ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 17918
ตอบกลับ: 14
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ข้าวสารดำ มรดกขลัง ของพระนางสิงขรเทวี

[คัดลอกลิงก์]
ข้าวสารดำ


เป็นวัตถุโบราณของ เมืองราด ซึ่งเป็นเมืองสำคัญมีชื่อในประวัติศาสตร์ของชาติไทยสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ประวัติศาสตร์กล่าวถึง พ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราด และ พ่อขุนบางกลางท่าว เจ้าเมืองบางยาง ร่วมพลังกันขับไล่ขอม ซึ่งเป็นใหญ่อยู่ในดินแดนแถบเหนือของสยามประเทศออกจากดินแดนสุโขทัย และสถาปนากรุงสุโขทัยขึ้นเป็นราชธานี

เมืองราด ของพ่อขุนผาเมือง ปัจจุบันคือ ตำบลบ้านหวาย อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์
(หรือเดิมคือบ้านห้วยโป่ง ตำบลบ้านโสก) ส่วนเมืองบางยางของพ่อขุนบางกลางท่าวนั้น นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า ตั้งอยู่ ณ บริเวณที่เป็นอำเภอนครไทยในปัจจุบัน พ่อขุนผาเมืองและพ่อขุนบางกลางท่าว เป็นทั้งญาติและสหายกัน ทั้งสองพระองค์มีความเก่งกล้าสามารถ มีไพร่พลจำนวนมากเป็นกองทัพที่เข้มแข็ง และต่างทรงมุ่งมั่นที่จะต่อต้านอำนาจปกครองของขอมเช่นเดียวกัน เมื่อทั้งสองพระองค์ทำสงครามรบพุ่งขับไล่ขอมสบาดโขลญลำพงออกจากดินแดนสุโขทัยได้แล้ว ได้ร่วมกันสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชอาณาจักร และพ่อขุนผาเมืองทรงสนับสนุนให้พ่อขุนบางกลางท่าว ขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงสุโขทัย ทรงพระนาม พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และทรงยกพระขนิษฐาคือนางเสืองให้เป็นมเหสีของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ส่วนพ่อขุนผาเมืองเสด็จกลับไปครองเมืองราดตามเดิม ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกล่าวว่า เหตุที่พ่อขุนผาเมืองไม่สถาปนาพระองค์เองขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ของสุโขทัย เนื่องจากพระองค์มีพระมเหสีเป็นธิดาของกษัตริย์ขอม คือ พระนางสิงขรมหาเทวี พระธิดาของพระเจ้า ชัยวรมันที่ ๗ พระองค์ประสงค์จะให้ราชอาณาจักรสุโขทัยสืบเชื้อสายเลือดไทยแท้จริง

สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่คนทั่วไปสนใจอีกอย่าง ก็คือ ข้าวสารดำ  ถือกันว่าเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์  ถูกพบที่พื้นดินใกล้เจดีย์พระนางสิงขรมหาเทวี บริเวณวัดโพนชัยหมู่ที่ ๑ บ้านห้วยโป่ง ตำบลบ้านหวาย อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์   ข้าวสารดำนี้กระจัดกระจายเกลื่อนกลาดอยู่ในพื้นดิน เมื่อฝนตกหนักชะล้างผิวหน้าดินออก ข้าวสารดำก็จะโผล่ขึ้นมา ลักษณะคล
้ายเมล็ดข้าวสารแต่มีสีดำ ถ้าใช้มือบีบแรงๆก็จะแตกออกเป็นผงสีดำคล้ายผงถ่าน
ตามหลักวิชาทางธรณีวิทยากล่าวว่า ข้าวสารดำเป็นฟอสซิลชนิดหนึ่ง มีอายุราวสองร้อยล้านปีขึ้นไป มักจะอยู่ในหินปูน เป็นของหายาก ซึ่งโดยทั่วไปฟอสซิลจะต้องมีลักษณะแข็ง ส่วนข้าวสารดำนี้ใช้มือบีบก็จะแหลกเป็นผง
ความสำคัญของข้าวสารดำนี้ มีตำนานเล่าต่อๆกันมาเป็น ๒ นัย

