ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 5919
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ภาพถ่ายอัดกระจกหลวงพ่อเขียน วัดบ้านพร้าวนอก ปทุมธานี

[คัดลอกลิงก์]
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-8-31 16:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มุ่งสู่หลวงพ่อเขียน
เนื่องจากโยมมารดาของหลวงพ่อมี เป็นชาวบ้านพร้าว ปทุมธานี มักเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องยังบ้านเดิมอยู่เสมอ ทั้งในงานเทศกาลทำบุญตรุษสารทตามประเพณีต่าง ๆ ก็มักจะกลับไปทำบุญยังวัดท้องที่ใกล้บ้าน  คือวัดบ้านพร้าวนอก ซึ่งมีน้องชายเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดในขณะนั้น ชื่อ หลวงพ่อเขียน โชติสโร
โดยความตั้งใจเดิมขององค์ท่านหลวงพ่อมี  เมื่อสมัยยังเป็นเด็ก และได้ช่วยหลวงน้าในการแปรธาตุ ได้สัมผัสรับรู้วิชาเร้นลับนี้โดยตรง  แต่องค์หลวงน้าไม่ยอมสอนให้กลับบอกว่า  จะสอนให้เมื่อบวชเป็นพระเสียก่อน  จึงเป็นโอกาสดีของหลวงพ่อมี  หลวงพ่อเขียนองค์นี้  ท่านเป็นพระอาจารย์เรืองวิชาเป็นที่เลื่องลือว่า ท่านสำเร็จอภิญญาจิตมีอิทธิปาฏิหาริย์  สามารถเดินบนยอดไม้และนอนบนยอดตองได้ (นอนบนยอดใบกล้วย)
ปฏิปทาอันงดงาม เคร่งครัดพระธรรมวินัยและปฏิบัติวิปัสสนาธุระอย่างสม่ำเสมอของหลวงพ่อเขียน เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านพร้าวเป็นอย่างมากในสมัยนั้น  หลวงพ่อเขียนท่านมีปฏิปทาแปลกไปอีกอย่างหนึ่งคือชอบเล่นว่านยา  และชอบเล่นแร่แปรธาตุ  ซึ่งเป็นวิชาการหล่อหลอมวัตถุธาตุต่าง ๆ ที่มีราคาถูกให้กลายเป็นธาตุสูงค่าขึ้น เช่น การทำตะกั่วให้กลายเป็นเงินหรือทำเงินให้เป็นทองคำ ดังนี้เป็นต้น
อุปกรณ์ใช้ในการเล่นแร่แปรธาตุของหลวงพ่อเขียนก็มี เตาสูบ ที่ใช้ในการหลอมโลหะ ซึ่งมีเครื่องสูบลมติดอยู่กับเตาสำหรับใช้สูบลม  เป่าผ่านให้เป็นเปลวไฟแรงจัด  นอกจากนี้ก็ยังมีเบ้าหลอม ซึ่งมีทั้งเบ้าดินและเบ้าที่ทำจากโลหะหลายใบ ทั้งยังมีสากดินสำหรับใช้กวนโลหะให้เข้ากันอีกด้วย ฯลฯ
หลวงพ่อมี เล่าว่า “หลวงพ่อเขียนท่านชอบเล่นว่านอาบน้ำมันว่านจนตัวมันไปหมด จึงไม่ค่อยชอบอาบน้ำ เวลาท่านนั่งหลอมโลหะอยู่หน้าเตาสูบ ถูกรมด้วยควันไฟและเถ้าถ่านอยู่เป็นวัน จนตัวดำมิดหมีมันหมดทั้งตัว...  ท่านก็ยังไม่ยอมอาบน้ำ...”
