เมื่อรวมทั้งแปดนามเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือท่านเป็น'ผู้ทรงศีล'ผู้ที่มุ่งหวังตั้งใจ
บำเพ็ญเพียรตบะ เพื่อเสริมสร้างบารมี มุ่งหวังในผลสำเร็จ ถึงกับยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน
หมด ในบรรดากลุ่มพระฤษีที่มีชื่อแยกออกไป ก็ยังมีความหมายต่างๆกัน เช่น
๑.พระสิทธา แปลว่า พระฤาคี ประเภทมีคุณธรรมวิเศษ มีหลักฐานมั่นคง ที่สถิตสถานมีวิมานอยู่บน
เทือก เขาและถ้ำ ตามแต่ว่าจะเห็นสมควรในความสะดวกสบายอยู่ในระหว่างพระอาทิตย์ลงมาสู่พื้น
แห่งโลกมนุษย์โดย กำหนด ๒.พระโยคี แปลว่า เป็นผู้ที่มีความสำเร็จ หรือผู้ที่กำลังศึกษาสังโยค ในด้านหลักวิชาโยคกรรม มักจะ
เที่ยว ทรมานตนอยู่ตามเทือกเขาและป่าตามความเหมาะสมในความสันโดษ ที่จะมีและเท่าที่จะเห็นว่า
สมควร ๓.พระมุนี แปลว่า ในกลุ่มพราหมณ์ที่มีความพยายาม กระทำกิจพิธีบำเพ็ญด้วยความพากเพียร มุ
มานะ พยายามจนกระทั่งพบความสำเร็จ จึงกลายเป็นผู้ที่มีปัญญาและมีความรู้ความสามารถอยู่ในระดับสูง ๔.พระดาบส แปลว่า ผู้บำเพ็ญตนสร้างบารมี มุ่งมั่นในตบะธรรมที่คิดว่าจะเผาผลาญกองกิเลสให้หมด
สิ้นไป ใช้ความพยายามพากเพียร พยายามมุ่งแต่ในทางทรมานร่างกายและจิตใจ เพื่อมุ่งหวังในโล
กุตตรสุขที่เป็นผล แห่งบารมี ๕.ชฎิล แปลว่า นักพรตจำพวกหนึ่ง ที่ชอบเกล้ามุ่นมวยผมเป็นแบบชฎาเอาไว้ หนวดเครารกรุงรังราว
กับคน บ้า ทั้งผ้าที่นุ่งห่มก็รุ่มร่าม ไม่ชอบในการรักสวยรักงาม ทำตนเป็นพราหมณ์รอนแรมอยู่ตามป่า
ดงพงไพร ๖.นักสิทธิ์ แปลว่า เป็นผู้ทรงศีลที่กึ่งมนุษย์กึ่งเทพ หรือเทวดา พวกนี้มักจะรักสัจจะวาจา มีความเที่ยง
ธรรม เป็นที่ตั้งชอบช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอๆ มีที่อยู่อาศัยอยู่ในระหว่างกลางที่ว่าง
เปล่าและบริสุทธิ์ วัดระยะตั้งแต่ดวงอาทิตย์ลงมาจนกระทั่งถึงโลกมนุษย์ พวกนี้มีอยู่กันเป็นจำนวน
มากมายหลายแสนองค์เที่ยว ตระเวนไปในที่ต่างๆ เพื่อที่จะสอดส่งหาทางลงมาช่วยเหลือมวลมนุษย์ ๗.นักพรต แปลว่า เป็นผู้ที่ปฏิบัติดีเคร่งครัดในการปฏิบัติ ทรงศีลอันประเสริฐมิยอมให้ศีลบกพร่องแต่
ประการ ใด ตั้งใจบำเพ็ญพรต บำเพ็ญตบะ เพื่อที่จะเสริมสร้างบารมีให้มากๆ อยู่ประจำ ชอบสถิตย์อยู่
ตามป่าเขาลำเนา ไพร และตามถ้ำหน้าผา มักไม่ยอมให้ผู้ใดได้พบเห็น มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย
แต่มีอิทธิฤทธิ์มาก ๘.พราหมณ์ แปลว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับฤษีเหมือนกัน แต่เป็นด้านการปฏิบัติบูชาบำเพ็ญตบะสร้างบารมี
อย่าง มุ่งมั่นเป็นผู้สละแล้ว สละเรื่องของโลกภายนอกได้หมดแล้วมีความมุ่งมั่นว่าจะต้องออกไป
ปฏิบัติการช่วยเหลือ มนุษย์และสรรพสัตว์โดยทั่วไป พราหมณ์มักจะชุมนุมรวมกลุ่มกันเป็นหมู่คณะ
ตามเทวสถานต่างๆ ด้วยความพร้อม เพรียงและสามัคคีกันอย่างดี เมื่อมีผู้ใดเชิญให้ช่วยกระทำพิธี
ให้ไม่ว่าจะเป็นพิธีอะไรที่จะต้องเกี่ยวกับพระฤษีหรือ องค์เ้ทพต่างๆพราหมณ์ก็ออกไปทำพิธีให้ทันที
ไม่เรียกร้องค่าป่วยการหรือค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น ไม่เห็นแก่ลาภ ไม่เห็นกับประโยชน์ส่วนตัว (นั่น
เป็พราหมณ์สมัยก่อน สมัยนี้ก็คงจะต้องมีค่าใช้จ่ายมากน้อยตามแต่จะเห็นสมควร) สำหรับพราหมณ์
พวกนี้ก็มักมีกันอยู่เป็นจำนวนมาก ชอบฝักใฝ่ในธรรม โปรดสัตว์ ช่วยเหลือมนุษย์ด้วยความเต็มใจ
เมื่อเสร็จสิ้นจากภารกิจแล้วก็จะเข้าจำศีลภาวนาต่อไปอย่างไม่มีคำว่าพอ
|