ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 24070
ตอบกลับ: 4
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

พนง.กกต.สุดทน ร่อนเอกสารฟ้อง”นายกฯ”แฉ 5 เสือ กกต.เหินฟ้าทัวร์นอก ใช้งบอื้อ

[คัดลอกลิงก์]
พนง.กกต.สุดทน ร่อนเอกสารฟ้อง”นายกฯ”แฉ 5 เสือ กกต.เหินฟ้าทัวร์นอก ใช้งบอื้อ

  
วันที่: 18 เม.ย. 59 เวลา: 11:31 น. by ศรีสกุล








พนง.กกต.สุดทน ร่อนเอกสารฟ้อง”นายกฯ”แฉพฤติกรรม 5 เสือกกต.หลังเหินฟ้าทัวร์นอก ผลาญงบ5 ล้านต่อครั้ง วิจารณ์แซดคาดฝีมือกลุ่มอำนาจของเลขาเก่า ผนึกกำลังภายนอกหวังเปลี่ยนยกชุด หวั่นโปรแกรมทัวร์ทำกระทบการออกระเบียบเตรียมงานประชามติ เหตุองค์ประชุมไม่ครบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 เมษายน ได้มีการเผยแพร่หนังสือร้องเรียนสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ระบุถึงนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าเป็นพนักงานกกต. ผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์ในหมู่นักการเมือง ผู้บริหารสำนักงานกกต. ข้าราชการหน่วยงานอื่น รวมถึงผู้สื่อข่าว โดยมีใจความสำคัญระบุว่า ตามที่ท่านเคยมีคำสั่ง ห้ามข้าราชการไปดูงานต่างประเทศเพราะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินนั้น คณะกรรมการกกต. ตีความแล้วบอกว่า ท่านห้ามเฉพาะข้าราชการ แต่กกต. ไม่ใช่ราชการ ฉะนั้นจึงไปได้ และจากนั้นมาคณะกรรมการ กกต. ไปดูงานต่างประเทศกันเป็นว่าเล่น โดยอาศัยดูงาน 1 วันและเที่ยว 5-8 วัน โดยขนทีมที่ปรึกษาไปเกือบทั้งหมดทุกครั้ง เสียงบประมาณ ครั้งละ 2-5 ล้านทุกครั้ง

หนังสือร้องเรียนระบุต่อว่า ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่ กกต.ต้องมีบทบาทอย่างยิ่งในการปฏิรูปประเทศ ต้องเตรียมจัดทำประชามติ เตรียมความพร้อมของการลงคะแนน แต่คณะกรรมการ กกต. ทั้ง 5 คน สนใจที่จะพานักศึกษาหลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง(พตส.)ไปดูงานต่างประเทศ โดยแบ่งเป็น 4 ประเทศ คือ อเมริกา ออสเตรีย สกอตแลนด์ และเกาหลี จัดให้มีเหลื่อมวันไป เพื่อจะได้ไปให้มากที่สุด โดยอ้างว่าจะไปดูการเลือกตั้ง แต่กำหนดการ คือ ดูเลือกตั้ง 1 วัน อีก 8-10วันที่เหลือเที่ยว

หนังสือร้องเรียนระบุด้วยว่า นอกจากนี้ กกต. ชุดนี้ ยังจัดสรรงบประมาณ การดูงานของนักศึกษา จากเดิมหัวละ 50,000 บาท ก็เพิ่มให้เป็นหัวละ 70,000 บาท ทั้งๆที่นักศึกษา กลุ่มนี้มีอันจะกินกันทุกคน และงบประมาณนี้ก็เป็นงบประมาณแผ่นดินทั้งสิ้น และช่วงนี้การเงินของ กกต. ก็ฝืดเคือง แต่คณะกรรมการ กกต. ก็คิดที่จะตัดเงินที่พึงจะได้ของพนักงานออก และเอาไปเพิ่มให้นักศึกษากลุ่มนี้


