|
ณ โดมของวิมานะทางเดินผู้โดยสาร ก็มีเสียงที่ไพเราะเพราะพริ้งกล่าวประกาศขึ้นมาว่า
"rama flight number seven for Bali, Easter Island, Nazka, and Atlantis is now ready for boarding. Passengers please proceed to gate number….หรือ สายการบินพระรามเที่ยวที่หมายเลข 7 ที่จะไปบาหลี เกาะอีสเตอร์ นาซก้า และแอตแลนติส ตอนนี้พร้อมแล้วค่ะ เชิญท่านผู้โดยสารเดินไปที่ประตูได้เลยค่ะ" ข้อความนี้เค้าแปลมาจาก Rongo จารึกที่พบบนเกาะอีสเตอร์ ดูเอาเถอะครับว่ามันช่างน่าอัศจรรย์ใจดีแท้ !!! ทางด้านทิเบตก็ไม่ธรรมดาครับมีจารึกกะเค้าอีกเหมือนกัน
"Bhima flew along in his car, resplendent as the sun and loud as thunder…
the flying chariot shone like a flame in the night sky of summer..
it swept by like a comet..
it was as if two sun were shining.
Then the chariot rose up and all heaven brightened"
ก็บรรยายถึงลักษณะของพาหนะบินได้ที่ส่องสว่างดุจดวงอาทิตย์และเสียงดังราวฟ้าผ่า บินดุจดั่งดาวหางใน Mahavira of Bhavavhuti (มหาวีระของภวภูติ ) ก็ยังมีจารึก มีอายุราว 8,000 ปี หลังจากทำการแปลแล้วได้ความตามนี้ เค้ากล่าวไว้ว่า
มีการบรรทุกคนจำนวนนึงไปยังอโยธยาด้วยพาหนะที่บินได้ และบนท้องฟ้าเต็มไปด้วยพาหนะเช่นนี้ทั้งขนาดเล็กและใหญ่ กลางคืนสว่างดุจกลางวันด้วยแสงเหลืองนวลพราวท้องฟ้า เหมือนเป็นการอพยพผู้คนด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างนึง
ทีนี้ลองมาดูกลอนฮินดูโบราณดูบ้าง (เค้าว่าเก่าแก่กว่าของอินเดียทั้งหมดซะอีก) ที่ชื่อว่า Vedas ที่บรรยายถึงวิมานะในรูปร่างต่างๆ กัน เช่น
Ahnihotra Vimana มี เครื่องยนต์ 2 ตัว แต่ Elephant Vimana มีเครื่องยนต์มากกว่านั้น และวิมานะชนิดอื่นก็ตั้งตามชื่อสัตว์ต่างๆ กันไปเช่น วิมานะนกกระเต็น Kingfisher Vimana หรือ วิมานะนกช้อน Ibis Vimana จากจารึกนี้วิมานะชื่อไม่เหมือนทางอินเดียเลย วิมานะจากจารึกของฮินดูน่าจะมีหลากหลายชนิดกว่า แต่ก็เป็นที่น่าเสียครับว่าท้ายที่สุดวิมานะก็ถูกนำมาใช้ในการสงคราม ชาว Atlantean หรือ Asvin ที่ชอบการศึกสงครามเป็นอย่างยิ่ง และความเจริญทางด้านเทคโนโลยีที่สูงเจริญกว่า มียานบินที่เรียกว่า Vailixi มีรูปร่างคล้ายซิการ์ สามารถที่จะแล่นไปยังใต้น้ำได้ดุจดังแล่นบนท้องฟ้า หรือแม้กระทั่งอวกาศ เข้าสู้รบกับทางด้านอินเดียโบราณที่มี Vimana เป็นอาวุธและมีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีที่ด้อยกว่า จากบันทึกของ Eklal Kueshana ได้เขียนหนังสือเรื่อง
The Ultimate Frontier ในปี 1966 มีตอนนึงกล่าวว่า
Vailixi ถูกสร้างและพัฒนาเมื่อ 20,000 ปีมาแล้วในแอตแลนติส โดยลักษณะหน้าตัดเป็นสี่เหลี่ยมคางหมูพร้อมด้วยเครื่องยนต์ 3 ตัวข้างใต้ พวกเขาได้ใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่าอุปกรณ์ต่อต้านแรงโน้มถ่วงเป็นตัวขับโดยมีแรงม้าประมาณ 80,000 แรงม้า" มหาศาลมาก
