|
ธรรมะที่มีอยู่ในจักรวาลนี้ก็เช่นเดียวกัน ธรรมะเป็นสัจจธรรมของจริงที่มีอยู่แล้วแต่ไหนแต่ไรมา ศาสดาแต่ละพระองค์ อย่างดีก็เพียงแต่รู้ความจริงของธรรมะ และศาสดาแต่ละองค์ก็ย่อมมีภูมิธรรมแตกต่างกัน บางศาสดามีภูมิปัญญาน้อยก็มองเห็นความจริงของธรรมะตามระดับสติปัญญาของตนเอง บางศาสดามีปัญญาละเอียดสุขุม มีความสามารถเฉียบแหลม ก็สามารถรู้ของจริงในจักรวาลนี้เหนือผู้อื่น เช่นเดียวกับดวงไฟที่เราติดไว้ในห้องโถง ถ้าไฟดวงใดมีแรงน้อย เพียงแค่ ๑๐, ๒๐ แรงเทียน พอเปิดสวิตช์ก็มองเห็นแสงสว่างได้เล็กน้อย ถ้าดวงไฟมีแรงสูงตั้งแต่ ๑,๐๐๐ แรงเทียนขึ้นไป พอเปิดสวิตช์ ความ สว่างจะกระจายทั่วไปหมด ทำให้เราสามารถมองเห็นจุดดำจุดด่างบนผิวพื้นของฝาผนังได้ถนัด ข้อเปรียบเทียบนี้ฉันใด ก็เหมือนๆ กับภูมิธรรมและภูมิความรู้ของแต่ละศาสดานั่นเอง
ศาสดาจะรู้มากรู้น้อยไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ว่าแต่ละศาสดามุ่งสอนคนให้เป็นคนดี เพราะฉะนั้นเรื่องของศาสนา ใครจะนับถือศาสนาอะไรได้ทั้งนั้น ขอให้ประพฤติดี
การศึกษาศาสนา การเรียนธรรมะ ถ้าเพียงแค่เรียนตามตำรับตำรา แต่ไม่มีการปฏิบัติ เราก็รู้ความจริงเพียงแค่ตำรา เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ของไทย ไปเรียนต่างประเทศกลับมาแล้วทำอะไรไม่เป็น อย่างดีก็มาเขียนตำราขาย แต่สมัยนี้เขาเรียนกันเอาจริงเอาจัง เรียนรู้แล้วก็ทำเป็นด้วย ในสมัยนี้คนไทยคิดอะไรได้หลายสิ่งหลายอย่าง แต่เมื่อเสนอโครงการแล้ว รัฐบาลไม่สนับสนุน คนไทยจึงขายลิขสิทธิ์ให้ต่างประเทศหมด
คนที่มีความสามารถคิดอะไรๆ ได้ เพราะเขามีสมาธิ สมาธิไม่ได้มีเฉพาะในบ้านเมืองเรา เรื่องสมาธิเป็นเรื่องสากล คนที่ปฏิบัติสมาธิยอดเยี่ยมที่สุดที่เรารู้ในปัจจุบัน มีอยู่คนหนึ่ง คนที่สร้างจรวดไปลงดวงจันทร์ก็ยังไม่เก่ง แต่คนที่สามารถคำนวณระยะเวลากับความเร็วของจรวดตัวเล็กกับจรวดตัวแม่ที่โคจรอยู่รอบโลกเพื่อชะลอเวลาให้จรวดตัวเล็กที่ไปลงดวงจันทร์กระโดดมาเกาะตัวแม่แล้วลงมาสู่มนุษย์โลก ถ้าเขาคำนวณผิดแม้เสี้ยววินาที จรวดตัวเล็กจะต้องลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ คนนั้นเป็นคนที่ทำสมาธิเก่งที่สุด เพราะฉะนั้น นักเรียนทั้งหลายอย่าไปคิดว่าสมาธิไม่จำเป็นสำหรับชีวิตของเรา และสมาธิเราทำได้ทุกโอกาส นักเรียนเรียนหนังสือมาจนปัจจุบันนี้ก็ได้ฝึกสมาธิมาแล้ว
|
|