หลวงพ่อมีเล่าปฏิปทาการไม่ชอบอาบน้ำของหลวงพ่อเขียนให้ฟัง พร้อมกับหัวเราะขัน ๆ อย่างอารมณ์ดี
เรียนวิชาตรงจากหลวงพ่อเขียน
หลวงพ่อเขียนถือได้ว่าเป็นอาจารย์องค์แรกในสายวิทยาคมขององค์ท่านหลวงพ่อมี วัดมารวิชัย
หลังจากอุปสมบทหลวงพ่อมีมุ่งตรงสู่วัด บ้านพร้าวนอก จ.ปทุมธานี และศึกษาสายวิชา เล่นแร่แปรธาตุกับพระอาจารย์หลวงน้าในทันที  ในช่วงนั้นโยมบิดาขององค์ท่านหลวงพ่อมี กำลังเจ็บป่วยด้วยโรคชรา ซึ่งเรื้อรังมานานแล้ว และได้ถึงแก่กรรม หลวงพ่อมีจึงต้องกลับมายังบ้านเกิด เพื่อจัดงานศพโยมบิดา ที่วัดมารวิชัยและเข้าจำพรรษา ณ วัดมารวิชัย นับตั้งแต่บัดนั้น
เมื่อเข้าจำพรรษา ณ วัดมารวิชัย หลวงพ่อมียังคงเดินทางไปพำนักที่วัดบ้านพร้าวนอก เพื่อเยี่ยมเคารพและศึกษาสายวิชาจากหลวงน้า หลวงพ่อเขียนอยู่สม่ำเสมอ ตราบจนกระทั่งหลวงพ่อเขียนมรณภาพด้วยวัยของความชรา
สายวิชา
ในส่วนของสายวิชาที่องค์ท่านหลวงพ่อมีศึกษาจากพระอาจารย์หลวงพ่อเขียน นับแล้วท่านเริ่มเรียนรู้มาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ๆ ตอนติดตามคุณแม่ไปวัดบ้านพร้าวนอก  การศึกษาในตอนนั้นถือเป็นการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด เพราะได้ใกล้ชิดหลวงพ่อเขียน เนื่องจากต้องหาฟืนเติมเชื้อไฟให้ร้อนกรุ่นอยู่อย่างตลอดในเวลาหล่อหลอม  สายวิชาการต่าง ๆ ทุกอย่างและขั้นตอนปฏิบัติจึงตกเป็นของหลวงพ่อมี เริ่มตั้งแต่วัยเด็ก
จากคำบอกเล่าของหลวงพ่อมี ท่านเคยเล่าว่า ท่านนั้นไม่ได้ของดีจากอาจารย์หลวงพ่อเขียนเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ “สังขวานร” เพราะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวอาจารย์ท่าน  ซึ่งหลวงพ่อเขียนถึงแม้มรณภาพ  สังขวานรก็ติดตามไปด้วยทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อเขียนเก็บใส่ตลับติดตัวเอาไว้เป็นอย่างดี  พอท่านสิ้นลมได้นำเอาตลับที่บรรจุสังขวานรตลับนั้นมาเปิดออกดู ปรากฏว่าสังขวานรได้อันตรธานหายไปได้เองอย่างน่าอัศจรรย์
อนึ่ง สังขวานร คือแร่ชนิดหนึ่งซึ่งเราเรียกว่า “เขี้ยวหนุมาน” หลวงพ่อเขียนทำสำเร็จด้วยความยากลำบากเพราะต้องใช้เวลามาก  เริ่มต้นจากการทำตะกั่วให้เป็นเงินแล้วนำโลหะแร่อีกหลายชนิดที่ทำขึ้นมาหล่อหลอมรวมกัน ขัดด้วยว่านยา 108 ตามตำรับตำรา จนสำเร็จกลายเป็นสังขวานรก้อนเล็ก ๆ ขนาดเมล็ดข้าวโพด มีสีเขียวแวววาวคล้ายสีปีกแมลงทับ