“สำหรับคณะกรรมการกลุ่มนี้ นอกจากจะเบิกค่าเดินทางค่าอาหารและที่พักตามสิทธิแล้ว ยังเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงตามสิทธิอีกด้วย ทั้งๆ ที่ทัวร์คิดรวมหมดแล้ว ไม่ต้องมีเบี้ยเลี้ยง แต่ก็ยังเบิกกันเต็มที่ และสำหรับค่าทัวร์ เช่น เกาหลี ปกติ ค่าทัวร์ 5-7 วันประมาณ 30,000-40,000บาท แต่ทัวร์ของ กกต. ชุดนี้ 70,000 บาท และเมื่อเทียบกับทัวร์อื่นแล้ว ไม่แตกต่างกัน นั่นคือ มีการกินหัวคิวค่าทัวร์ ส่วนทัวร์ประเทศอื่น ก็มีเก็บเงินเพิ่ม แต่มากน้อย เช่น ออสเตรีย เพิ่ม 2,000 บาท จริงๆแล้วอ่านตามหนังสือพิมพ์ ค่าทัวร์ 8 วัน 60,000-70,000 บาทก็พอ แต่ก็ทำเป็นเก็บเงิน ” หนังสือร้องเรียน ระบุ


หนังสือร้องเรียน ยังระบุด้วยว่่า  อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการละทิ้งหน้าที่อันสำคัญ ที่ควรจะเดินสายไปจังหวัดต่างๆ เพื่อเตรียมการลงประชามติ  พนักงานกกต. ก็ได้แค่ทำตามคำสั่ง ไม่สามารถออกเสียงอะไรได้ เพราะถ้าใครไม่เชื่อก็จะถูกรังแก เหมือนเลขาธิการ กกต. ที่ถูกปลดออกไป ทั้งนี้ช่วงท้ายของหนังสือร้องเรียนดังกล่าวระบุด้วยว่า “ถ้าเขาอยากไปเที่ยว ก็ให้ไปเถอะ ขอคณะกรรมการชุดใหม่ มาทำหน้าที่ แทนได้ไหมคะ”
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ทั้งนี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กลุ่มที่อ้างตัวเป็นพนักงานกกต.ลักษณะเดียวกันนี้ ก็ได้มีการทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อกกต.กรณีมีแนวคิดจะตัดเงินค่าตอบแทนต่างๆของพนักงาน เพื่อแก้ไขปัญหางบประมาณสำนักงานกกต.ไม่เพียงพอพร้อมมีการตั้งคำถามต่อผู้บริหารกกต.ว่าจะยอมเสียสละค่าตอบแทนก่อนเพื่อไม่ให้กระทบพนักงานหรือไม่ มาแล้วครั้งหนึ่ง และการเผยแพร่ก็กระทำในทำนองเดียวกัน ทำให้มีการวิเคราะห์กันในหมู่ผู้บริหารกกต.ว่า การกระทำดังกล่าวน่าจะมาจากพนักงานกลุ่มอำนาจเก่าที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งสำคัญในกกต.เพราะข้อมูลในหนังสือร้องเรียนทั้งสองครั้งนั้น ไม่ใช่ข้อมูลที่พนักงานกกต.ทั่วไปจะทราบ นอกจากนี้ยังเห็นว่าลักษณะการเผยแพร่ข้อมูลมีการเชื่อมกับผู้มีอำนาจภายนอกองค์กรโดยมุ่งหวังให้มีการเปลี่ยนกกต.ยกชุด เพื่อที่ต้องการวางฐานใหม่ใน

องค์กรกกต.
ขณะเดียวกันโดยข้อเท็จจริงการไปศึกษาดูงานต่างประเทศของกกต.ร่วมกับนักศึกษาพตส. ในครั้งนี้ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในหมู่พนักงานกกต.ถึงความเหมาะสมค่อนข้างมากเนื่องจากเป็นช่วงที่กกต.ต้องรับผิดชอบการจัดออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ แต่กกต.กลับติดภารกิจไปต่างประเทศโดยตามกำหนดการระหว่างวันที่ 8-15 เมษายนที่ผ่านมา นายประวิช รัตนเพียร และนายธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์ ต้องเดินทางไปดูงานที่ประเทศเกาหลี แต่นายประวิชได้ตัดสินใจยกเลิกเพราะต้องการไปร่วมประชุมระหว่างกกต.กับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่11 เมษายนที่ผ่านมา

