ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 14416
ตอบกลับ: 10
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

พระแม่อุมาเทวี 9 ปาง

[คัดลอกลิงก์]
พระแม่อุมาเทวี  9 ปาง  पार्वती ปางต่างๆ ของพระแม่อุมา
เทศกาลนวราตรี (Navarati)

หรือ Dusschra หรือเทศกาลแห่งประทีป 5 ดวง (festival of nine lights) ชาวอินเดียจะมีการประดับตุ๊กตา (kollu) เทพเจ้าจากเทพนิยายและเทพประจำหมู่บ้าน เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองการหว่านเมล็ดพืชของเกษตรกร มีการเฉลิมฉลองกันยาว 9 วัน
วันที่ 1-3 บูชาเทวีทุรคา
วันที่ 4-6 บูชาเทวีลักษมี
วันที่ 7-9 บูชาพระสุรัสวดี


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-9 15:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระแม่อุมาเทวี,ปาราวตี पार्वती 9 ปางนวราตรี

คืนแรก ปางไศลปุตรี ธิดาของหิมพาน ราชาแห่งภูเขา
คืนที่สอง ปางพรหมจาริณี พระแม่เกิดขึ้นเอง ไม่มีพ่อแม่ และอยู่เป็นโสด
คืนที่สาม ปางจันทรฆัณฎา ทรงปราบอสูรด้วยเสียงระฆัง
คืนที่สี่ ปางกูษามาณฑา ทรงปราบอสูร ด้วยอาวุธ (บ้างว่าเป็นปางทุรคา)
คืนที่ห้า ปางสกันทมาตา ทรงเลี้ยงพระขันทกุมาร โอรสผู้เกิดจากพระศิวะ
คืนที่หก ปางกาตยานี ทรงปราบอสูร (บ้างว่าทรงปราบมหิษาสูร)
คืนที่เจ็ด ปางกาลราตรี หรือกาลี ทรงเสวยเลือดอสูร
คืนที่แปด ปางมหาเคารี ทรงเป็นเจ้าแม่แห่งธัญชาติ ทำให้พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์
คืนที่เก้า ปางสิทธิธาตรี ทรงเป็นเจ้าแม่แห่งความสำเร็จ

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-9 15:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คืนแรก ปางไศลปุตรี ธิดาของหิมพาน ราชาแห่งภูเขา
shail แปลว่าภูเขา putri แปลว่าบุตรสาว พระแม่ไชยปุตรีก็คือพระแม่ดุรกาเทวีปางที่หนึ่ง พระองค์คือธิดาของพญาทักษะ พระนามเดิมของพระแม่ไชยปุตรีก่อนที่จะแต่งงานกับพระศิวะ คือพระแม่สตี-บาวานี ที่พระนามของพระองค์ก็คือพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่หญิงม่ายชาวอินเดียจะต้องกระโดดเข้ากองไฟฆ่าตัวตายตามสามีไป ถ้าสามีได้เสียชีวิตลงก่อน แต่เดี๋ยวนี้พิธีสตีนี้ยกเลิกไปแล้ว เพราะว่าค่อนข้างต้องการความตั้งใจอันแรงกล้าถึงจะทำพิธีนี้
   เรื่องมีอยู่ว่า พญาทักษะท่านไม่ค่อยปลื้มพระศิวะที่เป็นลูกเขย เนื่องจากพระศิวะท่านไม่นิยมแต่งกายหรูหราเหมือนเทพองค์อื่น ๆ ท่านนิยมแต่งกายด้วยหางเสือเก่า ๆ แถมร่างกายก็ไม่สะอาดเพราะท่านชอบไปนั่งสมาธิในป่าช้าเป็นส่วนใหญ่ ท่านพ่อตาก็เลยไม่ปลื้ม มีอยู่วันหนึ่ง พญาทักษะก็จัดงานที่เรียกว่า พิธีอัศวเมธ ซึ่งก็คือการปล่อยม้าให้เดินทางไปตามเมืองต่าง ๆ เป็นเวลา 1 ปี ถ้าเมืองไหนให้การต้อนรับม้านั้นก็ถือว่าเป็นมิตรกันต่อไป ถ้าไม่ก็ต้องมีการสู้รบ
     พอครบ 1 ปี ม้าตัวนั้นก็จะถูกบูชายัญแล้วก็จะมีพิธีเฉลิมฉลองกันใหญ่โต บุตรเขยของพญาทักษะได้รับเชิญทุกคนยกเว้นพระศิวะ พระแม่ไชลปุตรีก็โกรธและน้อยใจมาก จึงทำการประท้วงพ่อด้วยการกระโดดเข้ากองไฟเผาตัวเองต่อหน้าพ่อ เท่ากับว่าไม่ยอมรับลูกสาวของตัวเองด้วย พระศิวะก็โกรธมากถึงกับส่งอสูรไปทำลายเมืองของพญาทักษะ หลังจากนั้นพระแม่ดุรกา ไชยปุตรีก็ได้มาเกิดใหม่เป็นธิดาของเจ้าผู้ครองนครหิมาลายานามว่าพระนางปราวาตี - เหมวาตีก็ได้มาแต่งงานกับพระศิวะอีกครั้ง แต่กว่าจะได้แต่งต้องบำเพ็ญตบะอยู่นาน กว่าพระศิวะจะยอมรับพระองค์ เพราะพระศิวะยังไม่สามารถลืมพระแม่สตีได้