นัยแรก กล่าวว่า ข้าวสารดำนี้เป็นข้าวสารในท้องพระคลังของเมืองราดเก็บไว้บริโภค เมื่อพระนางสิงขรมหาเทวี ซึ่งเป็นธิดากษัตริย์ขอม และเป็นมเหสีของพ่อขุนผาเมือง เผาเมืองราดไฟได้ไหม้คลังเก็บข้าวสารจนไหม้ดำเกรียม หล่นกระจัดกระจาย (เนื่องจากไม่พอใจที่พ่อขุนผาเมืองยกทัพไปขับไล่พวกขอม)  ต่อมาจึงถูกดินถมจมอยู่ จึงมีข้าวสารดำกระจายอยู่ทั่วไป หาได้ไม่ยาก

นับที่สองกล่าวว่า ข้าวสารดำนี้มีมาอยู่แต่เดิมแล้ว ในสมัยสุโขทัยพ่อขุนผาเมืองกษัตริย์นักรบเจ้าเมืองราดทรงนับถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เมื่อจะออกศึกสงครามครั้งใด ก็จะทรงนำข้าวสารดำมาปลุกเสก โปรยหว่านเป็นสิริมงคลแก่กองทัพ และใช้เป็นวัตถุของขลังในการรบ

ประวัติศาสตร์หล่มสักมีหนังสือหรือบทความน้อยมาก จนแทบไม่มี เรื่องบางเรื่องจึงเป็นข้อสันนิษฐาน การบอกต่อกันมาบนพื้นฐานความเชื่อของคนส่วนใหญ่ ถ้าสกัดข้อมูลและเลือกใช้ก็คงจะเป็นประโยชน์กับคนรุ่นหลังๆ ได้ เรื่องของเราก็จะไม่จางหายไปจากความทรงจำ

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-25 18:34 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นัยแรก กล่าวว่า ข้าวสารดำนี้เป็นข้าวสารในท้องพระคลังของเมืองราดเก็บไว้บริโภค เมื่อพระนางสิงขรมหาเทวี ซึ่งเป็นธิดากษัตริย์ขอม และเป็นมเหสีของพ่อขุนผาเมือง เผาเมืองราดไฟได้ไหม้คลังเก็บข้าวสารจนไหม้ดำเกรียม หล่นกระจัดกระจาย (เนื่องจากไม่พอใจที่พ่อขุนผาเมืองยกทัพไปขับไล่พวกขอม)  ต่อมาจึงถูกดินถมจมอยู่ จึงมีข้าวสารดำกระจายอยู่ทั่วไป หาได้ไม่ยาก



ประเด็นนี้ ตรงกับที่หลวงปู่ลมัย เคยเล่าให้ฟัง
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-25 18:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่ลมัยบอกว่า.. เป็นของดีทีผ่านการเผา

ด้วย กสินไฟ ที่พวยพุ่งผ่าน ตรีศูลธาตุเหล็กไหล

อาวุธคู่กายของพระนางสิงขรเทวี

ที่พระเจ้าศรีชัยวรมันทรงสร้างให้พระนาง

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-25 18:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ข้าวสารหิน

เป็นของวิเศษ กายสิทธิ์ มีอานุภาพในเรื่องโชคลาภ เสน่ห์เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ปลอดภัยจากภัยนานาประการ ไม่มีสิ่งใดๆมาทำร้ายคุณวิเศษต่างๆได้


เรียกได้ว่าของ ทนศักดิ์ มีเทพารักษ์คอยรักษาอยู่ บางคนมีความเชื่อและนับถือด้วยว่าเป็นพระธาตุ เรียกว่า พระธาตุข้าวสารหิน



        ตามตำนานเชื่อกันว่า เป็นข้าวสารที่พระพุทธองค์ฉันเสร็จแล้วทำการอธิษฐานเพื่อให้เป็นของมงคลในแผ่นดิน คณาจารย์ในสมัยโบราณกล่าวไว้ว่า เกิดจากฤทธิ์อำนาจของพระแม่ธรณี



       บางเกจิอาจารย์กล่าวไว้ในคัมภีร์ต่างๆ ว่า เป็นข้าวอธิษฐานของฤาษี สามารถนำมาอาราธำน้ำพุทธมนต์ได้ อธิษฐานสิ่งใดก็สมปรารถนา



       บางตำนานเก่าและใหม่ยังกล่าวไว้อีกว่า ข้าวสารหินเป็นของวิเศษสุด มีฤทธิ์ตามธรรมชาติ ผู้วิเศษผู้มีฤทธิ์กำหนดขึ้นมาทั้งสิ้น และยังมีความเชื่อกันอีกว่า พระแม่ธรณีท่านอธิษฐานไว้ให้ข้าวสารหินเป็นของดี ไม่เน่าเปื่อย คงทนถาวร



