|
๕. เรื่องย่อ
ภาคสวรรค์ : กล่าวถึงสุเทษณ์เทพบุตร ซึ่งในอดีตกาลเป็นกษัตริย์ครองแคว้นปัญจาล มัทนาเป็นพระธิดากษัตริย์ของแคว้นสุราษฎร์ สุเทษณ์ได้ส่งทูตไปสู่ขอนาง แต่ท้าวสุราษฎร์พระบิดาของนางไม่ยอมยกให้ สุเทษณ์จึงยกทัพไปรบทำลายบ้านเมืองของท้าวสุราษฎร์จนย่อยยับ และจับท้าวสุราษฎร์มาเป็นเชลยและจะประหารชีวิต แต่มัทนาขอไถ่ชีวิตพระบิดาไว้ โดยยินยอมเป็นบาทบริจาริกาของสุเทษณ์ ท้าวสุราษฎร์จึงรอดจากพระอาญา จากนั้นมัทนาก็ปลงพระชนม์ตนเอง และไปเกิดเป็นเทพธิดาบนสวรรค์นามว่า มัทนา ส่วนท้าวสุเทษณ์ก็ทำพลีกรรมจนสำเร็จ เมื่อสิ้นพระชนม์ก็ไปบังเกิดบนสวรรค์เช่นกัน ด้วยผลกรรมที่เคยได้นางมาเป็นคู่ทำให้มีโอกาสได้พบกันอีกบนสวรรค์ แต่นางมัทนาก็ยังไม่มีใจรักสุเทษณ์เทพบุตรเช่นเดิม
ณ วิมานของสุเทษณ์ ได้มีคนธรรพ์เทพบุตร เทพธิดาที่เป็นบริวารต่างมาบำเรอขับกล่อมถวาย แต่ถึงกระนั้นสุเทษณ์เทพบุตรก็ไม่มีความสุข เพราะรักนางมัทนา แต่ไม่อาจสมหวังเพราะผลกรรมที่ทำไว้ในอดีต จึงให้วิทยาธรชื่อมายาวินใช้เวทมนตร์คาถาไปสะกดให้นางมายังวิมานของสุเทษณ์เทพบุตร ฝ่ายมัทนาเมื่อถูกเวทย์มนตร์สะกดมา สุเทษณ์จะตรัสถามอย่างไรนางก็ทวนคำถามอย่างนั้นทุกครั้งไป จนสุเทษณ์เทพพระบุตรขัดพระทัย รู้สึกเหมือนตรัสกับหุ่นยนต์ จึงให้มายาวินคลายมนตร์สะกด เมื่อนางรู้สึกตัวก็ตกใจกลัวที่ล่วงล้ำเข้าไปถึงวิมานของสุเทษณ์เทพบุตร สุเทษณ์เทพบุตรถือโอกาสฝากรัก มัทนาแสดงความจริงใจว่านางไม่ได้รักสุเทษณ์เทพบุตรจึงไม่อาจรับรักได้ เมื่อได้ยินดังนั้นสุเทษณ์เทพบุตรรู้สึกกริ้วนางมัทนาเป็นที่สุด จึงสาปให้มัทนาจุติจากสวรรค์ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบในป่าหิมาวันในโลกมนุษย์ และเปิดโอกาสให้นางกลายร่างเป็นมนุษย์ได้เมื่อถึงคืนวันเพ็ญเพียงหนึ่งวันกับหนึ่งคืนเท่านั้นเมื่อใดที่นางมีรักเมื่อนั้นจึงจะพ้นคำสาปและกลายร่างเป็นมนุษย์ได้อย่างปกติ หากเมื่อใดที่นางมีทุกข์เพราะความรักก็ให้นางอ้อนวอนต่อพระองค์จึงจะยกโทษทัณฑ์ให้ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าสาเหตุของปมขัดแย้งในเรื่อง คือ สุเทษณ์รักนางมัทนาแต่นางไม่รักตอบ
ภาคพื้นดิน : พระฤๅษีได้ขุดเอาดอกกุหลาบจากป่าหิมาวันไปปลูกไว้กับอาศรม เมื่อคืนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง นางจะปรากฏโฉมเป็นมนุษย์มาปรนนิบัติรับใช้พระฤๅษี วันหนึ่งท้าวชัยเสนกษัตริย์แห่งนครหัสดิน เสด็จประพาสป่ามาถึงอาศรมพระฤๅษี ตรงกับคืนวันเพ็ญที่มัทนากลายร่างเป็นมนุษย์ และได้พบกับท้าวชัยเสนและเกิดความรักต่อกัน พระฤๅษีจึงจัดพิธีอภิเษกให้ ชัยเสนได้พานางกลับนครหัสดิน ท้าวชัยเสนหลงใหลรักใคร่นางมัทนามาก ทำให้นางจัณฑีมเหสี หึงหวง และอิจฉาริษยา จึงทำอุบายให้ท้าวชัยเสนเข้าใจผิดว่ามัทนาเป็นชู้กับนายทหารเอก นางมัทนาจึงถูกสั่งประหารชีวิต แต่เพชฌฆาตสงสารจึงปล่อยนางไป
