ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3500
ตอบกลับ: 7
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

เด็กวัด

[คัดลอกลิงก์]
เมื่อพูดถึง “ เด็กวัด ” หลายคนคงจะนึกถึงภาพของเด็กชาย หรือวัยรุ่นชายที่ถือย่าม ปิ่นโต หรือถุงกับข้าวเดินตามหลังพระภิกษุที่ออกบิณฑบาตตอนเช้า และคอยหยิบอาหารที่เต็มออกจากบาตร แต่เด็กหรือวัยรุ่นพวกนี้มาจากไหนและมีความเป็นอยู่อย่างไร อาจจะอยู่ห่างจากความคิดและวิถีการดำเนินชีวิตของเรา อย่างไรก็ดี วัดและพุทธศาสนิกชนเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงอยากจะขอนำผลงานวิจัยบางส่วนจากเรื่อง “ วัดกับเยาวชน : บทบาทของวัดในการส่งเสริมให้ศิษย์วัดประสบความสำเร็จในชีวิต ” ของ ประภาพร ชุลีลัง ซึ่งได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากสวช.มาเสนอให้ทราบถึงบทบาทของวัดในอีกแง่มุมหนึ่ง นอกเหนือไปจากการเป็นศาสนสถานที่ใช้ประกอบพิธีกรรม รวมถึงการดำรงชีวิตของเด็กวัดหรือศิษย์วัด ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้
นับแต่อดีตจนปัจจุบัน “ วัด ” นับเป็นศูนย์กลางของสังคม และตัวแทนของสถาบันทางพุทธศาสนาที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาเป็นเวลาช้านาน นอกจากจะเป็นที่พำนักของพระภิกษุผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาแล้ว วัดยังเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ทางสังคมในรูปแบบอื่นๆอีกมากมาย เช่น เป็นศูนย์กลางทางด้านการศึกษา เป็นที่พึ่งทางใจ สโมสร สถานบันเทิง ที่สอนวิชาชีพ ที่พักคนเดินทาง และฌาปนสถาน เป็นต้น กล่าวได้ว่าวัดมีบทบาทเกี่ยวข้องและผูกพัน รวมทั้งมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยและสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง
ในสมัยโบราณที่ยังไม่มีโรงเรียนเช่นปัจจุบัน เด็กผู้ชายมักถูกส่งเข้ามาอยู่ที่วัด เพราะวัดเป็นสถานที่แห่งเดียวที่จะให้การศึกษาเล่าเรียนศิลปะวิทยาการแขนงต่างๆ โดยมีพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้มีความรู้สูงกว่าชาวบ้านเป็นผู้ประสิทธิประสาทวิชาความรู้ให้ทั้งทางโลกและทางธรรม รวมถึงการอบรมจรรยามารยาท ดังนั้น บุคคลไม่ว่าจะมีสถานภาพทางเศรษฐกิจเช่นไร ถ้าต้องการให้บุตรหลานได้เล่าเรียนก็จะนำไปฝากให้อยู่ที่วัด เป็นลูกศิษย์วัด คอยปรนนิบัติรับใช้พระภิกษุสงฆ์ และเมื่อมีอายุพอสมควรก็จะบรรพชาเป็นสามเณรและเรียนธรรมชั้นสูงขึ้นไป ครั้นพออายุครบ ก็จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ทำให้เด็กชายส่วนใหญ่อ่านออกเขียนได้ มีความรู้ทางศีลธรรม จริยธรรม และหลักธรรมในทางพุทธศาสนา ถือเป็นเกียรติของตนและครอบครัว และยังเป็นที่ยอมรับยกย่องของสังคม ซึ่งสมัยก่อนจะถือว่าคนที่บวชเรียนแล้วเป็น “ คนสุก ” คือ ผ่านการอบรมบ่มนิสัยมาแล้ว และจะเรียกคำนำหน้าผู้ที่สึกจากพระว่า “ ทิด ” เช่น ทิดขาว เป็นต้น

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-23 15:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ปัจจุบัน แม้ว่าบทบาทของวัดจะลดน้อยลงไปกว่าเดิมในเรื่องการให้การศึกษา เพราะโรงเรียนได้แยกจากวัดแล้วก็ตาม แต่หน้าที่การให้ความสงเคราะห์ในเรื่องที่อยู่อาศัยแก่เด็กหรือเยาวชนที่มาศึกษาเล่าเรียนก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะเยาวชนจากส่วนภูมิภาค ซึ่งที่ผ่านมา บุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงและมีบทบาทในสังคมจำนวนไม่น้อยก็เริ่มต้นมาจากการใช้ชีวิตอยู่ในวัด โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้ให้ความอนุเคราะห์