ขณะที่วันที่ 19-26 เมษายน นายศุภชัย สมเจริญ ประธานกกต.จะเดินทางไปดูงานที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งช่วงเวลาเดียวกันนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ก็จะเดินทางไปดูงานประเทศออสเตรีย โดยจะออกเดินทางวันที่ 18 เมษายน ส่วนนายบุญส่ง จะเดินทางไปดูงานที่ประเทศสก็อตแลนด์ในเดือนพฤษภาคม จึงทำให้เกรงว่าจะกระทบต่อการเตรียมงานจัดการออกเสียงประชามติ ยิ่งในช่วงสัปดาห์นี้ที่คาดการณ์ว่าร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญจะมีผลใช้บังคับ และกกต.จะต้องมีการประชุมพิจารณาเพื่อออกระเบียบสำคัญอย่างน้อย4ฉบับรองรับ ประกอบด้วย1.ระเบียบว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2.ระเบียบการพิจารณาการคัดค้าน 3.ระเบียบการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และการจัดสรรเวลาออกอากาศ และ4.ระเบียบการใช้จ่ายเงินในการออกเสียงฯ ดังนั้นการไปต่างประเทศของกกต.อาจมีผลกระทบให้การออกระเบียบต่างๆล่าช้าไป หรือกรณีมีปัญหาร้องเรียนจากการรณรงค์ที่อาจเกิดขึ้นแล้วต้องการให้กกต.วินิจฉัยโดยเร็วว่าทำได้หรือไม่ เนื่องจากกกต.จะมีปัญหาองค์ประชุม เพราะแม้มาตรา 8 ของพ.ร.บประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกกต.จะกำหนดว่า องค์ประชุมต้องไม่น้อยกว่า 3 คน แต่บทบัญญัติหลักก็กำหนดให้3ใน4ของกรรมการเท่าที่มีอยู่เป็นองค์ประชุมซึ่งที่ผ่านมากกต.ตีความว่าต้อง4คนจึงเป็นองค์ประชุม อีกทั้งกรณีเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งในทางปฎิบัติที่ผ่านมากกต.จะยึดว่าต้องอยู่ครบ5คนจึงพิจารณาวินิจฉัย

http://www.matichon.co.th/news/108650





2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-4-20 06:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2016-4-20 06:51

บิ๊กตู่ป้องหลานชายไม่ผิด ท้าฟ้องศาล-ยันตั้งกันทุกปี ฉุน ต้องเปลี่ยนนามสกุลไหม (คลิป)
  
วันที่: 19 เม.ย. 59 เวลา: 17:35 น. by วรวิทย์




บิ๊กตู่ป้องหลานชายไม่ผิด ท้าฟ้องศาล
-ยันตั้งกันทุกปี ฉุน ต้องเปลี่ยนนามสกุลไหม (คลิป)



“บิ๊กตู่” ยันตั้งหลานชายเป็นทหารทำได้ ไม่ผิดกฎหมาย ฉุน “จะให้เปลี่ยนนามสกุลหรืออย่างไร” ยืนยันยึดตามระเบียบทำตามปกติ

เมื่อเวลา 14.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์กรณีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้งบุตรชายของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นหลานชายเข้ารับราชการทหารว่า “เรื่องการแต่งตั้งลูกน้องชาย ปัดโธ่ เขาก็แต่งตั้งกันทุกปี เขาเปิดกันทุกปี เป็นการแข่งขันส่วนหนึ่ง อีกส่วนเป็นการคัดเลือกจากคณะกรรมการระดับบน แล้วปลัดกลาโหมก็เซ็นชื่อไปในฐานะที่ได้รับมอบอำนาจให้เซ็นชื่อ จริงๆ ไอ้นี่มันก็ซื่อ จริงๆ ไม่ควรเซ็นด้วยซ้ำไป แต่มันก็ไม่ได้ จะให้คนอื่นเซ็นเพราะเป็นเรื่องของกฎหมาย เอาล่ะ ผมไม่ตอบดีกว่าในเรื่องนี้ ผมไม่ได้สนใจว่าเป็นนามสกุลเดียวกับผมเพราะผมบอกแล้วว่า ผมทำตามกฎหมาย ทำตามสิ่งที่มันมี ซึ่งถ้าทำตามกฎหมายทุกอย่างก็จบ วันนี้ก็มีคนไปฟ้องร้องก็ไปฟ้องสิ เรื่องแบบนี้เขาทำกันทุกปี ไม่ใช่เพิ่งมาทำปีนี้ให้น้อง ให้หลานเสียเมื่อไหร่”