     เป็นสิ่งที่มีพลังอำนาจจากจักรวาลซึมแทรกอยู่ เป็นที่รวมพลังของ ดิน น้ำ ลม ไฟ จึงเกิดเป็นพลังเร้นลับ มีอำนาจบันดาลให้ผู้ที่มีไว้ครอบครองจะอยู่ดีกินดี รวมทั้งปกป้องผองภัยอันตรายต่างๆ






ที่มา http://akefuture.com
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-9-2 21:31

“ข้าวสารดำ”



ปริศนาที่รอวันพิสูจน์ หากพูดถึงข้าวกับคนไทยแล้ว ก็ต้องยอมรับเป็นอาหารหลักที่อยู่เคียงคู่คนไทยมาตั้งแต่บรรพกาล ข้าว ไม่ว่าจะเป็น ข้าวเหนียว ข้าวเจ้า ล้วนนำมาทำเป็นอาหารได้สารพัดชนิด ทำเป็นขนมได้อีกสารพัดอย่าง นอกจากนี้ข้าวยังสามารถที่จะนำไปทำเป็นเครื่องดื่มมึนเมา เอาไว้ดื่มด่ำตามสไตล์พี่ไทยไม่ว่าวันไหนๆ พี่ไทยก็เมาได้อีกด้วย ข้าว นอกจากจะเป็นอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ข้าวยังก่อให้เปิดวัฒนธรรมประเพณีที่เกี่ยวกับข้าวในเมืองไทยอีกหลายอย่าง อาทิ ประเพณีทำขวัญข้าว การลงแขกเกี่ยวข้าว เพลงเกี่ยวข้าว ซึ่งถ้าพูดถึงข้าวกับวิถีแห่งอาหารในเมืองไทย ยังไงๆก็ถือเป็นของคู่กัน ที่เรียกได้ว่าเมื่อเกิดมาในแผ่นดินไทยแล้ว คงไม่มีใครไม่รู้จักข้าว และไม่เคยกินอาหารที่ทำจากข้าว และด้วยความที่เมืองไทยมีการสั่งสมภูมิปัญญาเกี่ยวกับข้าวมาช้านาน ทำให้เมืองไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความชำนาญในเรื่องข้าว โดยเมืองไทยมีข้าวพันธุ์ ดีๆ ที่ถือว่าเป็นระดับต้นๆของโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ ปทุมธานี 1 สุพรรณบุรี 1 กข.15 ขาวดอกมะลิ และอีกมากมายแต่ถ้าหากพูด


ถึง “ข้าวสารดำ” หลายคนอาจจะมึนงงในหัวสมองว่า ข้าวสารดำ นี่มันเป็นข้าวพันธุ์ไหน คล้ายข้าวเหนียวดำหรือเปล่า และเมื่อรับประทานจะมีรสชาติเป็นอย่างไร ใครที่คิดเช่นนั้น คำตอบสุดท้ายที่ได้ก็คือ ผิดถนัด!!! เพราะข้าวสารดำนั้น เป็นวัตถุประหลาดชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตา ขนาด เหมือนข้าวสารทั่วไปไม่มีผิด เพียงแต่ว่าสีของข้าวสารดำนั้น“ดำสนิททั่วทั้งเม็ด”และเมื่อทำการบี้เม็ดข้าวสารดำด้วยมือเบาๆ ข้าวสารดำก็จะแตกละเอียดเป็นผงคล้ายถ่าน ซึ่งนอกจากจะรับประทานไม่ได้แล้วที่มาที่ไปของข้าวสารดำก็ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ ???ข้าวสารดำกับตำนานเมืองราดปัจจุบันในเมืองไทยมีการพบข้าวสารดำเพียงที่เดียว คือที่ ตำบลบ้านหวาย อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยข้าวสารดำจะอยู่กระจัดกระจายกันไป แต่จะพบมากเป็นพิเศษบริเวณ ใกล้ๆกับเจดีย์พระนางสิงขร ที่อยู่ในบริเวณวัดโพนชัย และในทุกๆฤดูฝนของทุกปี ที่พอฝนตกลงมาชะล้างหน้าดิน ข้าวสารดำก็จะลอยขึ้นมาบนพื้นดิน ให้ชาวบ้านที่เลื่อมใสศรัทธามาเก็บเอาไว้บูชา โดยชาวบ้านแถวบริเวณที่พบข้าวสารดำและชาวเพชรบูรณ์ส่วนหนึ่ง ต่างก็มีความเชื่อกันว่าข้าวสารดำมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับพ่อขุนผาเมือง พระนางสิงขร และตำนานของเมืองราดที่เคยรุ่งเรืองในอดีต สำหรับเรื่องนี้ตามตำนานจากหนังสือ “พ่อขุนผาเมือง”