นางมัทนากลับไปยังอาศรมพระฤๅษีและวิงวอนให้สุเทษณ์เทพบุตรช่วย สุเทษณ์เทพบุตรได้ขอความรักนางอีกครั้งหนึ่งแต่นางปฏิเสธ สุเทษณ์เทพบุตรจึงสาปให้นางเป็นดอกกุหลาบตลอดไป
บทวิเคราะห์
๑. คุณค่าด้านเนื้อหา
๑. โครงเรื่อง เป็นบทละครพูดคำฉันท์ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคิดโครงเรื่องเอง ไม่ได้ตัดตอนมาจากวรรณคดีเรื่องใด แก่นสำคัญของเรื่องมีอยู่ ๒ ประการ คือ
๑) ทรงปราถนาจะกล่าวถึงตำนานดอกกุหลาบ ซึ่งเป็นดอกไม้ที่สวยงาม แต่ไม่เคยมีตำนานในเทพนิยาย จึงพระราชนิพนธ์ให้ดอกกุหลาบมีกำเนิดมาจากนางฟ้าที่ถูกสาปให้จุติลงมาเกิดเป็นดอกไม้ชื่อว่า "ดอกกุพฺชกะ" คือ "ดอกกุหลาบ"
๒) เพื่อแสดงความเจ็บปวดอันเกิดจากความรัก ทรงแสดงให่เห็นว่าความรักมีอนุภาพอย่างยิ่ง ผู้ใดมีความรักก็อาจเกิดความหลงขึ้นตามมาด้วย ทรงใช้ชื่อเรื่องว่า "มัทนะพาธา" อันเป็นชื่อของตัวละครเอกของเรื่อง ซึ่งมีความหมายว่า "ความเจ็บปวดหรือความเดือดร้อนอันเกิดจากความรัก" มีการผูกเรื่องให้มีความขัดแย้งซึ่งเป็นปมปัญหาของเรื่อง คือ
๒.๑ สุเทษณ์เทพบุตรหลงรักนางมัทนา แต่นางไม่รับรักตอบจึงสาปนางเป็นดอกกุพฺชกะ (กุหลาบ)
๒.๒ นางมัทนาพบรักกับท้าวชัยเสน แต่ก็ต้องพบกับอุปสรรคเพราะนางจันทีมเหสีของท้าวชัยเสนวางอุบายให้ท้าวชัยเสนเข้าใจนางมัทนาผิด สุดท้ายนางมัทนาได้มาขอความช่วยเหลือจากสุเทษณ์เทพบุตร และสุเทษณ์เทพบุตรขอความรักนาง อีกครั้งแต่นางปฏิเสธช่นเคย เรื่องจึงจบลงด้วยความสูญเสียและความเจ็บปวดด้วยกันทุกฝ่าย
๒. คุณค่าด้านวรรณศิลป์
๑. การใช้ถ้อยคำและรูแบบคำประพันธ์เหมาะสมกับเนื้อหา ทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกคล้อยตาม เกิดความประทับใจอยากติดตามอ่าน เช่น เมื่อมายาวินเล่าเรื่องราวในอดีตถวายสุเทษณ์ว่าเหตุใดมัทนาจึงไม่รักสุเทษณ์ กวีเลือกใช้อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ ที่มีท่วงทำนองเร็วเหมาะแก่การเล่าความ หรือบรรยายเรื่อง ส่วนเนื้อหาตอนสุเทษณ์ฝากรักนางมัทนานั้นใช้วสันตดิลกฉันท์ ซึ่งมีท่วงทำนองที่อ่อนหวาน เมื่อสุเทษณ์กริ้วนางมัทนาก็ไช้ กมลฉันท์ ซึ่งมีคำครุลหุที่มีจำนวนเท่ากันแต่ขึ้นต้นด้วยคำลหุ จึงมีทำนองประแทกกระทั้นถ่ายทอดอารมณ์โกรธเกรี้ยวได้ดี ดังตัวอย่าง
มะทะนาชะเจ้าเล่ห์ ชิชิช่างจำนรรจา,....
