ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1766
ตอบกลับ: 0
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ทำจริง-ถึงธรรมจริง

[คัดลอกลิงก์]
ทำจริง-ถึงธรรมจริง!
ทำจริง-ถึงธรรมจริง! : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา
               ขออ้างพุทธพจน์ก่อนนะครับ

               “การต่อสู้ ดิ้นรน ที่ทำได้ยากในโลกนี้มีอะไรบ้าง และ อย่างไหนดีกว่า?”

               พุทธวิสัชนา “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...การดิ้นรนที่ทำได้ยากในโลกนี้มี ๒ อย่าง คือ การต่อสู้ดิ้นรนเพื่อแสวงหาเครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และ เครื่องยารักษาโรคของคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ๑  และ การต่อสู้ดิ้นรน เพื่อสละอุปธิทั้งปวง ของผู้ออกบวชเป็นบรรพชิต ๑ ...

               "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาการต่อสู้ดิ้นรน ๒ อย่างนี้ การต่อสู้ดิ้นรน เพื่อสละอุปธิทั้งปวงเป็นเลิศ เพราะเหตุนี้แล เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักเริ่มตั้งความเพียรพยายามเพื่อสละอุปธิทั้งปวง”

               เป็นดังพุทธพจน์ตรัสไว้เลยล่ะครับ การทำมาหาทรัพย์ของคนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ทุกวันนี้เป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่ง รายได้ไม่เพิ่ม แต่รายจ่ายสูง ค่าเงินที่เล็กลง ทำให้เราต้องรัดเข็มขัดกันมากขึ้น ยิ่งถ้าเราไม่มีธรรมะเป็นหลักด้วยแล้ว แรงกระตุ้นจากกระแสโลกทุกนิยมก็ดี นโยบายประชานิยมก็ดี การกู้เงิน ๒ ล้านล้านบาทที่รัฐบาลชุดนี้กำลังเร่งผลักดันอยู่ก็ดี ล้วนแต่จะผลักดัน (Force) ให้คนไทยเป็นหนี้ พอกพูนขึ้นอีกเยอะครับ และไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม มันกำลังเกิดขึ้นแล้ว หนี้สาธารณะต่อหัวคนไทย (หมายถึงหนี้รัฐบาลหารด้วยจำนวนประชากรไทย) มากกว่าแสนบาท ในเร็วๆ นี้ แน่นอนครับ!

               เรื่องแบบนี้ มีก็แต่สุจริตชนที่ทำงานแลกทรัพย์มาโดยสุจริตวิถีที่เดือดร้อน เพราะต้องลำบาก ต้องประหยัด ปากกัดตีนถีบในเรื่องของการใช้สอย คิดแล้วคิดอีก กว่าจะหยิบจะจ่ายอะไรออกไป ผมเองจะซื้อรองเท้าทำงานใหม่สักคู่หนึ่งให้ตัวเอง (คู่เก่าใช้มาเกือบ ๑๐ ปีแล้ว) เห็นราคา ๓,๐๐๐ คิดทบทวนแล้วทบทวนอีกสุดท้ายก็บอกกับตัวเองว่า รองเท้าเก่าก็ยังพอใช้ได้ เก็บเงิน ๓,๐๐๐ บาท ไว้เป็นค่าเทอมลูกดีกว่า

               ยังไง ก็ขอเป็นกำลังใจให้แก่การต่อสู้ดิ้นรนของคนที่ประกอบสัมมาอาชีโวทั้งหลายนะครับ การทำงานที่สุจริต ถูกต้อง เลี้ยงดูครอบครัวให้อิ่มหนำตามอัตภาพ ยังเจือจานแบ่งปัน ทำบุญ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม และไม่หลงใหลในกาม หรือในทรัพย์ที่หาได้มา ถือว่าเป็น "ฆราวาสชั้นเลิศ" แล้วล่ะครับ ทั้งการประกอบสัมมาอาชีโว ซึ่งเป็น ๑ ในองค์ ๘ ของมรรคาอันประเสริฐ ก็ถือเป็นการเจริญมรรคไปด้วยในตัว การทำงานของท่านจึงถือเป็นการปฏิบัติธรรมไปในตัวด้วย ดังคำของท่านพุทธทาสภิกขุ

               เมื่อถึงจุดหนึ่ง ฆราวาสผู้เห็นสัจธรรม อาจจะทิ้งเรือนเป็นอนาคาริก ออกบวชเป็นบรรพชิต แต่ก็หาใช่ว่า จะพ้นเรื่องการต่อสู้ดิ้นรนที่ทำได้ยากในโลกนี้ เพราะแม้การเป็น "พระ" จะไม่ต้องทำมาหาทรัพย์เพื่อดำรงชีพอย่างฆราวาสแล้วก็ตาม แต่ท่านเอง ก็ยังต้องเผชิญกับการต่อสู้ดิ้นรนอีกแบบหนึ่ง ซึ่งยากกว่าในทางจิตวิญญาณ คือท่านต้องบำเพ็ญเพียรเพื่อสละละ กิเลส อุปธิ ทั้งปวงนั่นเอง และพระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญว่า การต่อสู้ดิ้นรนประการหลังนี้เป็นเลิศ

               ส่วนพระสูตรที่ ๒ ที่ได้อัญเชิญมากล่าวถึง คือ

               ปุจฉา ... “ถ้าเราพากเพียรพยายามแบบวางชีวิตเป็นเดิมพันเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า เราจะบรรลุมรรคผลหรือไม่?”