ที่เขียนโดย “ดิเรก ถึงฝั่ง” ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้กล่าวไว้พอสรุปได้ว่า ...หากจะพูดถึงเรื่องตำนานความเชื่อเกี่ยวกับข้าวสารดำในจังหวัดเพชรบูรณ์ ก็คงจะต้องเท้าความไปถึงในสมัยสร้างเมืองสุโขทัย โดย“พ่อขุนผาเมือง”ที่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมรบเพื่อสถาปนากรุงสุโขทัย นับเป็นนักรบที่เข้มแข็ง มีความสามารถมาก พระองค์นั้นมีปณิธานว่าจะต้องขับไล่ขอมที่ปกครองคนไทยอยู่ที่กรุงสุโขทัยให้ได้เมื่อพ่อขุนผาเมืองสร้างกองทัพเข้มแข็ง ก็ได้ยกทัพไปตีนครเดิดซึ่งเป็นเมืองสำคัญของขอม(ปัจจุบันคือ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์) จนแตกพ่าย จากนั้นพระองค์ก็ได้ไปตั้งเมือง “ลาด” ขึ้นในบริเวณไม่ไกลกัน (ปัจจุบันสันนิษฐานว่าอยู่ในพื้นที่ของ ต.บ้านหวาย อ.หล่มสัก ส่วนเหตุผลที่ตั้งเมืองลาดก็มาจากบริเวณนั้นเป็นที่ลาดน้ำไม่ท่วมถึง ต่อมาชื่อเมืองลาด ได้เพี้ยนไปกลายเป็นเมือง “ราด”)การตีนครเดิดและสถาปนาเมืองราด ความได้ทราบถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งในยุคนั้นเป็นกษัตริย์ขอมที่เรืองอำนาจ พระเจ้าชัยวรมันฯ นั้นเกรงว่าในอนาคตพ่อขุนผาเมืองจะเป็นศัตรูคนสำคัญ จึงได้ยกพระธิดาคือ “พระนางสิงขรมหาเทวี” ให้เป็นพระชายาของพ่อขุนผาเมือง เพื่อหวังจะผูกสัมพันธไมตรี แต่กระนั้น
*
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-9-3 08:20

พ่อขุนผาเมืองก็ไม่ได้หลงไปกับลาภยศ สรรเสริญ ที่ขอมมอบให้ แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อได้จังหวะเวลาที่เหมาะสม ก็จะตีกรุงสุโขทัยคืน แล้วเมื่อจังหวะเวลามาถึง พ่อขุนผาเมืองกับพระสหายคือ “พ่อขุนบางกลางท่าว” ซึ่งเป็นเจ้าเมืองบางยางในขณะนั้น (ปัจจุบัน คือ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก) ก็ได้ร่วมมือกันเข้าตีกรุงสุโขทัยที่มี “ขอมสบาดโขลญลำพง” ปกครองอยู่ จนสามารถยึดครองกรุงสุโขทัยได้สำเร็จ พร้อมๆกับการสถาปนาเป็นราชธานีเมื่อ พ.ศ.1781 โดยพ่อขุนบางกลางท่าวได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงสุโขทัย


    ในพระนาม “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” ส่วนพ่อขุนผาเมืองเมื่อร่วมรบจนประสบความสำเร็จก็เดินทางกลับเมืองราด แต่เรื่องราวไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เพราะความเมื่อทราบถึงพระนางสิงขรมหาเทวี พระนางก็ทรงพิโรธพ่อขุนผาเมืองอย่างมาก ตัดพ้อหาว่าทรยศต่อพระบิดา(พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ) ซึ่งก็อย่างว่าความโกรธของผู้หญิงนั้นรุนแรงนัก แล้วพระนางสิงขรก็ตัดสินใจจุดไฟเผาเมืองราดจนมอดไหม้เป็นจุล ส่วนพระนางเองก็กลั้นใจไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตายที่แม่น้ำป่าสัก ข้าวสารดำปลุกเสกฝังไว้กับวัตถุมงคลพ่อขุนผาเมือง ด้านพ่อขุนผาเมืองเมื่อจัดการกับพระศพของพระมเหสีเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อขุนผาเมืองก็ไม่คิดที่จะทำนุบำรุงเมืองราดอีก โดยตามตำนานได้กล่าวว่า พระองค์ได้เสด็จไปยังเมืองเชียงแสน (ปัจจุบันคือ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย)





