ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 31166
ตอบกลับ: 11
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หลวงพ่อยี วัดดงตาก้อนทอง

[คัดลอกลิงก์]
ประวัติหลวงพ่อยี วัดดงตาก้อนทอง




จากคำบอกเล่าต่างๆ นั้นทำให้ได้ทราบว่า หลวงพ่อยีเป็นชาวจังหวัดลพบุรี เมื่อเล็กๆ อายุได้ 8 ขวบ ได้อาศัยอยู่กับพระภิกษุรูปหนึ่ง ไม่ทราบชื่อแน่นอน แต่หลวงพ่อยีเรียกว่า หลวงพ่อใหญ่ได้ธุดงค์ออกป่าหลายแห่งจนอายุได้ 21 ปี หลวงพ่อยีจึงอุปสมบทเป็นพระธุดงค์ ออกเดินแบกกลดสะพายบาตรไปเรื่อยๆ พักตามป่าตามเขาทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ เคยเข้าไป ถึงพม่า เวียงจันทร์ มาลายู


                หลวงพ่อยี ท่านเล่าว่าท่านได้เดินธุดงค์หาความวิเวก จนจิตใจมองเห็น นรก สวรรค์ ยามที่ออกโปรดสัตว์ในตอนเช้า จะมีเทวดา นางฟ้า มาตักบาตรให้ตลอดเวลา ได้บวชเป็นพระถึง 28 พรรษา อายุประมาณ 50 ปี


                เมื่อเล็งเห็นว่า ตนเองยังมีกรรมอยู่ จำเป็นต้องสิกขาบทออกมาเป็นฆราวาส หลังจากนั้นก็ท่องเที่ยวไปหลายๆ จังหวัด ใช้ชีวิต แบบฆราวาสเต็มที่ จนครั้งสุดท้ายได้มาหักร้างถางพง ณ บริเวณที่เป็นวัดดงตา ก้อนทองนี้ สมัยนั้นยังเป็นป่ารกชัฏอยู่มีที่ดินทั้งหมด 565 ไร่

                เคยประกอบอาชีพเป็นอาจารย์สัก อยู่ยงคงกะพันชาตรีให้กับลูกศิษย์ลูกหาอยู่พักหนึ่ง ต่อมาได้ออกบวชอีกเป็นครั้งที่ 2 หลวงพ่อยีได้ตกได้ตกลงใจยกที่ดินถวายเป็นของสงฆ์เสียส่วนหนึ่ง


                สิ่งก่อสร้างที่สำคัญที่สุดของวัดดงตาก้อนทอง คืออุโบสถ์ใช้เวลาในการสร้างเพียง 1 ปี 6 เดือนเท่านั้น แต่ในการรวบรวมปัจจัยมาเป็นค่าวัสดุ และแรงงานใช้เวลานานพอสมควรทีเดียวงบประมาณในการก่อสร้างสูงถึง 6-7 ล้านบาท การขนส่งวัสดุอุปกรณ์ต้องใช้ทางเกวียน เพราะสถานที่ในการก่อสร้างอยู่ห่างไกลมาก อย่างไรก็ตามด้วยบารมีของหลวงพ่อยี งานก่อสร้างอุโบสถก็สำเร็จเรียบร้อยทุกประการ และยังเป็นถาวรวัตถุที่งดงามอยู่มาตราบจนถึงทุกวันนี้ ตัวโบสถ์กว้าง10 วา ยาว 20 วา สูง 12 วา ชั้นบทเป็นโบสถ์ใต้ถุนสูง ชั้นล่างใช้ทำกิจกรรมทางศาสนาแทนศาลาการเปรียญได้นับว่าเป็นโบสถ์อเนกประสงค์หลังหนึ่งสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ภายในวัดนั้น มีปัญหาธรรมอยู่หน้าโบสถ์ คือ มีรูปปั้นพระพุทธรูปปางสมาธิขนาใหญ่ 1 องค์ นั่งบังพระพุทธรูปขนาเล็กไว้ ปัญหาธรรมนี้ ผู้พบเห็นก็ขบคิดกันเอาเอง อีกด้านหนึ่งมีรูปปั้นคนขี่ช้าง ถัดมาด้านซ้ายมือเป็นป่ามะม่วงหนาทึบ มีพระพุทธรูปในอิริยาบถต่างๆ ตั้งอยู่เรียงรายเป็นระยะๆ  มีรูปเคารพของศาสนาพราหมณ์อยู่หน้ากุฎิพระ มีโรงครัวขนาใหญ่โต แสดงถึงจำนวนญาติโยมที่มาทำบุญที่วัดนี้ ซึ่งเคยรุ่งเรืองในอดีต



