ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1967
ตอบกลับ: 0
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

“ปาฏิหาริย์แห่งพระจักษุธาตุ”

[คัดลอกลิงก์]
[url=][/url]
[url=][/url]






“ปาฏิหาริย์แห่งพระจักษุธาตุ”พระบรมสารีริกธาตุนั้นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่พระพุทธศาสนามาหลายพันปี มักจะบรรจุในยอดเจดีย์ ส่วนยอดขององค์พระพุทธรูป เราจะเห็นพระบรมสารีริกธาตุมากมายในสากลจักรวาลและในโลกมนุษย์ มีหลากหลายสีสันและรูปทรง แสดงให้เห็นถึงการนิพพานแห่งพระศาสดาและพระสาวก พระอรหันต์เจ้า พระปัจเจก ฯลฯ                                                                
  กล่าวกันว่าเมื่อใดเสด็จมาคราวละมากๆ ในโลกมนุษย์ ณ ถิ่นที่ใด ย่อมหมายถึงความสุขสงบร่มเย็น และความรุ่งเรืองแก่ดินแดนนั้นๆ การเสด็จมาโดยปาฏิหาริย์ สำหรับผู้เขียนนั้นยังไม่เคยเห็นครั้งใดเท่านี้มาก่อน โดยเฉพาะพระจักษุธาตุที่มิเคยปรากฏมาช้านาน หลายพันปีแล้วเสด็จสู่สถูป ณ ประเทศเนปาล ดินแดนแห่งที่ประสูติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และครั้งนี้ก็เสด็จ ณ วัดสัมพันธวงศ์ นำความปลาบปลื้มใจแก่สาธุชนถ้วนหน้า และยังมีพระธาตุต่างๆ เสด็จมาไม่ขาดสายจำนวนมหาศาล
ผู้เขียนเองได้ไปนั่งกราบที่กุฏิพระอาจารย์ประจักษ์ และพุทธศาสนิกชนอีกมากมายที่เห็นมาปรากฏ โดยบริเวณรอบกายอย่างอัศจรรย์ จึงขอกล่าวถึงความเป็นมาของพระบรมสารีริกธาตุนั้นหมายถึง กระดูกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่า “พระธาตุและพระบรมสารีริกธาตุ” นี้ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Relic” ซึ่งตรงกับภาษาละตินว่า “Reliquiae” แปลว่า ส่วนที่เหลืออยู่ (Remains)
นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระนามว่า “ทีปังกร” มาจนถึงพระพุทธเจ้านามว่า “โคดม” การเก็บกระดูก (อัฐิ หรือเป็นกระดูกของคนบริสุทธิ์ ก็นิยมเรียกว่าพระธาตุบ้าง พระสารีริกธาตุบ้าง พระบรมสารีริกธาตุบ้าง) ไว้บูชาสักการะ ปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป ข้อความในคัมภีร์กล่าวถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานไปแล้ว 4 อย่าง คือ ธาตุเจดีย์ คือพระบรมสารีริกธาตุและเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ บริโภคเจดีย์ คือ สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ธรรมเจดีย์ คือ จารึกข้อพระธรรม และ อุเทสิกเจดีย์ คือ พระพุทธรูป ธรรมจักร รอยพระพุทธบาท พระแท่นวัชรอาสน์ หรือ สัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า
สิ่งที่ควรบูชาสักการะสูงสุดของชาวพุทธคือ เจดีย์ 4 ประเภทดังกล่าว โดยเฉพาะธาตุเจดีย์นั้น มีความสำคัญอย่างยิ่ง การหายไปของพระธาตุ หรือพระบรมสารีริกธาตุเป็นเครื่องแสดงถึงความเสื่อมของศาสนาอย่างหนึ่งเรียกว่า “ธาตุอันตรธาน” พระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุนั้นหายไปจากโลกนี้ เป็นเพียงการหายไปจากที่หนึ่งที่คนไม่นิยมปฏิบัติธรรมแล้วไปปรากฏในอีกที่หนึ่งที่คนนิยมปฏิบัติธรรม หรืออาจไม่ปรากฏในที่ไหนเลย จนกว่าจะมีคนปฏิบัติธรรมจึงจะปรากฏ
สำหรับพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนพระจักษุธาตุนั้น ดังเดิมพระอาจารย์ประจักษ์ ภูริปัญโญ วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ได้เชิญพระบรมสารีริกธาตุสัณฐานเมล็ดข้าวสารหัก มาบูชาเพียงอย่างเดียว โดยที่พระอาจารย์ประจักษ์ท่านก็ได้บูชาไว้ประมาณปีกว่าๆ ซึ่งท่านก็ได้เพ่งพิศพิจารณาเฝ้าดูพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในผอบนั้นอยู่ทุกวันๆ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