  และจากการที่พระนางสิงขรเผาเมืองราดนี่แหละ ทำให้ข้าวสารในพระคลังที่เก็บไว้ใช้บริโภค

ถูกไฟเผามอดไหม้จนดำเกรียม และหล่นกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นดิน

ในบริเวณพื้นที่เมืองราด และก็ฝังอยู่ในพื้นดินมาช้านานหลายร้อยปี


จนเมื่อประมาณ 30 ปีที่ผ่านมาในช่วงฤดูฝนก็มีชาวบ้านแถวนั้นพบข้าวสารดำลอยขึ้นมาหลังฝนตก และก็มีการพบข้าวสารดำกันต่อมาเรื่อยๆ จนวันนี้พอถึงช่วงฤดูฝนก็ยังคงพบข้าวสารดำลอยขึ้นมาบนพื้นดินหลังฝนตกในบริเวณที่เคยเป็นเมืองราดตั้งแต่ครั้งอดีต ซึ่งเรื่องข้าวสารดำนี้แม้ว่ายังพิสูจน์ไม่ได้ แต่ว่าในตำนานก็สามารถนำไปผูกโยงกับเรื่องราวของเมืองราดได้อย่างเหมาะเจาะ กระนั้นข้าวสารดำก็ยังมีความเชื่ออีกกระแสหนึ่งที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ข้าวสารดำนั้นมีอยู่แต่เดิมแล้ว โดยพ่อขุนผาเมืองถือ ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อจะทำการรบทัพจับศึกครั้งใด พ่อขุนผาเมืองจะนำข้าวสารดำไปปลุกเสก และโปรยเหมือนหว่านทรายใส่กองทัพ แทนน้ำมนต์เพื่อเป็นกำลังใจให้ฮึกเหิม รวมถึงเป็นดังของขลังที่ช่วยให้แคล้วคลาดด้วย เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้เหมือนกัน แต่หากหันมามองข้าวสารดำ


   ในมุมมองทางวิทยาศาสตร์ “รศ.คมคาย หมื่นสาย” อาจารย์ประจำโปรแกรมนิเทศศาสตร์ สถาบันราชภัฏเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นผู้ที่ทำการศึกษาข้าวสารดำ ก็ได้กล่าวว่า ณ วันนี้ข้าวสารดำยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าคืออะไร โดยตนได้คาดเดาว่า น่าจะเป็นผลึกที่อยู่ในรูปของแร่ธาตุ หรือสสารที่ถูกอัดอยู่ในดินแล้วไม่มีการย่อยสลาย คล้ายๆกับฟอสซิล ในขณะที่นักธรรีวิทยา หลายๆคนต่างบอกกันว่าข้าวสารดำจัดเป็นฟอสซิลชนิดหนึ่งมีอายุราวสองล้านปีขึ้นไป เป็นของที่หายากมาก มักจะอยู่ในหินปูน แต่ดิเรก ถึงฝั่ง ก็ได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า ถ้าเป็นฟอสซิลก็น่าที่จะแข็งเหมือนหิน แต่ว่าข้าวสารดำที่ค้นพบนี่แค่เพียงบี้เบาก็แหลกแล้วข้าวสารดำปลุกเสกฝังในพระเครื่อง มิติใหม่ข้าวสารดำแม้ว่าข้าวสารดำยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าคืออะไร แต่ที่ผ่านๆมาก็ได้มีคนนำไปปลุกเสก เป็นวัตถุมงคล อย่างเช่นพระรุ่นข้าวสารดำ และยังมีการปลุกเสกฝังในรูปปั้นของพ่อขุนผาเมือง ให้คนที่สนใจเช่าไปบูชา ส่วนชาวบ้านที่เจอข้าวสารดำ ส่วนมากก็จะเก็บเอาไว้บูชาแต่หากว่าใครที่เป็นคนนอกพื้นที่เมื่อไปพบเห็นข้าวสารดำ แล้วต้องการนำกลับบ้านไปกราบไหว้บูชาก็อาจจะต้องคิดหนักหน่อย เพราะชาวบ้านแถวนั้นต่างเล่ากันว่า