ในมหาภารตะและรามายณะก็กล่าวถึงสงครามระหว่างพระรามและแอตแลนติส โดยใช้อาวุธเข้าทำลายล้างกันเมื่อประมาณ 10,000 - 12,000 ปีก่อนเอาไว้ด้วย ก็เป็นที่แน่นอนละครับว่าสงครามที่เกิดขึ้นนั้นหนักหนาสาหัสมาก เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีอาวุธมหาประลัยทำลายล้างด้วยกันทั้งสองฝ่าย จนกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ บางจารึกก็กล่าวว่าสมรภูมิรบบางทีก็เป็นบนดวงจันทร์ เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียที่มีสาเหตุมาจากอาวุธนิวเคลียร์ แต่ภายหลังก็จบลงด้วยความพินาศของทั้งสองฝ่าย
ต่อมานักโบราณคดีได้พบกับโครงกระดูกมากมายนอนเรียงรายอยู่ตามถนน บ้างก็กุมมือกันไว้เหมือนกับว่าโดนหายนะมาเยือนโดยฉับพลันหรือไม่ก็รู้ว่าหนีไม่พ้น ทั้งยังพบรังสีมากมายในโครงกระดูกนี้ และสถานที่รอบๆ กำแพงเมืองหินหลอมเป็นเนื้อเดียวกันดั่งโดนความร้อนที่สูงมากอย่างนั้นละ ไม่ใช่พบแต่ในอินเดียเท่านั้น ไอร์แลนด์ สก็อตแลนด์ ฝรั่งเศส ตุรกี ก็ยังพบปรากฏการณ์ที่ว่านี้อีกด้วย ไม่เท่านั้นน่ะซิครับ เค้ายังพบอีกว่าผังเมืองที่ว่าได้ถูกวางเอาไว้อย่างดี ระบบประปาก็ดีเหมือนดังที่ใช้กันในปัจจุบันในอินเดียและปากีสถาน เค้ายังสำรวจต่อไปอีกและพบเศษแก้วจับตัวกันเป็นก้อนดำๆ ซึ่งจากการนำไปวิเคราะห์ก็พบว่ามันเป็นเศษหม้อดินเหนียวที่ถูกความร้อนสูงเผาจนกลายเป็นลักษณะดังกล่าว ซึ่งที่แอตแลนติสจมลงและการหายไปของอาณาจักรพระรามของอินเดียโบราณก็เพราะสงครามครั้งนี้นั่นเอง จากนั้นโลกก็กลับกลายมาเป็นยุคหินอีกครั้งนึง
และประวัติศาสตร์โฉมใหม่ของมนุษย์ชาติก็เกิดขึ้นมาอีกราว 2,000-3,000 ปีต่อมา แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องราวของวิมานะจะหายไปเสียหมด ก็ยังปรากฎอยู่ในหน้าประวัติของพระเจ้าอโศกดังที่กล่าวไปแล้วตอนต้น มีเรื่องราวแถมตอนท้ายอีกหน่อยครับเกี่ยวพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้กรีฑาไพร่พลไปเข้ายังอินเดีย เมื่อ 2,000 ปีล่วงมาแล้ว ก็เจอเข้า "flying saucer" มาลอยอยู่เหนือกองทัพ แต่เจ้าสิ่งนั้นก็มิได้ปล่อยลำแสงหรืออาวุธอันใดออกมาทำร้ายยังกองทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์แต่อย่างใด และเป็นคาดกันว่า Vimana หรือ Vailixi อาจจะถูกซุกซ่อนอยู่ตามถ้ำในทิเบตหรือเอเชียตอนกลาง และทางตะวันตกของจีนก็เป็นได้
นอกจากนั้นจากบนจารึกใบปาล์มยังแสดงถึงโลหะผสมที่ไม่ทราบชนิดซึ่งบ้างก็จารึกเรื่องราวและรายละเอียดของดวงดาวต่างๆ แสง สี ความร้อนและสนามแม่เหล็ก วิธีสร้างเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่สามารถดูดแสงสุริยะแล้วนำมาวิเคราะห์และแปลงเป็นพลังงาน และยังรวมไปถึงการขนส่งผู้คนที่อยู่ห่างไกลและข้อความด้วยเคเบิล และยังผลิตเครื่องมือหรือเครื่องจักรที่สามารถส่งผู้คนไปยังดวงดาวต่างๆ ได้ ก็เป็นที่น่าเสียว่าปัจจุบันวิทยาการต่างๆ เหล่านี้แทบจะไม่หลงเหลือมายังยุคปัจจุบันเท่าไหร่ จะมีก็เพียงแต่จารึกโบราณที่บ่งบอกความเจริญทางด้านเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของอารยธรรมสมัยก่อน แล้วก็ล่มสลายลงไป แล้วเราละจะเดินตามรอยเหล่าบรรพบุรุษของหรือไม่ อันนี้ก็สุดที่จะหยั่งรู้ได้ครับ สำหรับอนาคตในวันข้างหน้า
|
|