แต่ว่าสังขวานรมีสีเลื่อมพรายสวยงามกว่าปีกแมลงทับมาก  ถ้านำไปทิ้งไว้ในที่มืด จะปรากฏลำแสงสว่างคล้ายรุ้งพวยพุ่งขึ้นให้รู้ว่าไปตกอยู่ ณ ที่แห่งใด
หลวงพ่อเขียนเคยทดลองคุณวิเศษ ของสังขวานรให้หลวงพ่อมีชมดูหลายประการและบอกให้ท่านฟังว่า “สังขวานรมีคุณดุดเหล็กไหล” ถ้าผู้ใดได้พกติดตัวเป็นมหาอุด  และมีความอยู่ยงคงกระพันชาตรีสูง บุกน้ำลุยไฟได้ทั้งนั้น”  นับว่า สังขวานร  เป็นสุดยอดแห่งของขลังที่หาได้ยากโดยแท้
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-8-31 16:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เล่นแร่แปรธาตุ ผ้าจะขาดไม่รู้ตัว
แม้ว่าหลวงพ่อมีจะเห็นกรรมวิธีการหล่อหลอมเล่นแร่แปรธาตุต่าง ๆ  อย่างใกล้ชิด แต่ใจจริงแล้วท่านไม่ค่อยชอบทางด้านนี้เท่าใดนักเนื่องจากทำให้เนื้อตัวสกปรกดำไปหมดทั้งตัวในเวลาทำการหล่อหลอมแล้วหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค  พระอาจารย์องค์สำคัญอีกองค์หนึ่งของหลวงพ่อมี เคยกล่าวเปรย ๆ  เป็นทำนองเตือนสติให้ท่านรู้ว่า
“ระวังการเล่นแร่แปรธาตุ ผ้าจะขาดไม่รู้ตัว”
นับเป็นคำเตือนที่มีค่ายิ่งเพราะถ้าในสมัยนี้ ผู้ใดคิดเล่นแร่แปรธาตุหวังร่ำรวยทางลัด  ด้วยการทำตะกั่วให้กลายเป็นทองคำ กว่าจะทำได้คงต้องลงทุนจนหมดตัว  ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าจะทำตะกั่วกลายเป็นเงิน  แล้วทำเงินให้กลายจนเป็นทองคำได้อีกหรือไม่ เรียกว่ากว่าจะสำนึกตัวผ้าอาจขาดจนไม่มีติดกายก็เป็นได้เล่นแร่แปรธาตุชั้นสูง  สามารถทำให้ตะกั่วกลายเป็นเงิน เงินกลายเป็นทองคำได้
ในภายหลังที่หลวงพ่อมีไปศึกษาอสุภกรรมฐานกับหลวงพ่อปานแล้ว  ท่านพิจารณาเห็นว่าวิชาเล่นแร่แปรธาตุไม่ใช่หนทางหลุดพ้นจากสงสารวัฏแห่งการเวียนว่าย ตาย เกิด  หลวงพ่อมีจึงตัดใจไม่เรียนวิชาทำตะกั่วให้เป็นทองคำต่อจากหลวงพ่อเขียนดังนั้นหลวงพ่อมีจึงเรียนรู้แต่วิธีทำตะกั่วให้เป็นทองคำมาเพียงผิวเผินเท่านั้น  โดยไม่เคยทดลองทำจริง ๆ มาก่อนเลยส่วนกรรมวิธีการทำเมฆพัดนั้น หลวงพ่อมีเคยทดลองทำมากับหลวงพ่อเขียน  จนมีความเชี่ยวชาญมาแล้วในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ซึ่งหลวงพ่อมีกรุณาเปิดเผยสูตรทำเมฆพัดให้ทราบว่า
การทำเมฆพัดประกอบด้วย เงิน ทองแดง ตะกั่ว ปรอท กำมะถันเหลือง และว่านยา 108 ชนิด มีว่านทองคำ เป็นอาทิ  โดยมีส่วนของน้ำหนักพิกัดสิ่งละไม่เท่ากันตามตำรานำมาหล่อหลอมรวมกันแล้วซัดด้วยกำมะถันเหลืองและว่านยาอยู่ตลอดเวลาตามกรรมวิธีอันแยบยลตามลำดับจนกระทั่งเนื้อเมฆพัดหลอมจนเหลวได้ที่ดีแล้ว  จะสำเร็จเป็น “กายสิทธิ์”