เมื่อถามว่า จะขัดกฎหมายหรือไม่ เพราะในมาตรา 13 พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการปกครอง ห้ามไม่ให้มีการแต่งตั้งเครือญาติขึ้นดำรงตำแหน่ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เป็นคนละเรื่องกัน เรื่องนี้เป็นการแต่งตั้งทดแทนผู้ที่เกษียณอายุไป ถ้าเป็นญาติกันแล้วตั้งไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ ถือเป็นคนละขั้นตอน เป็นคนละส่วน อย่านำมาปนกัน ส่วนนั้นเป็นของกระทรวงกลาโหม ส่วนที่ทาง ป.ป.ช.รับเรื่องที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ ก็ว่าไปสิ ถ้าจะมีการสอบสวน รับเรื่องได้ก็รับไป ตนไม่ได้ว่าอะไร บอกแล้วว่าทุกอย่างก็ต้องเป็นตามระเบียบ ของเดิมที่เขาทำไว้ก็ทำให้เกิดความชัดเจนขึ้นเท่านั้นเอง
“ผมเองก็เคยเป็น ผบ.ทบ.เก่า เคยแต่งตั้งคนมาเยอะแยะ ผมเป็น ผบ.ทบ. รับผิดชอบเรื่องกองทัพบกทั้งหมด ถ้าเหนือจากผมขึ้นไป เป็นเรื่องทางธุรการ ถ้าเป็นเรื่องของกฎระเบียบเป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหม เขาแบ่งขั้นตอน มอบอำนาจกันมาหมด ไม่อย่างนั้นจะบังคับบัญชากันไม่ได้คนมันเยอะ อย่าไปมองว่านามสกุลเดียวกับผม ไม่อย่างนั้นผมเปลี่ยนนามสกุลก็ได้ จะได้หมดเรื่อง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เมื่อถามว่า ทางปลัดกระทรวงกลาโหมระบุว่ามีการรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบแล้ว พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จะมาแจ้งทำไม เป็นเรื่องภายในของกระทรวงกลาโหมเขา ในเรื่องการแต่งตั้งตำแหน่งทดแทน การบรรจุ เลื่อนยศ ปลด ย้าย ก็เป็นเรื่องภายใน ในส่วนของตนที่เสนอเข้ามาในนามรัฐบาลก็เป็นเรื่องการเสนอขึ้นทูลเกล้าฯ ในระดับชั้นนายพล ไม่ใช่ตนหรือรัฐมนตรีแต่เป็นอำนาจของกระทรวงกลาโหมและ ผบ.เหล่าทัพ มีการแบ่งอำนาจกันเป็นทอดๆ แล้ว สำหรับตนมีการรับทราบเป็นการส่วนตัว ซึ่งความจริงไม่จำเป็นต้องรายงานให้ทราบด้วย กระทรวงกลาโหมรายงานว่ามีการแต่งตั้งในอำนาจของ รมว.กลาโหมที่มอบอำนาจปลัดกระทรวงเป็นผู้เซ็นแต่นี่ตัดตอนเฉพาะ จันทร์โอชา มาคนเดียว ตนก็เบื่อเหมือนกัน

