ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 4335
ตอบกลับ: 6
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หลวงพ่อไปล่ ฉันทสโร วัดกำแพง

[คัดลอกลิงก์]


พระมหาเถราจารย์แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงวิทยาคุณเข้มขลัง ทรงฌานอภิญญาแก่กล้า มากด้วยบุญญาภินิหาร
เมื่อครั้งที่ "หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง" และ "หลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง" ยังมีชีวิตอยู่ เป็นที่ล่วงรู้ถึงกิตติศัพท์ของท่านทั้งสองว่า "สุดยอด" สมัยนั้นใครมีเหรียญวัดหนัง จะไม่กล้าแหยมกับคนที่แขวนเหรียญวัดกำแพง เจอกันครั้งใดก็กินกันไม่ลง เพราะ "เหนียว" ทั้งคู่ ประสบการณ์ของเหรียญทั้งสองวัดเด่นชัดในเรื่องคงกระพันชาตรี เป็นที่นิยมของนักเลงจริงในยุคนั้น เล่าขานกันว่า ขนาดโดนรุม 10 ต่อ 1 ยังรอดมาได้ ทั้งมีด ไม้ กระบอง ลูกซองปืนพก ไม่มีเลือดตกยางออกให้ได้เห็นแม้แต่น้อย
ด้วยพุทธคุณอันลือลั่น และประสบการณ์อันลือเลื่องจึงทำให้เหรียญของท่านทั้งสองเป็นที่หมายปองของนักเลงพระ ส่งผลให้ราคาค่านิยมสูงขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งปัจจุบันต้องพูดกันที่ "หลักแสน" ซึ่งถือว่าคุ้มค่าเพราะว่ารูปแบบของเหรียญทั้งสองสำนักคงความเป็นเอกลักษณ์ที่งดงามด้านศิลปะที่คนรุ่นใหม่ไม่อาจเลียนแบบได้
หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ชื่อเสียงอาจจะดังกว่าหลวงพ่อไปล่ เพราะเหรียญของท่านติดอันดับ "ท็อปไฟว์" ชุดเบญจภาคีเหรียญ แต่เรื่องเวทวิทยาคมต้องบอกว่า "ข่ม" กันไม่ลง ชาวบางขุนเทียนและคนฝั่งธนบุรียกนิ้วให้ว่า "ไม่ธรรมดา" ทั้งคู่ โดยเหรียญของหลวงพ่อไปล่นั้นมีคำขวัญว่า "มีเหรียญหลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง ใครจะมาฆ่าแกงก็ไม่ต้องกลัว ถึงไหนถึงกัน คงกระพันชาตรีดีนักแล"
พระเทพสิทธินายก (หลวงพ่อเลียบ) อดีตเจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร เทเวศร์ และวัดเลา ซึ่งเป็นศิษย์อุปัชฌาย์องค์เดียวกัน เคยกำชับพวกนักเลงว่า อย่าไปเล่นกับท่านวัดกำแพงนะ ท่านเป็นคนจริง อย่าไปทำแหยให้ท่านเห็นเป็นอันขาด อาจจะหมดลายไปเลยทีเดียว
ชื่อเสียงของท่านโด่งดังถึงขั้นถูกบรรจุเป็นคำขวัญของเขตบางขุนเทียนคือ "หลวงพ่อไปล่วัดกำแพง แหล่งเกษตรกรรม วัฒนธรรมมอญบางกระดี่ พื้นที่ทะเลกรุงเทพฯ"
"หลวงพ่อไปล่" เกิดวันอังคาร เดือน 6 ปีวอก พ.ศ. 2403 มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านหมู่ที่ 6 ต.บางบอนใต้ อ.บางขุนเทียน จ.ธนบุรี เป็นบุตร นายเหลือ นางทอง นามสกุล "ทองเหลือ" ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เมื่ออายุ 8 ขวบ ได้ไปศึกษาหนังสือไทยและขอมกับหลวงพ่อทัต วัดสิงห์
