ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2966
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ตำนานหลวงพ่อคง วัดบางกะพี้ วัดคงสวัสดิ์วัฒนาราม จ.ชัยนาท

[คัดลอกลิงก์]
ตำนานหลวงพ่อคง วัดบางกะพี้ วัดคงสวัสดิ์วัฒนาราม จ.ชัยนาท พระมหาเถราจารย์ยุคเก่าผู้ทรงคุณวิเศษ มากด้วยบุญญาภินิหาร มีพุทธาคมแก่กล้า
‪#‎อ่านจบแล้ว‬ แชร์เป็นสังฆบูชา
หลวงพ่อคง คงฺคปญฺโญ มีเชื้อสายเป็นชาวเมืองกำแพงเพชร ตัวหลวงพ่อเองน่าจะเป็นคนท้องถิ่นบ้านประจำรัง (บึงจำรัง) ต.หาดท่าเสา อ.เมืองชัยนาท จ.ชัยนาท เพราะในปัจจุบันมีญาติของท่านสืบเชื้อสายอยู่ในหมู่บ้านประจำรัง ท่านเกิดที่ใดไม่ปรากฏหลักฐาน เกิดเมื่อวันจันทร์ ปีมะเมีย พ.ศ. 2353 เป็นปีที่2ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มรณะภาพ ปีฉลู พ.ศ.2456 ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่6 มีอายุรวม 103ปี นับว่าท่านมีอายุยืนยาวถึง 5แผ่นดิน หรือ 5รัชกาล ของพระมหากษัตริย์ไทย ท่านได้ผ่านวิวัฒนาการของโลกมาอย่างมากมาย หลวงพ่อคงเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อบุคคลโดยไม่เลือกชาติ ชั้น วรรณะบำเพ็ญ ประโยชน์ทั้งทางศาสนจักรและราชอาณาจักร หลวงพ่อน่าจะอุปสมบทใน ปี พ.ศ. 2374 ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌายะพ.ศ. 2394 ขณะอายุย่าง เข้าปีที่ 42 คือตอนปลายของรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงรัชกาลที่ 6 ท่านดำรงตำแหน่งพระอุปัชฌายะเป็นเวลาถึง 4แผ่นดิน จึงมีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง ท่านดำรงตำแหน่งพระอุปัชฌายะให้แก่ประชาชนที่จะทำการอุปสมบท ตั้งแต่รุ่นปู่จนถึงรุ่นหลาน จึงเป็นที่เคารพนับถือของบุคคลทั่วไปตลอดลุ่มน้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำน้อย ดังนั้นวัดคงสวัสดิ์วัฒนารามในยุคหลวงพ่อคงซึ่งเป็นเจ้าอาวาส จึงเฟื่องฟูเป็นที่รู้จักมักคุ้น ของบุคคลทั่วไปทั้งใกล้และไกล มีพระสงฆ์ สามเณร อุบาสก อุบาสิกาและศิษย์วัดเป็นจำนวนมาก มีถาวรวัตถุในทางพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก อาทิ อุโบสถ วิหาร ศาลาการเปรียญ กุฏิ ศาลาท่าน้ำ จัดสร้างเป็นระเบียบเป็นแถวเป็นแนวบริเวณวัด สะอาดสะอ้าน ร่มรื่นด้วย หมู่ไม้ประจำวัด เช่น พิกุล บุนนาค สารภี จำปี จำปา กรรณิการ์ ฯลฯ เป็นที่เจริญตาเจริญใจของผู้ที่ได้มาพบเห็นเป็นรมณียสถานเป็นสถานที่ศึกษา เป็นที่เผยแพร่ศีลธรรม วัฒนธรรม ของชาติอย่างดียิ่ง เป็นสถานพยาบาล และอำนวยประโยชน์ แก่ประชาชนโดยทั่วไปฯลฯ

หลวงพ่อคงเป็นผู้มั่นคงในพระธรรมวินัย สงเคราะห์ อนุเคราะห์ประชาชนด้วย สังคหวัตถุ4 มีพรหมวิหารธรรม จึงเป็นผู้ประกอบด้วยอภินิหารอันน่ามหัศจรรย์เป็นอันมาก ศิษย์ของหลวงพ่อทั้งฆาราวาสและบรรพชิตจำนวนมากมายนั้น ในเวลาต่อมา ได้เป็นพระเกจิอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพระเถระผู้ใหญ่ เป็นเจ้าอาวาสวัดต่างๆหลายองค์และหนึ่งในหลายๆองค์ ที่เป็นเกจิอาจารย์ที่มีอิทธิปาฏิหารย์อย่างยิ่งที่ชาวไทยและชาวต่างประเทศหลายคนรู้จักดีคือ "หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า" อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ผู้เป็นอาจารย์ของพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อดีตเสนาบดีกระทรวงทหารเรือในรัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี


5 . ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี พ.ศ.2485โจรผู้ร้ายชุกชุมทั่วทุกหัวระแหง โดยเฉพาะภาคกลางในเขตเมืองชัยนาท ถูกปล้นแทบไม่เว้นแต่ละวันชาวบ้านต่างนอนตาไม่หลับอยู่กันด้วยความหวาดระแวง ไม่รู้ว่าจะถูกปล้นวันไหน สิ่งของเครื่องใช้ที่มีค่าก็ถูกฝังไว้ กลางคืนก็เข้าไปนอนในสวน เป็นการรักษาชีวิตให้ปลอดภัย บนบ้านเรือนก็มีแต่ภาชนะหม้อข้าวหม้อแกง ที่เป็นดินเผา สิ่งที่ทำด้วยโลหะจะเก็บฝังดิน ในระหว่างนั้นชาวบ้านที่ดำเนินชีวิตตามปกติ คงมีแต่ชาวบ้านประจำรังเท่านั้น ไม่มีแม้แต่บ้านเดียวที่ถูกโจรปล้น ทั้งนี้เพราะบารมีหลวงพ่อ ผู้เล่าเคยถาม นายคำ โพธิ์ชัย ชาวบ้านประจำรังซึ่งปลกบ้านอยู่โดดเดี่ยวห่างไกลจากผู้คนหลายกิโลเมตร ซึ่งเป็นป่าเปลี่ยว ว่า "รู้สึกกลัวโจรบ้างหรือไม่"ท่านตอบว่า "ผมมีหลวงพ่อเฒ่า " (หลวงพ่อคง)เป็นที่พึ่งที่เคารพไม่เคยรู้สึกกลัวเพราะเชื่อมั่นในบารมีหลวงพ่อ
6. ความทารุณโหดร้ายของทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ในประเทศไทย ผู้ที่มีชีวิตอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่2 ต่างรู้ซึ้งดี ทหารญี่ปุุ่นไปตั้งที่ไหนก็ทำตัวเป็นนักเลงโต ข่มเหงชาวบ้านเป็นประจำ วันหนึ่งมีงานสมโภชรูปหลวงพ่อ ในงานมีลิเก ฉลองตกเย็นวันจัดงาน ทหารญี่ปุ่นกองหนึ่งยกขบวนมาจากทิศใต้ มีเรือยนต์ลากจูงเรือทหารมาหลายลำพอถึงหน้าวัดก็จอดพัก พลอยู่ที่หาดทรายหน้าวัดค่อนไปทางทิศเหนือ หุงหาอาหารเย็นกินกันแล้วตกกลางคืน ทหารญี่ปุ่นสวมเครื่องแบบคาดดาบทุกคน ก็พาไปนั่งดูลิเกด้วยความเรียบร้อย นั่งดูราวกับรูปปั้นปิดปากสนิท ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ลุกขึ้นเดินเพ่นพ่านผิดกับที่เคยเห็นที่อื่นๆหลายแห่ง ครั้นถึงเวลานอนพวกเขาก็พากันลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมกัน เดินเข้าแถวกลับที่พักแรมรุ่งขึ้นหลังอาหารเช้าก็ยกขบวนลากจูงเรือไปทางทิศเหนือ
7.เรื่องนี้พึ่งเกิดขึ้นในปีพ.ศ.2544 เมื่อประมาณเดือนกันยายน พ.ศ. 2544 เรือดูดทรายของเอกชนลำหนึ่งแล่นมาจอดดูดทรายในแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหน้าวัดตรงกับอุโบสถของวัดที่กำลังบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ ตัวอุโบสถสูงเด่นเป็นสง่าและตั้งอยู่บนเนินเมื่อมองจากแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นมาจึงค่อนข้างสูง เมื่อเรือดูดทรายลำดังกล่าวซึ่งมาใหม่ อาจจะเป็นเพราะเคยเห็นเรือดูดทรายลำอื่นเคยดูดก่อนแล้วบ้าง แต่เรือดูดทรายลำอื่นๆไม่เคยมาดูดทรายบริเวณหน้าวัด มีแต่เรือลำดังกล่าวที่มาดูดทรายตรงหน้าวัดและตรงกับอุโบสถพอดี ทราบว่า มีคนในกลุ่มเรือดูดทรายดังกล่าวได้พูดว่า "จะดูดให้โบสถ์ทรุดเลย" ซึ่งอาจจะเป็นการพูดเล่นกันในหมู่เพื่อนฝูง แต่จะเป็นการจาบจ้วงหรือไม่ ต่อมาไม่นานเรือลำดังกล่าวได้จมอยู่ตรงที่ดูดทรายบริเวณนั้นนั่งเอง เจ้าของกิจการดังกล่าวได้พยายามให้นักประดาดำน้ำช่วยค้นหา ชิ้นส่วนที่สำคัญ แต่ไม่สำเร็จ เพราะทรายไหลมาทับมากจนถอดไม่ได้ หลังจากดำน้ำได้ไม่กี่วัน นักประดาดำน้ำก็ถูกฆาตกรรม และหลังจากนั้นเสี่ยเจ้าของกิจการก็ให้เรือดูดทรายลำใหม่มาดูดทรายหน้าวัดอีก ซึ่งก็จมอีก ประชาชนต่างพูดกันว่าเป็นเพราะ กิจการเรือดูดทรายดังกล่าวไม่เคารพนับถือหลวงพ่อจึงเกิดเหตการณ์ดังกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก พระเครื่องชัยนาท








ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้