          กระทั่งในวันศุกร์ที่ 16 มกราคม 2552 หลังจากที่พระอาจารย์ประจักษ์ลุกจากจำวัดในตอนใกล้สว่าง ท่านก็ได้ตรวจตราไปยังที่ประดิษฐานพระสารีริกธาตุ แต่วันนี้กลับไม่เป็นเหมือนอย่างเคย พระบรมสารีริกธาตุที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่มีแสงเจิดจ้าระยิบระยับเกิดขึ้น ทำให้ท่านรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
ปรากฏว่ามีพระบรมสารีริกธาตุสัณฐานเพชรใสวาบวับ น้ำงามบริสุทธิ์ราวกับถูกเจียระไนมาเป็นอย่างดี เสด็จมาอยู่ใจกลางของผอบ ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สัณฐานเมล็ดข้าวสารหักได้อย่างอัศจรรย์ ทั้งๆ ที่ผอบนั้นถูกปิดผนึกไว้เป็นอย่างดีถึง 2 ชั้น และไม่มีผู้ใดแตะต้องเลย ซึ่งเป็นความอัศจรรย์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นแก่ท่านมาก่อน จากนั้นท่านจึงกราบและจุดธูปเทียนสักการะองค์พระบรมสารีริกธาตุด้วยความปีติสุขเป็นอย่างมาก ท่านได้อธิษฐานจิตถามต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
“พระบรมสารีริกธาตุได้เสด็จมาประทับ ณ ผอบใบนี้นั้น เป็นพระสรีระส่วนใดของพระพุทธองค์ ขอพระพุทธองค์ทรงตอบมาในนิมิตหรือความฝันอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยเถิด”
จากนั้นพระอาจารย์ประจักษ์จึงนั่งภาวนาต่อไป และสิ่งที่ปรากฏให้ได้รับรู้ในจิตก็ได้บ่งบอกว่า “พระบรมสารีริกธาตุที่ได้เสด็จมาประทับนั้น เป็นส่วนของพระจักษุ หรือนัยน์ตานั่นเอง ซึ่งเป็นพระจักษุทั้งซ้ายและขวา รวมพุทธานุภาพเป็นหนึ่งเดียว”
        ด้วยความปลื้มปีติที่เปี่ยมล้น ท่านจึงอดไม่ได้ที่จะบอกกล่าวถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์แก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหา รวมทั้งพระภิกษุที่นับถือ แต่แล้วบางคนกลับสงสัยว่าพระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จนั้นเป็นพระจักษุ หรือนัยน์ตาไปได้อย่างไร และเมื่อมีคนสงสัยกันมากๆ เข้า พระอาจารย์ประจักษ์เกรงว่ากลายเป็นการปรามาส และเกิดเป็นปาบกรรมขึ้นได้ ทว่าท่านก็มิอาจที่จะห้ามความคิดและความสังสัยของเหล่ามนุษย์ทั้งหลายได้
        กระทั่งในเดือนกันยายนนี้เอง มีลูกศิษย์ลูกหาที่นับถือท่าน ถ่ายภาพพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระจักษุธาตุเอาไว้ ปรากฏว่าภาพที่ถ่ายมองเห็นเป็น “ดวงตา” หรือ “พระจักษุ” อย่างชัดเจนและอัศจรรย์เกินกว่าที่จะบรรยาย ลองดูได้ ณ กุฏิพระอาจารย์ประจักษ์ ภูริปัญโญ ตึกมงคลวิทยา ชั้น 3 วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร
สำหรับความอัศจรรย์ของพระบรมสารีริกธาตุ (ส่วนพระจักษุธาตุ) นั้นยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะหลังจากที่องค์ท่านเสด็จมาปรากฏได้ไม่นาน พระบรมสารีริกธาตุส่วนต่างๆ ก็เสด็จหลั่งไหลตามกันมาอย่างไม่ขาดสาย นับวันก็มีแต่จะมากขึ้น ทำให้สถานที่ประดิษฐานในทุกวันนี้มองดูคับแคบลงไปถนัดตา
ทางวัดป่าศรีคุณารามจึงมีแนวคิดที่จะดำเนินการก่อสร้างพระมหาเจดีย์มงคลพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อที่จะเชิญองค์พระจักษุธาตุและพระอรหันต์ธาตุไปประดิษฐานยังสถานที่ที่เหมาะสม ควรค่าแก่การสักการะบูชา เพื่อจะได้เป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบไป
ด้วยอานิสงส์ของท่านทั้งหลาย เพียงอธิษฐานจิต ท่านอาจจะได้พบกับเหตุการณ์มหัศจรรย์ อันเป็นมงคลแก่ชีวิตที่ได้เห็นพระธาตุเสด็จมาให้เห็น เบื้องหน้ารอบกาย เหมือนอย่างเช่นผู้เขียน และพุทธศาสนิกชนได้ประสบมาแล้ว เป็นเครื่องยืนยันว่าผู้ประพฤติกรรมในดินแดนนี้ยังมิสูญสิ้น และพระศาสนาจะยืนยาวด้วยความเจริญรุ่งเรืองชั่วกัลป์  
(เขียนและเรียบเรียง โดย ป๊อก เชลซี ถวายเป็นพุทธบูชา)
เขียนและเรียบเรียง โดย ป๊อก เชลซี
ถวายเป็นพุทธบูชา


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้