“ เด็กวัด ” หรือศิษย์วัดในสมัยก่อน มักจะเป็นลูกหลานที่พ่อแม่ ผู้ปกครองส่งมาศึกษาหาความรู้กับพระภิกษุสงฆ์ ส่วนสมัยนี้ เด็กวัดมีเพิ่มขึ้นหลายประเภท เช่น เด็กเร่ร่อน ถูกทอดทิ้ง ไม่มีบิดามารดา เด็กที่ผู้ปกครองฐานะยากจน เด็กที่พ่อแม่มีลูกหลายคนและเลี้ยงไม่ไหว เด็กที่พ่อแม่เสียชีวิตไปแล้ว หรือไปทำงานต่างถิ่น เด็กที่มาจากครอบครัวแตกแยก รวมถึงชาวเขาเผ่าต่างๆจากชายแดนที่ฐานะยากจน เป็นต้น

สำหรับผลวิจัยที่ผู้วิจัย ได้เลือกวัดที่เป็นกรณีศึกษา ๕ แห่ง คือวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร วัดชนะสงคราม วัดราชาธิวาส และวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร ด้วยการศึกษาจากเอกสาร การบอกเล่า การสังเกตและการสัมภาษณ์ทั้งพระภิกษุและศิษย์วัด พบว่า วัตถุประสงค์ ของการมา เป็นศิษย์วัดส่วนใหญ่ก็ยังคล้ายกับอดีต คือ มาอยู่เพื่อการศึกษาเล่าเรียน ในสถาบันการศึกษาที่ตั้งอยู่กรุงเทพฯ โดยการจะมาเป็นศิษย์วัดใดได้นั้น จำเป็นจะต้องมีบุคคลที่อาจจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง ที่รู้จักกับเจ้าอาวาสหรือพระภิกษุในวัด หรือมีเพี่อนที่เคยเป็นศิษย์วัดเป็นผู้แนะนำมา ซึ่งมีศัพท์เรียกเฉพาะว่า “ มาตามสาย ” แต่ส่วนใหญ่ศิษย์วัดมักจะมีภูมิลำเนาเดียวกับพระภิกษุที่มาอาศัยอยู่ด้วย

เมื่อเข้ามาอยู่วัดแล้ว ก็จะอยู่ในความดูแลของพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งในคณะ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าคณะอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งพระภิกษุที่เป็นผู้ปกครองโดยตรงของศิษย์วัดจะเป็นผู้ดูแลความเป็นอยู่ ตลอดจนให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตนของศิษย์วัดทั้งในด้านระเบียบ วินัย ความประพฤติ กิริยามารยาท และการศึกษาเล่าเรียน โดยพระภิกษุแต่ละรูปก็จะมีวิธีการขัดเกลาศิษย์เพื่อให้อยู่ในสังคมชาววัดแตกต่างกันไป เช่น ให้สังเกตจากการปฏิบัติของพระภิกษุที่เป็นผู้ปกครองเป็นแบบอย่าง หรือจากเพื่อนศิษย์วัดด้วยกัน หรือให้ศิษย์รุ่นพี่เป็นผู้แนะนำในเรื่องต่างๆ ซึ่งการปกครองศิษย์วัดในวัดที่เป็นกรณีศึกษานั้น จะมีข้อกำหนดที่ใช้เป็นแนวปฏิบัติของผู้อยู่ในวัดทั้งพระภิกษุ สามเณร และศิษย์วัด เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะที่เรียกว่า “ กติกาสงฆ์ ” หรือ “ ระเบียบวัด ” เช่น ศิษย์วัดต้องไม่เสพสิ่งเสพติดให้โทษทุกชนิด ไม่เที่ยวเตร่ยามค่ำคืน และให้ความเคารพต่อพระภิกษุสามเณรที่มีวัยวุฒิสูงกว่า ฯลฯ
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-23 15:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ส่วน กิจกรรมของศิษย์วัด ส่วนใหญ่จะประกอบด้วย การติดตามพระภิกษุไปบิณฑบาต การจัดสำรับถวายพระ การดูแลความสะอาดในบริเวณกุฏิและภายในวัด การอำนวยความสะดวกแก่พระภิกษุ รวมทั้งกิจกรรมอื่นๆ เช่น การสวดมนต์ไหว้พระและเข้าร่วมประชุมศิษย์วัด การช่วยเหลือเมื่อวัดมีงานสำคัญ การฝึกตอบกระทู้ธรรม การติดตามพระภิกษุไปในกิจนิมนต์ในงานพิธีการต่างๆ เป็นต้น