ต่อมาเมื่ออายุครบบวช ก็ได้เข้าอุปสมบทที่วัด กำแพง มี หลวงพ่อทัต วัดสิงห์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อพ่วง วัดกก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อดิษฐ์ วัดกำแพง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า "ฉันทสโร" หลังบวชแล้วท่านได้สนใจศึกษาทางธรรมอย่างเอาจริงเอาจัง
หลังจากบวชแล้ว "หลวงพ่อไปล่ ฉันทสโร" อยู่จำพรรษาที่วัดกำแพง กรุงเทพฯ ศึกษาพระธรรมวินัย ท่องบทสวดมนต์จนจบทุกบททุกคัมภีร์ จดจำได้แม่นยำ และเกิดเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ครบหนึ่งพรรษาแล้วเลยไม่ยอมสึก พอพรรษาที่ 2 ก็พยายามจนท่องพระปาฏิโมกข์ได้ และขอถ่ายทอดวิชาด้านกรรมฐานและวิปัสสนาธุระกับพระอุปัชฌายะและคู่สวดซึ่งล้วนแต่เชี่ยวชาญทางนี้
ด้านพุทธาคมได้เรียนวิชาเมตตามหานิยม เช่น ผง 108 ขี้ผึ้งสีปากจากหลวงพ่อพ่วง วัดกก เรียนทางคงกระพันชาตรี ทำผ้าประเจียดแดงกับหลวงพ่อดิษฐ์ วัดกำแพง นอก จากนี้ ยังได้ไปขอเรียนวิชาไสย ศาสตร์เวทมนตร์ เช่น วิชาผูกหุ่นพยนต์จากหลวงพ่อคง อาจารย์รุกขมูลธุดงค์ จนมีวิชากล้าแข็ง
แม้ท่านเก่งขนาดไหนแต่ไม่เคยคุยโอ้อวด ชอบดำรงตนแบบสมถะ ไม่ทะเยอทะยานในลาภยศ มีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ กวาดกุฏิเอง ของส่วนตัวทำเอง ไม่เคยใช้ให้ใครทำ ขยันในการทำวัตรสวดมนต์เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัยชอบความมีระเบียบเรียบร้อย
"หลวงพ่อเลียบ วัดเลา" เคยสนับสนุนให้ท่านได้สมณศักดิ์เป็นพระครู ท่านกลับพูดเป็นคำคมว่า ฉันไม่อยากเป็น"ครูพระ"หรอก สอนตัวเองก็พอใจแล้ว เพราะการเป็น"พระครู" หมายถึงต้องเป็นครูสอนพระ นั่นเพราะท่านไม่ได้หวังเป็นใหญ่เป็นโตอะไร ไม่สนใจเรื่องยศช้างขุนนางพระตามคำกล่าวของคนโบราณ ส่วนตำแหน่งสมภารท่านก็ไม่เคยสนใจ แต่ขัดชาวบ้านไม่ได้ก็จำเป็นต้องรับ ใครมีลูกหลานส่วนใหญ่จะมาให้ท่านบวช เพราะเลื่อมใสศรัทธาในจริยาวัตรและอยากได้ของขลังของดีจากท่าน
ปี พ.ศ.2478 คณะศิษยานุศิษย์ร่วมกันบำเพ็ญกุศลฉลองอายุให้ท่าน ในงานนี้ได้ออกเหรียญรูปท่านเต็มองค์ห่มลดไหล่สมาธิ เป็นเหรียญหล่อทำรูปคล้ายจอบ ด้านหลังเหรียญมีอักษรไทยว่า "ที่ระฤก ๒๔๗๘" วันเทเหรียญปรากฏว่า สายสิญจน์ ในพิธีตกลงมาถูกเทียนชัยจี้อยู่จนหมดเวลาพิธี ปรากฏว่าสายสิญจน์ไม่ไหม้เป็นที่น่าตื่นเต้น เพราะขณะนั้นท่านนั่งปรกบริกรรมด้วยจิตเป็นสมาธิแน่วแน่
ท่านชอบเสกเดี่ยว ไม่ค่อยไปร่วมพิธีกับใคร โดยกล่าวเป็นนัยว่า การไปรวมกันไม่รู้ว่าใครจะแน่ สู้เดี่ยวไม่ได้ และเหตุที่สร้างเหรียญรูปจอบ ก็เพราะจอบเป็นสัญลักษณ์เครื่องมือสำคัญในการเพาะปลูก ชาวสวนชาวนาต้องพึ่งจอบ ซึ่งเหรียญรุ่นนี้มีประสบ การณ์มาก ใครที่รับแจกไปห้อยคอสมัยนั้นรับประกันเรื่องความเหนียว มีดหรือปืนไม่ระคายผิวหนัง ถึงขนาดที่ว่าแมลงวันไม่ได้กินเลือด
วัตถุมงคลของ หลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง กรุงเทพฯ นอกจากเหรียญจอบยอดนิยมแล้ว ยังมีเหรียญรูปไข่ สร้างเนื้อสัมฤทธิ์ และทองเหลืองฝาบาตร ที่ต้องทำเป็นเหรียญหล่อท่านบอกว่าพิธีเข้มข้นกว่าเหรียญปั๊มมาก และเหรียญรุ่นนี้ก็มีประสบการณ์ดังมาก