เมื่อถามว่า เมื่อเกิดคำครหาถึงตัวนายกรัฐมนตรีจะแก้ปัญหาเพื่อให้เกิดความชัดเจนเรื่องดังกล่าวอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “มันเกี่ยวกับผมได้อย่างไร อย่างนั้น ผมต้องย้ายนามสกุลหรืออย่างไร ทุกคนมันนามสกุลเดียวกันไม่ได้หรือ เอาให้ดี พูดกันให้ชัด วันนี้ลูกหลานกำลังพลเขาก็มีการบรรจุเข้ามา ก็ถือเป็นลูกหลาน มีความไว้เนื้อเชื่อใจส่วนหนึ่ง เพราะอย่างไรก็เคยชินกับระบบวินัย พ่อแม่เป็นทหาร ก็มีข้อพิจารณาตรงนี้ด้วย ถ้ามาจากพลเรือนล้วนๆ ก็ต้องมีระบบคัดกรองเรื่องความมั่นคง รักษาความปลอดภัยขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง แล้วก็มีการคัดแยก ทั้งในเรื่องการสอบต่างๆ แล้วพวกคุณไม่ไว้วางใจผมหรืออย่างไรเล่า ทหารมีกี่เหล่า กี่หน่วย วันนี้ผมชี้แจงเฉยๆ ไม่ได้ไปตอบโต้หรือแก้ตัวแทนน้องหรือหลานผม แต่ชี้แจงว่าระเบียบมันเป็นอย่างไร และใช้กันมาอย่างไร เรื่องนี้ใช้กันมานานแล้วก็ไม่รู้สิ ขี้เกียจตอบ ไม่รู้จะตอบอย่างไร”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่เคยคิดให้บุตรสาวทั้งสองคนเป็นทหาร และลูกสาวทั้งสองไม่เคยมอง ไม่อยากจะเป็นทหาร “เห็นพ่อมันลำบากอย่างนี้ มันจะเป็นทำไม ปัดโธ่ ไม่ได้อยากเป็นนักหรอก วันนี้แทบจะไม่มีคนอยากเป็นทหารอยู่แล้ว แต่ถามว่า ถ้าไม่มีทหารแล้วจะทำอย่างไร ทำไมมายุ่งอะไรกับลูกผมอีก วันนี้ทั้งสองคนเขาไม่ได้อยากเป็นอะไร เขาก็อยากเป็นลูกผมอย่างเดียว เขามีความสุขแล้ว พอเพียง ทำงานของเขา ในเรื่องการออกแบบเสื้อปั่นจักรยาน และของใช้เล็กๆ น้อยๆ ผมเองก็ไม่ได้ไปบังคับอะไร เขาชอบแบบนี้ก็ให้เขาทำไป วันนี้เขาขายในเว็บก็ให้ไปอุดหนุนกันเอาเอง แต่ไม่บอกเพราะไม่รู้ว่าเป็นเว็บอะไร เป็นเรื่องของลูก ปัจจุบันก็มีคนสนใจเข้ามาสั่งซื้อ 300-400 ตัว โดยเฉพาะนักกีฬา ซึ่งลูกของผมเขาตัวผอมชอบออกกำลังกาย ชอบขี่จักรยานอยู่แล้ว วันละประมาณ 20 กิโลเมตร แต่ไม่ขอบอกว่าไปปั่นที่ไหน เพราะเราก็ห่วงเรื่องความปลอดภัย วันนี้ไปเรื่องลูกของผมอีกแล้ว เอาแค่หลานพอก่อน วันนี้ลูก หลาน เหลน โหลน หมดแล้ว อย่าให้ต้องพูดอะไรมาก เดี๋ยวก็มาขุดคุ้ยกันอีก ผมขี้เกียจ ถามเรื่องเสื้อกันเยอะ เดี๋ยวผมเอามาขายต้องซื้อกันนะ”



http://www.matichon.co.th/news/110326


3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-4-20 06:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
6 องค์กรสิทธิ์ออกแถลงการณ์ จี้รัฐปล่อย ‘วัฒนา ‘หยุดคุกคาม-ปิดกั้นเสรีภาพ


  
วันที่: 19 เม.ย. 59 เวลา: 21:13 น. by วรวิทย์



เมื่อวันที่ 19 เม.ย. องค์กร ด้านสิทธิมนุษยชน 6 องค์กร ประกอบด้วย สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (HRLA) มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC) มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (Enlaw) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR) สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) ออกแถลงการณ์ขอให้ยุติการคุกคาม แทรกแซงและปิดกั้นการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลต่อร่างรัฐธรรมนูญ
โดยระบุว่า รัฐธรรมนูญเป็นกติกาสูงสุดในการปกครองประเทศซึ่งกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐต่อกันเองและต่อประชาชน รัฐธรรมนูญจึงเป็นกติกาที่มีผลกระทบต่อประชาชนทั้งปวงดังนั้น กติกาที่จะออกมาบังคับใช้ดังกล่าวจำเป็นต้องผ่านการมีส่วนร่วมอย่างเข็มข้นและกว้างขว้างของประชาชน และประชาชนต้องสามารถแสดงเจตจำนงได้อย่างเสรีในการยอมรับหรือไม่ยอมรับกติกาดังกล่าว

อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นต้นมา การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องด้วยการดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญกระทำโดยคนเพียงบางกลุ่มและไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมอย่างเพียงพอในกระบวนการร่างส่วนในเชิงเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้นั้น ก็ถูกตั้งคำถามในหลายประเด็น อาทิ ประเด็นเรื่องสิทธิในการศึกษา สิทธิชุมชน สิทธิผู้บริโภค ที่มาของนายกรัฐมนตรี สส. สว. อำนาจขององค์กรอิสระ การรับรองความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการกระทำและการใช้อำนาจจาก คสช. เป็นต้น

แม้ผู้มีอำนาจจะกำหนดให้มีการลงประชามติต่อร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว แต่บรรยากาศการมีส่วนร่วมและการใช้เสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมฉบับนี้ก็ยังถูกจำกัดอยู่ โดยเฉพาะการจำกัดหรือปิดกั้นการแสดงออกในทางที่ไม่เห็นด้วยหรือวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญดังจะเห็นได้จากการที่ผู้มีอำนาจออกมาข่มขู่อยู่เสมอๆอาทิ การขู่ห้ามไม่ให้ใส่เสื้อ Vote No หรือแม้แต่ขู่ว่าจะดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้ทำการรณรงค์ในทางที่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เป็นต้น และเห็นได้ชัดจากการพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติเพิ่งมีมติเห็นเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา โดยกฎหมายฉบับดังกล่าวมีการกำหนดโทษเกี่ยวกับการทำประชามติไว้ค่อนข้างสูง ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายภายใต้สถานการณ์ที่ลุแก่อำนาจเช่นนี้ย่อมมีความเสี่ยงอย่างมากที่จะถูกตีความตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจในการไปจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน

การควบคุมตัวนายวัฒนา เมืองสุข เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2559 ที่ผ่านมาโดยเจ้าหน้าที่ทหาร หลังจากที่เขาแสดงความคิดเห็นไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการจำกัดและปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นกรณีล่าสุด ซึ่งกรณีดังกล่าวนอกจากจะเป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความเห็นแล้ว ยังเป็นการควบคุมตัวโดยอำเภอใจ ไม่มีเหตุผลอันสมควรและไม่เป็นไปตามกระบวนการที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย แม้เจ้าหน้าที่จะอ้างอำนาจตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 ในความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 39/2557 ก็ตาม แต่คำสั่งเหล่านี้ต่างเป็นกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับหลักนิติรัฐ/นิติธรรม (Rule of Law) เนื่องจากเป็นกฎหมายที่ออกมาอย่างไร้เหตุผลหรือตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ

อีกทั้งไม่สอดคล้องกับหลักแห่งความจำเป็นและหลักสัดส่วน (necessity and proportionality)[3] ประกาศหรือคำสั่งในลักษณะเช่นนี้ จึงไม่ควรถูกรับรองว่าเป็นกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ การควบคุมตัวบุคคลโดยอาศัยอำนาจตามประกาศหรือคำสั่งของ คสช.ในกรณีดังกล่าวจึงขัดต่อหลักการสิทธิมนุษยชนที่ถูกรับรองไว้ในมาตรา 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง ข้อ 9

องค์กรสิทธิมนุษยชนตามที่ปรากฏรายชื่อแนบท้ายแถลงการณ์นี้ ยืนยันว่า เสรีภาพในการแสดงความเห็นเป็นสิทธิที่ได้รับการประกันตามมาตรา 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง ข้อ 19 ที่กำหนดให้บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะถือเอาความเห็นใดก็ได้โดยปราศจากการแทรกแซงและบุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพแห่งการแสดงออก รวมถึงเสรีภาพที่จะแสวงหา รับและกระจายข่าวและความคิดเห็นทุกรูปแบบโดยไม่คำนึงถึงพรมแดน[4]เนื่องจากถือว่า หลักการนี้เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นในการที่จะส่งเสริมให้เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์[5]และเสรีภาพดังกล่าวถือเป็นกลไกสำคัญในการแลกเปลี่ยนซึ่งความคิดเห็นอันนำไปสู่การพัฒนาทางสังคม ส่งเสริมให้หลักความโปร่งใส (transparency) และความรับผิดชอบ (accountability) เกิดขึ้นเป็นจริงได้ และที่สำคัญหลักการดังกล่าวจะนำมาซึ่งการปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