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-9 15:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คืนที่สอง ปางพรหมจาริณี พระแม่เกิดขึ้นเอง ไม่มีพ่อแม่ และอยู่เป็นโสด
   ปางที่สองแห่งพระแม่ดุรกานี้ พระแม่ทรงพระนามว่า “ พระแม่บรามาจาริณี “ พระแม่องค์นี้ได้รับพระนามมาจากพระพรหมด้วย คำว่า ‘บรามา’ แปลว่าพระพรหม และยังรวมถึงผู้ประพฤติดี ประพฤติชอบ รวมทั้งผู้ที่ทำการบำเพ็ญตบะด้วย พระแม่บรามาจาริณีนี้ยังทรงถือประคำในมือขวา มือซ้ายทรงถือหม้อน้ำ kumbha พระพักตร์แย้มสรวลตลอดเวลาด้วยความสุข ผู้เปี่ยมด้วยความรักและความซื่อสัตย์ ผู้เต็มไปด้วยความรู้ และความสำเร็จ
   ตำนานกล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งที่พระแม่ได้ถือกำเนิดเป็นพระแม่ปาราวตีเหมวัติบุตรีของท่านท้าวเหมวันและนางเมนกา ครั้งหนึ่งพระแม่ปาราวตีกำลังเล่นกับเพื่อน ๆ อยู่ ปรากฏว่าฤาษีนารททำนายว่า ‘ ฉันขอทายว่าเธอจะต้องแต่งงานกับโยคี หรือ ฤาษีท่านหนึ่งที่ไม่ค่อยนิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้า หรือเครื่องประดับหรูหราใดๆ แต่โยคีท่านนี้ เคยใช้ชีวิตคู่อยู่กับเธอมาแล้วในชาติที่แล้วของเธอ แต่ในชาตินี้ เธอจะต้องทำการบำเพ็ญตบะเสียก่อน เธอถึงจะได้แต่งงานกับท่านอีกครั้งนะ’ซึ่งโยคีหรือ ฤาษีที่ฤาษีนารทได้ทำการทำนายก็คือ พระศิวะ
พระแม่บรามาจาริณีพอได้ฟังดังนั้นก็รีบไปบอกพระมารดา คือพระนางเมณกาว่า ‘ลูกจะไม่ขอแต่งงานกับใครอีกนอกจาก พระศิวะ ถ้าไม่เช่นนั้น พระนางก็จะไม่แต่งงานกับใครอีกเลย จนชั่วชีวิต’ หลังจากนั้นพระแม่บรามาจาริณีก็ได้เดินทางออกไปบำเพ็ญพรตเพื่อที่พระศิวะจะได้ยอมรับพระนางเป็นมเหสีอีกครั้ง พระแม่สตี ที่เคยทำการเผาตัวเองให้ตายไปเนื่องจากแค้นใจพระบิดาที่ไม่ให้เกียรติสามีของพระองค์ พระนางได้กลับมาเกิดอีกครั้งแต่ก็ยังคงรักมั่นต่อพระศิวะไม่เสื่อมคลาย หลังจากนั้นก็ได้แต่งงานกัน ในปางนี้เองที่พระแม่บรามาจาริณีได้ถูกเรียกขานว่า ‘พระแม่อุมา’ จนเป็นพระนามที่ชาวโลกใช้เรียกขานพระองค์มาตลอดจนทุกวันนี้
   เรื่องราวของพระแม่ปาราวตีและการบำเพ็ญตบะของท่านนั้นร้อนแรงเสียจนครั้งหนึ่งได้ทำลายอัตตาหรือความเห็นแก่ตัว ของพระอินทร์ลงอย่างราบคาบจนกระทั่งมีอยู่คราวหนึ่ง เหล่าองค์เทพทั้งหลาย รวมถึงองค์อวตารได้พากันค้อมคำนับแด่พระองค์พร้อมกล่าวว่า “พระแม่คือพลังแห่งศักติอันยิ่งใหญ่ ทั้งพระพรหม พระนารายณ์ และ พระศิวะเอง ล้วนแต่มีฤทธิ์เดชและพลังทั้งหลายล้วนเกิดจากการประสาทพรจากพระนางนั่นเอง