คำขวัญของเหรียญมีว่า "มีเหรียญหลวงพ่อไปล่วัดกำแพงใครจะมาฆ่าแกงก็ไม่ต้องกลัว ถึงไหนถึงกันคงกระพันชาตรีดีนักแล"
ต่อมาในงานล้างป่าช้าวัดกำแพง ท่านได้ออกเหรียญเป็นรูปพระพุทธ เนื้อโลหะทองเหลือง เรียกว่า "รุ่นล้างป่าช้า" ใช้ได้ผล มีคนนิยมมากเช่นกัน การแจกเหรียญของท่านไม่กะเกณฑ์ในเรื่องเงินทอง ใครจะทำบุญก็ทำ ใครจะมาขอฟรีท่านก็แจกให้
หลวงพ่อไปล่ท่านมีกระแสจิตกล้าแข็ง คราวหนึ่งเจ้าคุณพระพุทธพยากรณ์ (เจริญ อุปวิกาโส) วัดอัปสรสวรรค์ (วัดหมู) ศิษย์เอกองค์หนึ่งของพระภาวนาโกศลเถร (หลวงปู่เอี่ยม) วัดหนัง ได้มานิมนต์ให้ไปนั่งปรกในงานหล่อพระ ท่านบอกว่าให้บอกเวลามาว่าพิธีจะเริ่มเมื่อไหร่ แล้วท่านก็นั่งทำสมาธิอยู่ที่กุฏิ โดยไม่ต้องเดินทางมาถึงวัด พอถึงเวลาปลุกเสก พระอาจารย์ที่นิมนต์มาจะเห็นร่างหลวงพ่อไปล่ปรากฏนั่งสมาธิอยู่ในพิธีด้วย เรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันทั่วไป
ในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ลูกศิษย์คนหนึ่งถูกเกณฑ์ไปร่วมรบได้มาขอของดีจากท่านเพื่อเอาไปคุ้มครองตัว ท่านได้เสกก้อนหินข้างทางรถไฟให้หนึ่งก้อน ศิษย์คนนั้นเห็นแล้วจะไม่เอาก็เกรงท่านจะว่า จึงนำหินก้อนนั้นถักลวดแขวนคอติดตัวไปสนามรบ ปรากฏว่าไม่เคยมีอันตรายและไม่เคยป่วยไข้ ปืนในสนามรบยิงมาเท่าไหร่ก็ไม่ถูกเลย
หลวงพ่อไปล่ มรณภาพด้วยอาการอันสงบเมื่ออายุ 79 พรรษา 59 มีคนเล่าว่าแม้จะมรณภาพไปแล้ว หนังก็ยังเหนียว พวกสัปเหร่อเอามีดตบแต่งศพก็เฉือนไม่เข้า ต้องจุดธูปจุดเทียนบอกกล่าวขอขมา แม้กระนั้นก็ยังเฉือนไม่เข้า และศพก็แห้งไปเฉยๆ ไม่มีกลิ่นเน่าเหม็น ทั้งนี้ เพราะท่านรักษาศีลบริสุทธิ์นั่นเอง
ในวันเผาศพมีผู้คนไปร่วมงานกันมากมายหลายจังหวัด ทั้ง คนใหญ่คนโต คนธรรมดาสามัญหลายชั้นวรรณะ และท่านได้แสดงอภินิหารให้เป็นที่ประจักษ์ โดยพวกศิษย์ได้นำพลุ ตะไล ไฟพะเนียง ดอกไม้เพลิงมาจุด ปรากฏว่าด้านหมดเนื่องจากท่านไม่ชอบเสียงอึกทึกครึกโครม แต่พองานเลิกได้นำมาจุดใหม่ เกิดดังสนั่นหวั่นไหว กลายเป็นเรื่องเล่าขานมาจนทุกวันนี้







ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
เหรียญจอบรุ่นแรกราคาไปไกลเกินเอื้อม...
เหรียญจอบรุ่นสอง...ราคายังพอจับได้แต่ต้องได้มาจากคนที่เชื่อถือได้จริงๆ ( เพราะมีเหรียญบล็อกแท้แต่ไม่ได้เข้าพิธี ) ต่อให้เป็นเหรียญที่โค็ตหางกระรอกก็ตาม
ปล. ผมเองยังไม่มีเก็บเลยเหรียญจอบรุ่นสองขนาดไปบูชาที่วัดในงานประจำปี( ตอนเหรียญออก ) เพราะเหรียญจอบหมดเร็วมาก...แต่ได้บูชาเหรียญ รูปไข่ออกวาระเดียวกัน....
เครดิตภาพจกาเวปพระ
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-1-23 15:03 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
morntanti ตอบกลับเมื่อ 2016-1-23 02:26
เหรียญจอบรุ่นแรกราคาไปไกลเกินเอื้อม...
เหรียญจอบรุ่น ...