หลวงพ่อเขียน บอกว่า เมฆพัดจะมีฤทธิ์เดชในตัวเองสามารถป้องกัน ภูตผีปีศาจ  เป็นคลาดแคล้วคงกระพัน บันดาลความร่มเย็นเป็นสุขให้คุณแด่ผู้เป็นเจ้าของยิ่งนัก หลวงพ่อมี เคยกล่าวยืนยันว่า  วิชาทำตะกั่ว จนกลายเป็นทองคำนี้  หลวงพ่อเขียนท่านทำได้จริงเมื่อท่านสามารถพิสูจน์จนรู้แจ้งเห็นจริงแล้วท่านก็เลิกเล่น  และไม่ถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่ผู้ใดอีก
ชะรอยหลวงพ่อเขียนท่านคงจะเห็นโทษจากการหมกมุ่นในการแปรธาตุ  ซึ่งเป็นความละโมบผิดธรรมชาติ ดังนั้นในบั้นปลายของชีวิตหลวงพ่อเขียนท่านมุ่งบำเพ็ญภาวนาแสวงหาความหลุดพ้นจนถึงแก่กาลมรณภาพโดยสงบในที่สุด
ทำแตงหนูเป็นทองแดง
ท่านผู้อ่านคงรู้จัก ลูกแตงหนู  ดีนะครับเป็นพืชจำพวกเถาเลื้อยไปตามดินเถาและใบแตงหนูเป็นขนคล้ายต้นขี้กาขาว  มีผลเหมือนแตงไทยที่เราเอามาใส่กะทิน้ำแข็งกินเป็นของหวานนั่นแหละแต่ลูกแตงหนูเล็กกว่าลูกแตงไทยมาก  คือมีขนาดโตแค่หัวแม่มือเท่านั้นบรรดาแพทย์แผนโบราณนิยมนำมาทำยาสมุนไพร กล่าวกันว่า  ใช้แก้ไข้ได้วิเศษนัก
หลวงพ่อเขียน นอกจากจะปลูกต้นแตงหนูไว้ทำยาแล้วท่านยังเอาลูกแตงหนูกับน้ำประสานทองมาสุมไฟจนกลายเป็นโลหะทองแดงได้อีกด้วยวิชาการเล่นแร่แปรธาตุดังกล่าว  นับวันจะสูญหายไปแล้ว เนื่องจากต้นทุนในการหล่อหลอมสูงกว่าแร่โลหะแท้ ๆ  ที่จะทำไม่ได้ยกตัวอย่างเช่นการทำทองแดง  ต้องหาลูกแตงหนูมาเต็มเบ้าซึ่งยังหาง่ายไม่แพงเท่าน้ำประสานทองซ้ำยังต้องหล่อหลอมอีก 500 ครั้ง จึงจะได้ทองแดงก้อนเล็ก ๆ  แค่ปลายนิ้วก้อยเท่านั้นนับมีต้นทุนการผลิตที่สูงมากทีเดียวถ้าทำมาขายไม่คุ้มกันแน่
แต่พระโบราณจารย์ท่านไม่ได้คิดเช่นนั้น  กล่าวคือทองแดงที่ได้จากการเปลี่ยนแปรธาตุเมื่อทำสำเร็จ ถ้านำมาปลุกเสกตามตำราจะกลายเป็นของกายสิทธิ์ถึงขั้นสามารถป้องกันศาสตราวุธได้ทุกชนิดดังนั้นจึงเป็นที่น่าสังเกตว่าพระเครื่องรางเก่า ๆ  ของพระอาจารย์หลายสำนักที่สร้างขึ้นจากตำราเล่นแร่แปรธาตุโดยนำโลหะธาตุต่าง ๆ  ที่ทำขึ้นมาสร้างเป็นพระเครื่องจึงมีอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ทางด้านอยู่ยงคงกระพันสูงส่ง
เป็นที่น่าเสียดายที่หลวงพ่อเขียน ไม่เคยสร้างอิทธิมงคลใด ๆ ไว้เลยชื่อเสียงในวงการพระเครื่องจึงไม่มีใครรู้จัก  แต่ก็ยังโชคดีที่ท่านมิศิษย์ผู้สืบทอดพระเวทวิทยาคมอยู่องค์หนึ่ง คือ หลวงพ่อมี  เขมธัมโม พระเถราจารย์จอมขมังเวทแห่งวัดมารวิชัย ซึ่งเป็นทั้งศิษย์และหลานแท้ ๆ  ของหลวงพ่อเขียนพระอาจารย์ผู้เรืองวิชาแห่งวัดบ้านพร้าวนอก ปทุมธานี