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-9 15:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ปางที่ 3 ของพระแม่ดุรกาเทวี ซึ่งก็คือ พระแม่'จันดรากานดา' เป็นอวตาร
ปางที่สาม ทรงได้รับการบูชาในวันที่ 3 พระองค์มีสัญลักษณ์ให้สังเกตุง่าย ๆ ก็คือ จะทรงมีพระจันทร์เสี้ยวที่หน้าผาก พระองค์ทรงงดงามมาก และ มีเสน่ห์มาก ใครเห็นก็รัก พระฉวีสีทองอร่ามทั้งองค์ พระองค์มีดวงตา 3 ดวง มี 10 พระกร ทรงอาวุธครบทั้ง 10 มือ ที่เหลือทรงมุทรา แห่งการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ และการหยุดสิ่งชั่วร้าย พระนาม chandra+ghanta หมายความถึงความสุข และความรู้สูงสุด แสดงถึงความสงบสุข ความร่มเย็น ดั่งแสงพระจันทร์ พระนางประทับนั่งบนหลังเสือชื่อ โสมนนทิ และ ที่สำคัญพร้อมที่จะออกรบและสู้ศึกเสมอ
      ในปางนี้พระแม่เป็นปางที่แสดงถึงความกล้าหาญสูงสุด ถ้าพระองค์เสด็จไปไหนจะมีเสียงระฆังนำไปก่อนเสมอ เสียงดังกังวานไปทั่ว เสียงระฆังนี้ว่ากันว่าจะดังกังวานและน่าเกรงขามมาก เหล่าอสูร ภูติผีปีศาจถ้าได้ยินก็จะรีบหนีกัน เรียกว่าพระแม่จะทรงเตือนก่อนว่า พระองค์กำลังจะเสด็จแล้ว
คืนที่สี่ ปางกูษามาณฑา ทรงปราบอสูรด้วยอาวุธ

6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-9 15:34 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ปางที่ 4 เป็นปางของพระแม่ที่ทรงพระนามว่า ‘ กุชมานดา’


     พระแม่พระองค์นี้กล่าวกันว่า  ทรงสร้างจักรวาลทั้งปวงโดยการหัวเราะเพียงครั้งเดียว ก็ปรากฏว่ามีไข่ หรือก็คือจักรวาลที่เราได้อาศัยอยู่นั่นเอง
   พระแม่จะประทับอยู่เหนือสุริยจักรวาล และส่งประกายครอบคลุมจักรวาลไปทั้ง 10 ทิศ ทรงมีรัศมีส่องสว่างไปทั่วทั้ง
   10 ทิศ ดั่งพระอาทิตย์ พระแม่ในปางนี้จะมี 8 พระกร ทรงอาวุธทั้งหมด 7 อย่าง ทรงถือประคำในมือขวา ทรงเสือเป็นพาหนะ ในปางนี้พระแม่โปรดที่จะได้รับการถวายผงจันทร์สีแดง



7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-9 15:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คืนที่ห้า ปางสกันทมาตา ทรงเลี้ยงพระขันทกุมาร โอรสผู้เกิดจากพระศิวะ