๏ก้อนหินเสกหลวงพ่อไปล่ หยุดกระสุน!! ๏
กล่าวถึงตำนานหลวงพ่อไปล่วัดกำแพง พระเถราจารย์ผู้มีพุทธาคมเข้มขลัง มีพลังจิตตานุภาพอันสูงส่งในยุคสงครามมหาเอเชียบูรพาหลวงพ่อไปล่เป็นหนึ่งในบรรดาพระเถราจารย์ผู้มีพุทธาคมเข้มขลังที่ขึ้นชื่อมากในยุคนั้น  ในเรื่องคงกระพันชาตรีหนังเหนียว วัตถุมงคลที่ท่านสร้างและเสกไว้ล้วนทรงอิทธิคุณเข้มขลัง  มีปาฎิหาริย์ปรากฎมากมาย แม้แต่ก้อนหินข้างทางด้วยพลังจิตตานุภาพและตบะบารมีอันสูงส่งของหลวงพ่อไปล่ ท่านก็สามารถเสกให้เป็นเครื่องรางอันเข้มขลังเปี่ยมด้วยฤทธิคุณแม้คมกระสุนที่ว่าร้ายกาจก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ วันนี้“ตำนานเล่าขานพระผู้ทรงฌานอภิญญาครูบาอาจารย์ผู้เรือวงวิชาอาคม” ขอนำเรื่องราวอิทธิปาฎิหาริย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อไปล่ มาเล่าสูกันฟัง ดังเรื่องราวปาฎิหาริย์ก้อนหินเสกของหลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง  อันเป็นเรื่องที่ฮือฮาที่เล่าขานกันมาจนทุกวันนี้  

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
                  เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาปะทุขึ้น ไทยจำต้องส่งทหารกล้าเข้าสู่สงครามอันร้อนแรงในยุคคนั้น  ศิษย์หลวงพ่อไปล่คนหนึ่ง ( สุดใจ  เปรมชื่น) ก็เป็นหนึ่งในพลทหารกล้าที่เดินทางเข้าสู่สนามรบ  ก่อนจะไป ด้วยความศรัทธาในกิตติคุณของหลวงพ่อไปล่ จึงออกเดินทางไปขอของดีจากหลวงพ่อไปล่ แห่งวัดกำแพง เพื่อไว้ยึดเหนี่ยวและเป็นขวัญกำลังใจในสนามรบ   ด้วยบุญวาสนาของสุดใจ จึงได้มีโอกาสพบหลวงพ่อไปล่ที่ริมทางรถไฟสายมหาชัย  พอสุดใจเห็นว่านั้น คือหลวงพ่อไปล่  ก็เกิดปิติดีใจอย่างยิ่งตรงริ่วเข้ากราบนมัสการ แล้วขอของดีจากท่าน  
หลวงพ่อไปล่บอกว่า  “ฉันไม่ได้เอาของดีอะไรติดยามมาเลยแล้วท่านจึงบอกให้สุดใจหยิบก้อนหินข้างทางรถไฟขึ้นมาก้อนหนึ่ง”
เมื่อนายสุดใจหยิบก้อนหินยกขึ้นถวายท่าน หลวงพ่อไปล่รับมาแล้วท่านก็เสกบริกรรมคาถาในตอนนั้นเลย แล้วมอบให้  พร้อมกล่าวให้พรขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย  
นายสุดใจเมื่อรับก้อนหินเสกจากหลวงพ่อไปล่แล้ว ก็ก้มกราบลาท่าน  เดินทางเข้าสู่จุดร่วมพลและต่อด้วยการเดินทางเข้าสู่สนามรบอันกำลังปะทุเดือน เมื่อนายสุดใจเข้าสู่สงครามด้วยอานุภาพก้อนหินเสกของหลวงพ่อไปล่ คุมกระสุนจากปลายกระบอกปืนของอริศัตรูไม่อาจแม้แต่จะระะคายผิวของเขาได้จนเพื่อนๆทหารกล้าที่ไปด้วยกันต่างสงสัยและไตร่ถามถึงเครื่องรางของขลังที่นายทหารสุดใจพกติดตัว  
ส่วนนายทหารสุดใจเมื่อเพื่อนทหารไตร่ถามเสร็จมือก็พรางล่วงเอาก้อนหินเสกของหลวงพ่อไปล่ที่ตนพกติดตัวในชายพกออกมาให้เพื่อนๆดูคนทั้งหลายพอเห็นแล้ว ก็อยากจะทดลองอานุภาพอีกครั้งจึงขอลองด้วยการนำก้อนหินไปวางแล้วเอาปืนยิง ปรากฎว่า ไม่ว่าจะยิงยังไง สับไกปืนสักกี่ครั้ง  ก็ยิงไม่ออก เรื่องเล่านี้เป็นอีกหนึ่งตำนานเล่าขานที่แสดงให้เห็นถึงฤทธานุภาพและบารมีของหลวงพ่อไปล่วัดกำแพง พระเถราจารย์ชื่อดังยุคสงครามมหาเอเชียบูรพาผู้มีพุทธาคมอันเข้มขลัง  ฯ

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้