               พุทธวิสัชนา “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเห็นคุณค่าของธรรม ๒ อย่าง คือ ความไม่ยินดีพอใจในกุศลธรรมทั้งหลาย ๑ (พระพุทธเจ้าสอนให้เราสันโดษในทุกเรื่อง เว้นเรื่องนี้เรื่องเดียว คือ การประกอบกุศลธรรม, การทำความดีทั้งหลาย ให้ทำไปเรื่อยๆ ไม่ต้องหยุดทำ ไม่มีสันโดษ แต่ไม่ให้มีอัตตา ยึดติดตัวตน เป็นบุญของกู กุศลของกู ผู้เขียน)

               ความไม่ท้อถอยในความพากเพียร ๑

               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเคยตั้งความเพียรไม่ท้อถอยไว้ว่า หนัง เอ็น และกระดูก เท่านั้น จงเหลืออยู่ก็ตามที เนื้อและเลือดในสรีระ จงเหือดแห้งไปเถิด ผลใดที่พึงบรรลุได้ถึงด้วยกำลังของบุรุษ ด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ เมื่อยังไม่บรรลุถึงผลนั้น จักไม่หยุดยั้งความเพียรเสีย ดังนี้

               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โพธิญาณของเรานั้น บรรลุได้ด้วยความไม่ประมาท (มีสติ) ธรรมอันเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยม เราบรรลุถึงได้ด้วยความไม่ประมาท หากแม้นว่า ท่านทั้งหลายพึงตั้งความเพียรไม่ท้อถอย แม้เธอทั้งหลายก็จักทำให้แจ้ง ซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลาย ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ต้องการปรารถนานั้น ด้วยความรู้ยิ่งเองในปัจจุบันชาตินี้ต่อเวลาไม่นานนัก”

               ผมเคยเห็นพระหลายรูป จากหลายวัดหลายสำนัก ท่านที่มีใบหน้าอิ่มเอิบ พอใจในเพศบรรพชิต คล้ายว่าท่านคงมีจิตเข้าถึง ได้ญาณเป็นเครื่องอยู่ เครื่องอาศัยได้แล้วก็มีไม่น้อย แต่ก็ยังมีอีกหลายรูป ที่ดูไปแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ท่านเหล่านั้น คงกำลังเคว้ง ยังไร้เครื่องอยู่ หรือ บางรูปบางสำนักอาจจะหนักข้อไปยิ่งกว่านั้น คือคิดว่าตัวเอง ได้บรรลุฌานสมาธิชั้นสูงไปไหนต่อไหนแล้ว แต่ที่แท้เป็นแค่ มิจฉาสมาธิ เพ่งแร่แปรธาตุไปวันๆ  แล้วอย่างนี้ พระดีๆ ที่ท่านบวชเข้ามาด้วยเจตนาอันประเสริฐ เพื่อบรรลุที่สุดแห่งพรหมจรรย์ จะไม่ท้อแท้ถดถอยไปหมดหรือ?
               เพื่อเป็นกำลังใจ ถวายแด่พวกท่านเหล่านั้น จึงได้อัญเชิญพระสูตรบทนี้มาพิจารณา ทบทวนกันอีกหน สองหน ๑๐ หน ๑๐๐ หน หรือ หลายพันหนก็ได้ เอาเป็นว่า พิจารณาจนเกิดสัมมาทิฏฐิที่มั่นคง และเมื่อเกิดเป็นสัมมาทิฏฐิ (The Right View) แล้วไซร้ การปรารภความเพียรนั้น ย่อมบรรลุมรรคผลได้แน่นอน ดังภาษิตโบราณ  ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ฉันใดฉันนั้น
               เพราะฉะนั้น โปรดเชื่อตามแนวทางแห่งพระพุทธเจ้า อย่างไม่ลังเลแม้สักนิด
               ใครทำจริง ก็ถึงจริงครับ !
               ทำจริง ถึงจริง ไม่กลิ้งกลอก
               อย่าทำหลอก ล่อหลุบ หุบเหหัน
               เบื่อ(โลก)ก็ทำ อยาก(กาม)ก็ทิ้ง ไม่จริงจัง
               เหมือนไม้หลัก ปักขี้เลน ไม่เห็นผล
               ต้องทำจริง จะถึงจริง พระองค์ตรัส
               ไม่มีลัด ตัดตรง ถึงมรรคผล
               ต้องเบื่อกาม แล้วปรารภ ความเพียรตน
               เร่งเพราะบ่ม กันที่นี่ เดี๋ยวนี้เอยฯ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้