เห็นมีหลายคนแล้วที่นำข้าวสารดำกลับบ้านไป แบบแอบหยิบไป

จากในพื้นที่โดยไม่ปลุกเสก แต่แล้วก็ต้องนำกลับมาคืน


    โดยคนที่นำกลับมาคืนต่างเล่าว่า เมื่อเอาไปแล้วก็อยู่ไม่เป็นสุข มักมีเรื่องราวเสมอๆ กับเรื่องการนำข้าวสารดำออกนอกพื้นที่ ความจริงเป็นอย่างไรคงพิสูจน์ไม่ได้ แต่ที่แน่ๆเมื่อเร็วๆนี้ ทางจังหวัดเพชรบูรณ์มีโครงการอนุรักษ์ข้าวสารดำเพื่อการท่องเที่ยว โดยเสวี เพชระบูรณิน นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบูรณ์ได้เล่าว่า ตอนนี้ทางผู้ว่าฯเพชรบูรณ์ได้สั่งให้ระงับการนำข้าวสารดำไปก่อน เพราะต้องการอนุรักษ์ไว้เพื่อการท่องเที่ยว ให้นักท่องเที่ยวไปเที่ยวชม พร้อมรับฟังตำนานข้าวสารดำ และขุดดูในบริเวณที่ค้นพบ ส่วนจะเอากลับไปได้หรือไม่นั้นเรื่องนี้ต้องดูกันอีกที เพราะถ้าเอากลับไปคงต้องปลุกเสก สำหรับเรื่องราวของข้าวสารดำ ณ วันนี้แม้ยังพิสูจน์ที่มาที่ไปไม่ได้ และยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครหยิบออกนอกพื้นที่จะเป็นทุกข์ร้อนอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้ก็คือ ในอนาคตหากมีคนมาเที่ยวชม ฟังตำนาน และขุดข้าวสารดำก็จะเป็นการสร้างรายได้ให้กลับชุมชนใน อ.หล่มสัก และก็ยังทำให้นักท่องเที่ยวเที่ยวเพชรบูรณ์นานขึ้นอีกด้วย
ที่มา : ผู้จัดการ

ที่มา..http://school.obec.go.th/banhinging/pokunpamaing.htm
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-9-3 08:20

เพชรบูรณ์มีดี วันนี้ขอแนะนำให้รู้จักโบราณสถานสำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเพชรบูรณ์ ตั้งอยู่ที่วัดโพนชัย หมู่ที่ 1 บ้านห้วยโปร่ง ตำบลบ้านหวาย อำเภอหล่มสัก วัดแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่ตั้งขึ้นเมื่อปี 2480 เป็นวัดที่สมบูรณ์ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองสงฆ์ ร.ศ.121 และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ 25 มีนาคม 2537

พระอธิการมนตรี ชวนปัญโญ เจ้าอาวาส เล่าว่า เดิมวัดนี้เป็นที่รกร้างพื้นที่เป็นโคกติดกับคลองห้วยโปร่ง มีพระธาตุเจดีย์เก่าแก่ มีเนินดินสูงกว้างประมาณ 100 ตารางเมตร ต่อมามีชาวบ้านอพยพมาอยู่อาศัยจับจองที่ทำกินและได้ร่วมกันถากถางพื้นที่แห่งนี้เพื่อสร้างวัด ตั้งชื่อว่าวัดโพนชัย และได้มีการบูรณะ พัฒนามาเป็นลำดับ









ในวัดมีพระธาตุอายุหลายร้อยปี คือ พระธาตุวัดโพนชัย ชาวบ้านมีความเชื่อกันว่าเป็น

พระธาตุเจดีย์ พระนางสิงขรเทวี เป็นเจดีย์เก่าแก่ ที่สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระนางสิงขรมหาเทวี




พระมเหสีของพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด วีรบุรุษผู้สร้างชาติไทย ซึ่งหลายคนเชื่อว่าพื้นที่บริเวณนี้คือเมืองราดของพ่อขุนผาเมือง แม้จะมีบางแนวคิดขัดแย้งกันอยู่ก็ตาม พระธาตุวัดโพนชัย เป็นเจดีย์ทรงดอกบัวเหลี่ยม ฐานสูง คล้ายกับเจดีย์ลาวรุ่นแรกคือ พระธาตุพนม แต่บัวเหลี่ยมสั้นป้อมกว่า ก่อสร้างด้วยอิฐสอดินฉาบปูน อิฐมีขนาดกว้าง ๑๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒๒.๕ เซนติเมตร หนา ๖.๕ เซนติเมตร เจดีย์สูงโดยประมาณ ๑๔ เมตร