สำหรับพระแม่ดุรกาปางที่ห้านี้ มีพระนามว่า พระแม่ดุรกา สกันดามาตา นอกเหนือจากพระพิฆเนศแล้ว พระแม่อุมา และพระศิวะ ยังมีพระโอรสอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งก็คือ พระขันธกุมาร หรือ สกันดา นั่นเอง พระขันธกุมารนี้มีหลายพระนามมาก หลัก ๆ ก็มี สกันดา และ ขันธกุมาร สัญลักษณ์ของพระองค์ก็จำง่าย ๆ ก็คือ พระองค์จะทรงรูปลักษณ์ที่อ่อนเยาว์อยู่ตลอดเวลา พร้อมทรงถือพระขรรธ์ไว้ในมือเสมอ พระขันธกุมาร หรือ สกันดานี้ ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าแห่งกองทัพแห่งองค์เทพโดยแท้จริง ซึ่งก็คือเนื่องมาจากท่านได้ไปรบ และมีชัยเหนืออสูรร้ายตนหนึ่ง เมื่อพระองค์ยังเยาว์วัยอยู่ ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งจากทวยเทพให้เป็นหัวหน้ากองทัพแห่งสวรรค์
   พระแม่สกันดามาตานี้เป็นพระแม่ดุรกาปางที่ 5 ถือกำเนิดมาเมื่อครั้งที่พระแม่สตี พระมเหสีของพระศิวะได้ทำการเผาตนเองจนตาย เพราะน้อยใจพระทักษะพระบิดาที่ไม่ให้เกียรติพระศิวะ ปางนี้พระแม่ได้มาเกิดใหม่เป็นพระแม่อุมาปราวตี และได้บำเพ็ญตบะจนแก่กล้า จนพระศิวะท่านเห็นใจในความเพียร จึงยอมรับพระแม่เป็นพระมเหสีอีกครั้งหนึ่ง พระแม่อุมาปารวตีเมื่อได้แต่งงานกับพระศิวะอีกครั้ง ก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายขึ้นมาพระองค์หนึ่งนามว่า “สกันดา” หรือ พระขันธกุมาร
    พระแม่สกันดามาตานี้เป็นพระแม่ที่เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนแห่งไฟ พระแม่จะปรากฏกายโดยมีพระขันธกุมารนั่งอยู่บนตักเสมอ พระแม่สกันดามาตานี้จะมีดวงตาถึง 3 ดวงด้วยกัน
   และมีพระกร สี่พระกร พระแม่สกันดามาตาจะมีพระฉวีสีขาว และประทับนั่งบนดอกบัว ทรงสิงโตเป็นพาหนะ พระแม่จะประทานพรด้านการมีบุตรที่ดีและการมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น



8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-9 15:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คืนที่หก ปางกาตยานี ทรงปราบมหิษาสูร(พระแม่ทุรคา)


ปางที่หก ของพระแม่ดุรกาเทวีก็คือ พระแม่กาฏญาญาณี พระแม่กาฏญาญาณีนี้ ถือกำเนิดมาจากตำนานที่ว่า ครั้งหนึ่งมีบุตรของพระเจ้ากาฏ มีนามว่า กาฏญาญัณ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากตระกูล กาฏญา กาฏญาญัณนี้ได้บำเพ็ญตบะอย่างคร่ำเคร่งเพื่อต้องการที่จะขอพรให้ได้นางฟ้า นางสวรรค์ หรือมหาเทวี มาเป็นบุตรสาวของตน ด้วยเหตุนี้ พระแม่กาฏญาญาณีจึงได้ถือกำเนิดมาเป็นบุตรสาวของท่านกาฏญา และได้พระนามที่เรียกขานกันว่า พระนางกาฏญาญาณี พระแม่กาฏญาญาณีนี้มีดวงตาถึง 3 ดวง มีพระกรถึง 8 พระกร และทรงอาวุธครบมือทั้งเจ็ดพร้อมรบและเป็นอาวุธร้ายแรงที่ใช้ทำสงคราม มือประทานพร และประทานอภัย ทรงพาหนะเป็นราชสีห์เจ้าป่าชื่อ สีหะพานาราช พระแม่ปางนี้เสด็จไปที่ไหน อสูรร้ายก็จะพากันกลัวเกรงมาก
พระแม่กาฏญาญาณีนี้เชื่อกันว่าสามารถช่วยประทานพรให้คู่รักที่ไม่ได้แต่งงานกันง่าย ๆ ได้สมหวังในความรักได้ ด้วยการสวดขอพรจากพระแม่กาฏญาญาณี มีตำนานเล่าว่า มีมานพหนุ่มที่ชื่อว่า วริณดาวานา ได้ทำการขอพรจากพระแม่กาฏญาญาณีทุกๆวันหลังจากได้อาบน้ำชำระร่างกายที่แม่น้ำยุมนา เพื่อให้ได้แต่งงานกับคนรัก
   “โอ้ พระแม่ผู้ศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งแห่งจักรวาล พระแม่ผู้ทรงพลังศักดิ์สิทธิ์สูงสุด
   ผู้ควบคุมความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งในโลกนี้
   โปรดกรุณาประทานพรให้ลูกได้แต่งงานกับคนที่ลูกปรารถนาด้วยเทอญ ……”
   และก็ประสบความสำเร็จ เชื่อกันว่า องค์ของพระแม่ไม่ว่าจะถูกสร้างจากดินแห่งแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ หรือ ทำด้วยโลหะ หรือ เพชรนิลจินดาใดๆ พระแม่ก็จะประทานพรให้ทุกคนที่สวดขอพรจากใจ