รูปอัดกระจกหลวงพ่อเขียน
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าในสมัยที่หลวงพ่อเขียนยังมีชีวิตอยู่ท่านไม่เคยสร้างอิทธิมงคลใด ๆ ขึ้นเลย แต่เมื่อท่านถึงแก่กาลมารณภาพแล้วได้ 1 ปีหลวงพ่อมีสร้างรูปหลวงพ่อเขียนอัดกระจก ขึ้นจำนวนหนึ่ง  เพื่อแจกบรรดาญาติโยมและชาวบ้านทั้งหลายที่มีความเคารพนับถือหลวงพ่อเขียน  โดยสร้างพระรูปหล่อจำลองเกือบเท่าองค์จริงประดิษฐานอยู่ที่มณฑปวัดบ้านพร้าวนอกในปัจจุบัน
“รูปหลวงพ่อเขียนที่วัดมีไม่ได้เลย ถ้าชาวบ้านเห็นแล้ว ต้องขอกันไปหมด  ถ้าไม่ให้ก็ปลดเอาไปบูชาที่บ้านเสียเฉย ๆ  ที่วัดก็เลยไม่มีรูปของหลวงพ่อเขียนหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่เพียงรูปเดียว”
จากศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อภาพถ่ายหลวงพ่อเขียนดังกล่าว  ย่อมแสดงออกถึงความเคารพนับถือที่มีต่อท่านสูงส่งเพียงใดนับว่าหลวงพ่อเขียนเป็นพระอาจารย์อันควรแก่การเคารพกราบไหว้โดยแท้!จึงเป็นที่น่าเสียดายจริง ๆ  หลวงพ่อเขียนวัดบ้านพร้าว นอกจากไม่ได้สร้างอิทธิมงคลใด ๆ  ไว้เป็นอนุสรณ์แก่สานุศิษย์  มิเช่นนั้นหลวงพ่อเขียนต้องเป็นพระอาจารย์ที่ขึ้นชื่อลือชาอยู่ในแนวหน้าองค์หนึ่งของจังหวัดปทุมธานีอย่างแน่นอนแต่ก็นับว่า  พวกเรายังโชคดีที่วิทยาเวทและสายเคล็ดลับของหลวงพ่อเขียน  ยังมีผู้สืบทอดซึ่งเป็นหลานแท้ ๆ ของท่านหลวงพ่อมี เขมธัมโม พระเถราจารย์สุดขมังเวท แห่งวัดมารวิชัยผู้สร้างรูปอัดกระจกหลวงพ่อเขียน  จนได้รับความนิยมจากชาวบ้านพร้าวและเป็นผู้สร้างพระเครื่องสูตรเมฆพัด (พระสังกัจจายน์ และพระปิดตา) ตามตำรับหลวงพ่อเขียนทุกประการ
ด้วยอำนาจแห่งบารมีหลวงพ่อเขียนรวมทั้งหลวงพ่อมีผู้ปลุกเสกและลงอักขระด้านหลังภาพอัดกระจกทั้งหมด  ทำให้ผู้รับรูปอัดกระจกหลวงพ่อเขียนไปแล้ว  ต่างพบประสบการณ์มากมายในทางคงกระพันแคล้วคลาดและมีเด็กห้อยคอแล้วตกน้ำไม่จมจนเป็นที่เลื่องลือ
ปัจจุบัน หาชมรูปอัดกระจกหลวงพ่อเขียนซึ่งหลวงพ่อมีเป็นผู้สร้างขึ้นได้ยาก  เพราะมีอายุการสร้างมานานร่วม 50 ปี และที่ชาวบ้านพร้าวมีอยู่ก็หวงแหนเนื่องจากเป็นรูปหลวงพ่อเขียนที่ชาวบ้านพร้าวทั้งหลาย  ให้ความเคารพนับถือและมีประสบการณ์มาแล้วอย่างกว้างขวางนั่นเอง
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้