจ้อน สังเกตอายุไม่เกิน 3 ขวบ  ชายนิรนามผู้นี้ต้องคอยระมัดระวังอย่างเคร่งครัด มีอยู่คราวหนึ่งมีคนเดินทางผ่านมา เห็นกุมารทองน่ารักก็ตรงเข้าไปทำท่าจะอุ้ม ชายนิรนามร้องห้ามจนเสียงหลงเพราะกุมารทองไม่ยอมเล่นด้วยกลับยกมือขึ้นฉกคล้ายงู  และหากถูกมือกุมารทองฉกเข้าให้แล้วล่ะก็ถึงตายทันที นี่เป็นเหตุผลที่ชายนิรนามต้องคอยดูแลทั้งวัวธนูและกุมารทองอย่างเคร่ง ครัด..............



ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้