                โยมผวน โตมา  ศิษย์ผู้หนึ่งของหลวงพ่อยีใต้เล่าให้ฟังว่า ก่อนจะมาเป็นโบสถ์หลังนี้ หลวงพ่อยีใต้ปัจจัยในกาสร้างโบสถ์มาจากการใช้อิทธิฤทธิ์ต่างๆ ช่วยให้ลูกศิษย์มีฐานะร่ำรวยขึ้นแล้วบรรดาลูกศิษย์เหล่านั้นก็นำเงินไปช่วยท่านในภายหลัง ท่านสามารถเสกกระดาษให้เป็นใบละร้อย เสกดินให้เป็นทองคำ เสกใบไม้ให้เป็นเงินหรือแม้บางครั้งก็เสกใบไม้เป็นกบนำมาทำอาหารกินกันอย่างเอร็ดอร่อยก็เคยปรากฏแล้ว หรือเรื่องการบิณฑบาตข้าวทิพย์จากเทวดาก็ตามหลวงพ่อท่านเดินออกไปห่างจากครัวไม่ถึง 10 เมตร ท่านยืนทำสมาธิที่ต้นมะม่วงใหญ่ ไม่นานนักก็เดินกลับมาพร้อมด้วยข้าวสวยร้อนๆ เต็มบาตร ข้าวทิพย์นี้มีกลิ่นหอมมาก ทิ้งไว้ก็ไม่บูด แต่จะแห้งไปเองเหมือนข้าวตาก


                จากการที่ท่านสร้างอุโบสถ์นี้ทำให้ท่านต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ บ่อยๆ สถานที่พักของท่านก็คือที่โรงเรียนตะละภัฎศึกษา การแสดงฤทธิ์อภิญญาของท่านก็กระทำเป็นประจำจนถึงบั้นปลายชีวิต หลวงพ่อถูพวกมิจฉาทิฎฐิ กล่าวหาว่าท่านหลอกลวง แต่ด้วยสัจจะบารมีของท่าน อิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์ ที่ท่านแสดงให้ปรากฏก็เป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่บุคคลสำคัญๆ ระดับประเทศในขณะนั้น เช่น จอมพลถนอม  กิตติขจร รองนายกรัฐมนตรี นายสัญญา  ธรรมศักดิ์ ประธานศาลฎีกา พันเอกปิ่น  มุทุกันต์ อธิบดีกรมการศาสนาและนายประกอบ  หุตะสิงห์ อธิบดีศาลอุทธรณ์ เป็นต้น


                หลวงพ่อยี ท่านสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ด้วยตาว่า ท่านแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ได้จริงหรือไม่ จากคำให้สัมภาษณ์ของอธิบดีกรมการศาสนา คือพันเอกปิ่น  มุทุกันต์ ในขณะนั้นว่าหลวงพ่อยีใต้นำบาตรมาให้ตนดูและได้เป็นคนเช็ดบาตรด้วยตนเองหลวงพ่อยีอุ้มบาตรออกไปยืนที่นอกชานกุฎิห่างจากผู้สังเกตการณ์ไม่ถึง 10 เมตร ท่านยืนนิ่ง หันหน้าไปแต่ละทิศ แล้วเปิดฝาบาตร ทำนองรับบาตรจากผู้ใส่เหมือนกับที่เราใส่บาตรทุกอย่าง แล้วหลวงพ่อยีก็เรียกอธิบดีกรมการศาสนาเข้าไปหา ท่านส่งบาตรให้ พอยื่นมือไปรับมารู้สึกว่าบาตรหนักอึ้ง เปิดฝาขึ้นดูปรากฏว่ามีข้าวสุกร้อนๆ เต็มบาตรมีกลิ่นหอมอบอวล เป็นข้าวชนิดมันปู ก้นบาตรมีลูกประคำทองอยู่ 2 ก้อน ขนาดใหญ่โตกว่าเม็ดข้าวโพด ซึ่งภายหลังเมื่อได้นำเข้ากรุงเทพฯ ให้ช่างทองบ้านหม้อดูก็เป็นทองคำบริสุทธิ์