สำหรับบทบาทของ “ วัด ” ที่เป็นองค์กรหนึ่งของสังคมในการส่งเสริมให้ศิษย์วัดประสบความสำเร็จในชีวิต ซึ่งในที่นี้ หมายถึง การมีตำแหน่งหน้าที่การงาน มีอาชีพ มีฐานะมั่นคง หรือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในสังคมนั้นพบว่า การที่ศิษย์วัดได้อาศัยวัดเป็นที่พักอาศัยโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า และวัดยังได้อนุเคราะห์เรื่องอาหารการกิน ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่จำเป็นบางส่วน ทำให้ลดภาระของพ่อแม่ผู้ปกครอง และเป็นการเพิ่มโอกาสในการศึกษาแก่ศิษย์วัด และจากการที่วัดเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ที่มีความสงบร่มเย็น ทำให้ศิษย์วัดมีสมาธิในศึกษาทบทวนบทเรียนเพิ่มขึ้น อีกทั้งวัดยังมีพระภิกษุซึ่งเป็นผู้นำทางจิตใจและสติปัญญาช่วยกล่อมเกลาจิตใจ อบรมศีลธรรมจรรยา และช่วยชี้นำความประพฤติ ทำให้ศิษย์วัดมีความรับผิดชอบต่อตนเอง มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา และมีมานะพยายาม การที่ศิษย์วัดได้พบปะผู้คนมากมายที่มีพื้นฐานแตกต่างกันที่มาวัด ทำให้ได้เรียนรู้การปรับตัวเข้าหาผู้อื่น มีความอดทน รู้จักการมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และเป็นปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคม ซึ่งจากการศึกษาของผู้วิจัย พบว่า ศิษย์วัดในอดีตที่ประสบความสำเร็จในการศึกษา มีอาชีพมั่นคง บางคนรับราชการในตำแหน่งสำคัญๆ เป็นนักการเมือง นักธุรกิจ ที่มีชื่อเสียง ก็ล้วนเป็นผลมาจากการที่บุคคลเหล่านี้เข้ามาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ได้พบและสัมผัสแต่สิ่งดีๆ ทำให้เกิดความรู้สึกอยากปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีงามตามแบบอย่างที่ได้พบเห็น อันนำมาซึ่งการประสบความสำเร็จในชีวิตดังกล่าว

จากที่เล่ามาข้างต้น จะเห็นว่า แม้เด็กวัดจะมาจากที่ต่างๆนานา แต่ส่วนมากเมื่อเข้ามาอยู่ใน “ วัด ” เป็น “ เด็กวัดหรือศิษย์วัด ” แล้ว ต่างก็ต้องอยู่ในระเบียบวินัย มีกฎกติกาที่อาจจะมากกว่าอยู่ “ บ้าน ” ด้วยซ้ำ ดังนั้น “ วัด ” จึงมีส่วนอย่างมากในการกล่อมเกลาจิตใจ และปลูกฝังคุณธรรมให้กับเด็กและเยาวชนเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญของชาติต่อไปในอนาคต



อมรรัตน์ เทพกำปนาท
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
ที่มาภาพ : http://www.watthasai.net/dekwat.html
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-23 15:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผมเองก็เคยเป็นเด็กวัด
เพราะสมัยเด็กเห็นคนที่เป็นคนใหญ่คนโต
ในบ้านเมือง ต่างก็บอกว่าเคยเป็นเด็กวัดมาก่อน

สมัยที่ผมเป็นเด็กวัดข้อดี ก็คือทุกๆวันจะได้ทำวัดเช้าเย็น
มันอาจเป็นเรื่องน่าเบื่อ สำหรับผมในตอนนั้น
แต่พอมองย้อนกลับไปจากวันนี้ ผมเชื่อเหลือเกินว่า
นั้นคือความสุขจริงๆๆ ความสุขที่บริสุทธืใจ
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-23 15:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-23 15:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

Metha ตอบกลับเมื่อ 2013-11-23 15:40
ผมเองก็เคยเป็นเด็กวัด
เพราะสมัยเด็กเห็นคนที่เป็นคน ...

ครับ  ได้ใกล้ชิดพุทธศาสนาอย่างแนบแน่น

เมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ น้องศรมักจะแวะไปช่วยพระท่านล้างถ้วย ชาม บ่อยๆครับ



8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-3-10 10:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2015-3-10 06:24
ครับ  ได้ใกล้ชิดพุทธศาสนาอย่างแนบแน่น

เมื่อก่อนตอน ...

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้