....................................
ก็และเจ้ามิเต็มจิต จะสดับดนูชวน,
ผิวะให้อนงค์นวล ชนะหล่อนทนงใจ.
บ่มิยอมจะร่วมรัก และสมัครสมรไซร้,
ก็ดะนูจะยอมให้ วนิดานิวาศสวรรค์,....
๒. การใช้โวหาร กวีใช้อุปมาโวหารในการกล่าวชมความงามของนางมัทนาทำให้ผู้อ่านมองเห็นภาพความงามของมัทนาเด่นชัดขึ้น ดังตัวอย่าง
งามผิวประไพผ่อง กลทาบศุภาสุพรรณ
งามแก้มแฉล้มฉัน พระอรุณแอร่มละลาน
งามเกศะดำขำ กลน้ำ ณ ท้องละหาน
งามเนตรพินิจปาน สุมณีมะโนหะรา
งามทรวงสล้างสอง วรถันสุมนสุมา-
ลีเลิดประเสริฐกว่า วรุบลสะโรชะมาศ
งามเอวอนงค์ราว สุระศิลปชาญฉลาด
เกลากลึงประหนึ่งวาด วรรูปพิไลยพะวง
งามกรประหนึ่งงวง สุระคชสุเรนทะทรง
นวยนาฏวิลาศวง ดุจะรำระบำระเบง
ซ้ำไพเราะน้ำเสียง อรเพียงภิรมย์ประเลง,
ได้ฟังก็วังเวง บ มิว่างมิวายถวิล
นางใดจะมีเทียบ มะทะนา ณ ฟ้า ณ ดิน
เป็นยอดและจอดจิน- ตะนะแน่ว ณ อก ณ ใจ
๓. การใช้ลีลาจังหวะของคำทำให้เกิดความไพเราะ กวีมีความเชี่ยวชาด้านฉันทลักษณ์อย่างยิ่ง สามารถแต่งบทเจรจาของตัวละครให้เป็นคำฉันท์ได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งการใช้ภาษาก็คมคาย โดยที่บังคับฉันทลักษณ์ ครุ ลหุ ไม่เป็นอุปสรรคเลย เช่น บทเกี้ยวพาราสีต่อไปนี้ แต่งด้วยวสันตดิลกฉันท์ ๑๔ มีการสลับตำแหน่งของคำ ทำให้เกิดความไพเราะได้อย่างยอดเยี่ยม
สเทษณ์ : พี่รักและหวังวธุจะรัก และบทอดบทิ้งไป
มัทนา : พระรักสมัครณพระหทัย ฤจะทอกจะทิ้งเสีย?
สุเทษณ์ : ความรักละเหี่ยอุระระทด เพราะมิอาจจะคลอเคลีย
มัทนา : ความรักระทดอุระละเหี่ย ฤจะหายเพราะเคลียคลอ
|
|