                นอกจากจะพิสูจน์เรื่องนี้แล้ว หลวงพ่อยียังเสกเหรียญเงินให้เป็นทองคำก็ได้ด้วย หลวงพ่อท่านแบ่งให้อธิบดีกรมการศาสนาครึ่งหนึ่งให้ประธานศาลฎีกาครึ่งหนึ่ง ให้ประธานศาลฎีกาครึ้งหนึ่ง ครั้นเมื่อนำไปพิสูจน์ที่ร้านทอง ก็ปรากฏว่าเป็นทองบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน
                ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดหลวงพ่อยี เช่น คุณสมหมาย-คุณณรงค์ศักดิ์  ตะละภัฎ  คุณยรรยง ณ บางช้าง และลูกศิษย์อื่นๆ อีกมากมาย ก็สามารถที่จะยืนยันได้เป็นเสียงเดียวกันว่า หลวงพ่อยีท่านมีอิทธิฤทธิ์  บุญฤทธิ์ สูงส่งมากมายเพียงใด


                ในระยะที่ผู้คนฮือฮากันถึงเรื่องความมหัศจรรย์ที่หลวงพ่อยี ท่านได้กระทำขึ้นนั้น พระราชมุนี (โฮมโสภโณ) แห่งวัดปทุมวนาราม ก็เป็นพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งที่ต้องมาพิสูจน์ถึงความเท็จจริงนี้ให้เป็นประจักษ์หลวงพ่อถาวร ซึ่งในขณะนั้นเป็นศิษย์ใกล้ชิดที่สุดของพระราชมุนีโฮมก็ได้ติดตามมาด้วย และภายหลังก็ได้มาที่วัดดงตาก้อนทองอีกหลายครั้ง เพื่อศึกษาเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์กับหลวงพ่อยี จนกระทั่งได้ประจักษ์แจ้งได้รู้ ได้เห็น เป็นที่ยอมรับว่า ทุกสิ่งเป็นจริงทุกประการ ไม่มีสิ่งใดเคลือบแคลงสงสัยอีกเลย  หลวงพ่อยี ท่านมรณภาพ เมื่อปี พ.ศ.2515 เก็บศพใส่โลงทองไว้ในกุฎิทางด้านจังหวัดพิจิตร ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ได้สั่งเสียไว้กับศิษย์ใกล้ชิด คือโยมผวน  โตมา ถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับวัดดงตาก้อนทอง นี้คือ ให้โยมผวนเป็นผู้ดูแลรักษาโบสถ์นี้ไว้อย่าไปอยู่ที่อื่น รอจนกว่าหลวงพ่อที่ 2 จะมารับช่วงต่อ



2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-18 07:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
รูปนี้หายากนะครับ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2013-8-19 07:56

พระคาถาหลวงพ่อยี


ได้ใช้พระคาถา  สวดมนต์ภาวนามาเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว จึงปารถนาที่จะให้ทุกคนได้มีใว้สำหรับ
สวดภาวนาระลึกถึงท่านให้ปกป้องคุ้มครองตนเอง...
จุดธูป ๙ ดอก  พระคาถา
ที่นำมากล่าวในที่นี้ เป็นพระคาถาที่เขียนขึ้นมาจากลายมือของหลวงพ่อในสมุดของท่าน

บรรดาญาติโยมของท่าน ได้คัดลอกออกมาเผยแพร่แก่สาธารณะชนทั่วไปที่เคารพในตัวท่าน



ตั้ง นโม ๓ จบ..


บทที่ ๑.มหาปัญโญ   มหาเตโช   อุกาสะวันทามิ
             ภันเต   อาจาริโย   ปุณนะยีติ   { ภาวนา ๓ จบ}


บทที่ ๒.นะภันทะลัง   กัมมัง   อะโหสิภุมิมาเต
             นะภันเต   จะตุนะ   ปัจจะ   นะมามิ   { ภาวนา ๓ จบ}


บทที่ ๓.โอมพระเจ้าอยู่เบื้องตา   พระธรรมเจ้าอยู่เบื้องปาก
              ตัวกูขอฝากไว้ในดวงจิต   เอหิมามะ   กะรินิติ   พรหมมัสสามิ
              จิตกูนิ่งอยู่ที่พุทธัง   ตัวกูอยู่ที่พระอรหัง   เอหิมามะ   {ภาวนา ๑๐๘ จบ}


บทที่ ๔.มะธะนะ   ภันธะนัง   นิมิตตัง เตมหาภันธะนัง
             นะนิมิต   ตัสสะ   ปุณนะมิ   นังกะโรมิ   { ภาวนา ๓ จบ}


ควรสวดภาวนาก่อนนอน   ระลึกถึง...หลวงพ่อยี


ขอบพระคุณครับ
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-14 07:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-12-11 18:06
ขอบพระคุณครับ

9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-9-15 07:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-9-16 07:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้