9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-9 15:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย metha เมื่อ 2014-5-9 16:11

คืนที่เจ็ด ปางกาลราตรีหรือกาลี ทรงเสวยเลือดอสูร

ปางที่เจ็ดคือปางที่เรียกขานพระนามกันว่า กาลราตรี สมพระนามกล่าวคือ พระฉวีของพระแม่ในปางนี้จะสีดำสนิทดั่งความมืดแห่งสนธยากาล พระเกศายาวสยาย กระเซิงไม่เป็นระเบียบ สร้อยคอของพระองค์จะสว่างเป็นสีเงิน เปรียบได้ดั่งสีแห่งสายฟ้าฟาด พระแม่จะมีดวงตาถึงสามดวงด้วยกัน และดวงตาทั้งสามนี้จะกลมมากเปรียบได้ดั่งจักรวาลที่เราอาศัยอยู่ ดวงตาของพระแม่จะสุกสว่างมาก ทรงลาเป็นพาหนะ เหยียบพระศิวะ เมื่อเวลาพระแม่หายใจก็จะมีเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาจากทางจมูกตลอดเวลา พระแม่จะทรงยืนอยู่บนซากศพ และทรงถือดาบที่คมมากๆอยู่ที่มือขวา แต่มือซ้ายด้านล่างพระองค์ก็จะอยู่ในท่าประทานพรคือไม่ได้ฆ่า ทำลายล้างอสูรร้ายและคนชั่วอย่างเดียว พระองค์ยังทรงประทานพรด้วยสำหรับผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ส่วนมือซ้ายด้านบนจะทรงถือคบเพลิง เพราะท่านเสด็จเฉพาะกลางคืน ส่วนมือซ้ายด้านล่างลงไปอีกก็ทำท่าที่สื่อถึงสาวกของพระองค์ว่า “อย่ากลัว” เพราะพระแม่จะทรงคุ้มครองสาวกของท่านเสมอๆ
พระแม่ปางนี้ถือเป็นสัญลักษณ์มหามงคล ชาวอินเดียบางครั้งจึงขนานนามพระองค์ว่า “ศุภะมกาลี” ทรงเป็นผู้ทำลายความมืด
   และความโง่เขลา พระแม่กาลีเป็นเทวีปราบมารที่ร้ายแรงมาก เรียกว่า เป็นปางที่ทรงพลังอำนาจมากที่สุดในการทำลายอสูร และความชั่วทั้วปวง ถือกำเนิดออกมาจากกลางหน้าผากของพระแม่ดุรกาในยามพิโรธเหล่าปิศาจอสูรที่สุด เรียกว่าถ้าพระแม่กาลีเสด็จก็ถือว่าเป็นการสิ้นสุดของการต่อสู้ เพราะไม่มีใครสามารถต้านทานพลังแห่งพระแม่ได้

10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-9 16:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คืนที่แปด ปางมหาเคารี ทรงเป็นเจ้าแม่แห่งธัญชาติ ทำให้พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์



ปางอวตารที่แปดของพระแม่ซึ่งมีพระนามว่า มหาโกรี ในปางนี้พระแม่จะปรากฏพระองค์ในลักษณะที่มีสี่พระกรเสมอ พระฉวีของพระองค์จะเป็นสีผิวที่ขาวผ่อง และงดงามมากเมื่อเทียบกับทุกๆปาง พระแม่จะฉายแววแห่งความรัก และความสงบออกมาจากปางนี้ ซึ่งต่างกับปางอื่นๆ มีแต่ปางที่แปดนี้เองที่ทรงดูสงบเยือกเย็น พระแม่ในปางที่แปดนี้จะสวมส่าหรีสีขาว หรือเขียวเสมอๆ พระองค์จะถือกลองและตรีศูล พระแม่ในปางที่แปดนี้จะทรงวัวเป็นพาหนะ

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้