ห่างออกไปทางทิศเหนือมีเจดีย์เก่าอีกองค์ คือ เจดีย์วัดทุ่ง ปัจจุบันเป็นโรงเรียนพ่อขุนผาเมืองอุปถัมภ์ หมู่ที่ ๑ ตำบลบ้านหวาย เจดีย์มีรูปทรงแบบบัวแปดเหลี่ยม บัวมีขนาดใหญ่และกว้าง มีฐานต่ำ ส่วนยอดขาดหายไป คาดว่าคงสูงประมาณ ๑๖ – ๒๐ เมตร ก่อด้วยอิฐสอดิน อิฐบางก้อนวัดขนาดได้กว้าง ๑๒ เซนติเมตร ยาว ๒๓ เซนติเมตร หนา ๗ เซนติเมตร มีขนาดใกล้เคียงกับพระธาตุวัดโพนชัย เจดีย์ศิลปะแบบลาวในเมืองหล่ม ปัจจุบันชำรุดทรุดโทรม ขาดการอนุรักษ์และขาดการสืบสานต่อจากชนรุ่นใหม่

บริเวณบ้านหวายแห่งนี้ยังมีการพบข้าวสารดำ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ถูกพบที่พื้นดินใกล้เจดีย์พระนางสิงขรมหาเทวี กระจัดกระจายเกลื่อนกลาดอยู่ในพื้นดิน เมื่อฝนตกหนักชะล้างผิวหน้าดินออก ข้าวสารดำก็จะโผล่ขึ้นมา ลักษณะคล้ายเมล็ดข้าวสารแต่มีสีดำ ถ้าใช้มือบีบแรงๆก็จะแตกออกเป็นผงสีดำคล้ายผงถ่าน ตามหลักวิชาทางธรณีวิทยากล่าวว่า ข้าวสารดำเป็นฟอสซิลชนิดหนึ่ง มีอายุราวสองร้อยล้านปีขึ้นไป มักจะอยู่ในหินปูน เป็นของหายาก ซึ่งโดยทั่วไปฟอสซิลจะต้องมีลักษณะแข็ง ส่วนข้าวสารดำนี้ใช้มือบีบก็จะแหลกเป็นผง



ตำนานเล่าต่อๆกันมาเป็น ๒ นัย นัยแรก กล่าวว่า ข้าวสารดำนี้เป็นข้าวสารในท้องพระคลังของเมืองราดเก็บไว้บริโภค เมื่อพระนางสิงขรมหาเทวี ซึ่งเป็นธิดากษัตริย์ขอม และเป็นมเหสีของพ่อขุนผาเมือง เผาเมืองราดไฟได้ไหม้คลังเก็บข้าวสารจนไหม้ดำเกรียม หล่นกระจัดกระจาย เนื่องจากไม่พอใจที่พ่อขุนผาเมืองยกทัพไปขับไล่พวกขอม ต่อมาจึงถูกดินถมจมอยู่ นัยที่สองกล่าวว่า ข้าวสารดำนี้มีมาอยู่แต่เดิม ในสมัยสุโขทัยพ่อขุนผา ทรงนับถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เมื่อจะออกศึกสงครามครั้งใด ก็จะทรงนำข้าวสารดำมาปลุกเสก โปรยหว่านเป็นสิริมงคลแก่กองทัพ และใช้เป็นวัตถุของขลังในการรบ ปัจจุบันข้าวสารดำบริเวณนี้หายากขึ้นแต่มีให้ชมที่พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สถานเมืองราด




วัดโพนชัย ยังมีพระพุทธรูปที่ชาวบ้านมีความเชื่อว่าศักดิ์และเคารพสักการะของคนที่นี่เป็นจำนวนมาก คือ หลวงพ่อตากแดด ชาวบ้านได้เล่าขานถึงความปาฏิหาริย์มากมาย และในวันสามของทุกปีทางวัดจะมีการจัดงานสรงน้ำพระธาตุเจดีย์และสมโภชหลวงพ่อตากแดดเป็นประจำทุกปี
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้