องค์กรสิทธิมนุษยชนตามที่ปรากฏรายชื่อแนบท้ายแถลงการณ์นี้ จึงมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลและ คสช. ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้

1.ให้ปล่อยตัวนายวัฒนา เมืองสุข โดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข เพราะการกระทำของเขาถือเป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความเชื่อหรือความคิดเห็นโดยสันติ ภายใต้ขอบเขตที่พันธกรณีระหว่างประเทศระบุไว้ และการควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่รัฐดังกล่าวถือเป็นการควบคุมตัวโดยมิชอบและตามอำเภอใจ อีกทั้งมีการควบคุมตัวในสถานที่ไม่เปิดเผย ทำให้บุคคลที่ถูกควบคุมตัวตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง การใช้อำนาจดังกล่าวย่อมขัดต่อกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง ซึ่งประเทศไทยมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตาม

2.รัฐจะต้องเคารพและคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความเชื่อและความคิดเห็นโดยสันติวิธี รวมทั้งสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเต็มที่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขว้างถึงข้อดีและข้อเสียของร่างรัฐธรรมนูญ ตลอดจนสามารถรณรงค์ทั้งในทางสนับสนุนหรือคัดค้านได้ ซึ่งจะนำไปสู่การลงประชามติที่ประชาชนทั้งปวงมีสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเองอย่างแท้จริง (Rights to Self-Determination)

3.รัฐต้องยุติการคุกคาม ข่มขู่ แทรกแซงและปิดกั้นการใช้เสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนทุกกลุ่ม ทุกความเห็น ตลอดจนยุติการใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่ถูกสร้างขึ้นตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจมาปิดกั้นและจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกและการมีส่วนร่วมของประชาชนที่เห็นต่างจากแนวทางของรัฐ
ด้วยความเคารพในหลักการสิทธิมนุษยชน

http://www.matichon.co.th/news/110815



4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-4-20 06:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“วีระ”จวก ราชภักดิ์ยังไม่จบ มีคำสั่งลับพล.อ.ปรีชาโผล่มาอีก ถาม นี่หรือคือการปฎิรูป?


  
วันที่: 16 เม.ย. 59 เวลา: 07:55 น. by วรวิทย์








‘วีระ สมความคิด’ ถามหาความชอบธรรม คำสั่งลับพล.อ.ปรีชา บรรจุลูกชายตัวเอง เข้ารับราชการทหารได้ยศว่าที่ร้อยตรี ขณะที่โครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ที่ยังไม่ทันจางหาย มันคือการปฏิรูปบ้านเมืองของรัฐบาลคสช.แล้วหรือ?

นายวีระ สมความคิด อดีตแกนนำเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า เอาอีกแล้วเรื่องที่ควรทำกลับไม่ทำ เรื่องที่ไม่ควรทำกลับรีบ(แอบ)ทำอย่างนี้เสียหายไปถึงนายกประยุทธ์ จันทร์โอชา กรณีคำสั่งลับ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม บรรจุลูกชายตัวเอง เข้ารับราชการทหาร ได้ยศว่าที่ร้อยตรี เงินเดือน 1.5 หมื่น โดยมีอายุ 25 ปี เป็นทหารกองหนุน จบนิเทศฯ ม.นเรศวร

พร้อมถามหาความชอบธรรมอยู่ตรงไหนครับ? เปรียบสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เฉลิม อยู่บำรุง เคยยัดลูกชายเข้าไปเป็นตำรวจ คนยังด่ากันทั้งประเทศประยุทธ์-ประวิตร ยึดอำนาจบอกจะมาปฏิรูปประเทศ แต่ไม่เห็นจะปฏิรูปอะไรสักเรื่อง ขณะที่โครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ที่ยังไม่ทันจางหาย ก็มาเกิดกรณีนี้ขึ้นอีก การทำเรื่องอย่างนี้เหมือนพวกนักการเมืองชั่วทั้งหลาย มันคือการปฏิรูปบ้านเมืองของรัฐบาลคสช.แล้วหรือครับ?


http://www.matichon.co.th/news/106991



หึหึหึ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้