มาชูปิกชู (เกชัว: Machu Picchu) หรือนิยมเรียกอีกชื่อว่า เมืองสาบสูญแห่งอินคา เป็นซากอารยธรรมโบราณของชาวอินคา ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงในประเทศเปรู ที่ความสูงประมาณ 2,350 เมตร อารยธรรมแห่งนี้ได้ถูกลืมโดยคนภายนอกจนกระทั่งมีการค้นพบอีกครั้งโดยนักโบราณคดีที่ชื่อ ไฮแรม บิงแฮม เมื่อ พ.ศ. 2454 มาชูปิกชูเป็นหลักฐานที่สำคัญของจักรวรรดิอินคา ในปี พ.ศ. 2526 องค์กรยูเนสโกได้กำหนดมาชูปิกชูให้เป็นมรดกโลก โดยทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนิยมไปศึกษาประวัติศาสตร์
7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 มาชูปิกชูได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%B9
มาชู ปิกชู (Machu Picchu) มาชูปิกชู หรือนิยมเรียกอีกชื่อว่า เมืองสาบสูญแห่งอินคา กล่าวกันว่าชื่อ มาชูปิกชู นี้ถูกตั้งให้กับโบราณสถานแห่งนี้โดยความเข้าใจผิด เมื่อ ไฮรัม บิงแฮม (ผู้ค้นพบ มาชู ปิกชู) ถามชนพื้นเมืองถึงชื่อของมัน ชนพื้นเมืองเข้าใจผิดว่าเขาถามถึงชื่อของภูเขาจึงตอบว่า "มาชูปิกชู" (แปลว่า"ยอดเขาผู้ชรา") ซึ่งได้กลายมาเป็นชื่อของโบราณสถานดังกล่าวมาจนทุกวันนี้
นครกลางฟ้าแห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขาแอนเดส ประเทศเปรู กินเนื้อที่ประมาณ13 ตารางกิโลเมตรของหุบเขาอุรุบัมบ้า ที่ความสูง 6,750 ฟีตจากระดับน้ำทะเล เมื่อมองจากตีนเขาจะไม่สามารถมองเห็นมาชูปิกชูได้ และนี่ก็คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มาชูปิกชูไม่ถูกค้นพบเป็นเวลานานและยังคงสภาพอันสมบูรณ์เอาไว้ได้ โบราณสถานถูกสร้างเป็นลักษณะขั้นบันไดไล่ลงมาตามความชันของหุบเขา แต่ละชั้นสูง 3 เมตร มีจำนวนทั้งหมด 40 ชั้นซึ่งถูกเชื่อมถึงกันด้วยบันไดกว่า 3,000 ขั้น และมีสิ่งก่อสร้างซึ่งสร้างด้วยหินกว่า 200 หลัง
24 กรกฎาคม 1911 ไฮรัม บิงแฮม ที่สาม ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยล (และเป็นต้นแบบของ"อินเดียน่าโจนส์") ได้ค้นพบโบราณสถานดังกล่าวระหว่างการค้นหาโบราณสถานของอินคาในละแวกใกล้เคียง จนถึงปี 1915 บิงแฮมได้ทำการตรวจสอบมาชูปิกชู 3 ครั้งและเขียนผลการวิจัยหลายฉบับออกมา ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ "The Lost City of the Incas" ซึ่งกลายมาเป็นเบสต์เซลเลอร์ และได้รับการแนะนำในนิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิค ในหนังสือของปี 1930 บิงแฮมได้นำเสนอสมมติฐานว่ามาชูปิกชูเคยถูกปกครองโดยนักบวชของลัทธิบูชาสุริยะและมีการทำพิธีถวายหญิงสาวเป็นเครื่องสังเวยแก่พระเจ้าของพวกเขา ทั้งที่นี่ยังเป็นป้อมปราการสุดท้ายของชาวอินคาที่ต่อสู้กับชาวสเปนอีกด้วยซึ่งสมมติฐานนี้ได้กลายมาเป็นอิมเมจของมาชูปิกชูอยู่เป็นเวลานานทีเดียว หลังจากที่บิงแฮมเกษียณจากมหาวิทยาลัย เขาได้ไต่เต้าขึ้นไปเป็นรองผู้ว่ารัฐคอนติเนคัท ผู้ว่าฯ และกลายเป็นวุฒิสมาชิกของสภาในที่สุด บิงแฮมส่งเสริมการค้นคว้าเกี่ยวกับมาชูปิกชูไว้มากมายซึ่งมีผลไปถึง 40 ปีหลังจากที่เขาเสียชีวิตทีเดียว และส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมการค้นคว้ามาชูปิกชูในปัจจุบันก็มาจากแรงบันดาลใจจากงานเขียนของเขาเช่นกัน (ในปัจจุบัน มีการอ้างว่ามีชาวเปรูชื่อแอกสติน ลีซาลาก้าได้ค้นพบมาชูปิกชูก่อนบิงแฮมถึง 9 ปี ปัจจุบัน ข้อเท็จจริงเรื่องนี้กำลังอยู่ระหว่างการสืบสวน แต่เนื่องจากมีพยานยืนยันหลายคน จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นความจริง) จะอย่างไรก็ดี สมมติฐานที่บิงแฮมทิ้งไว้ในฐานะผู้ค้นพบก็ทำให้การวิจัยในยุคหลังเป็นไปอย่างลำบากไม่น้อย ริชาร์ดL. เบอร์เกอร์และลูซี่ C. ซาลาซ่าร์จากมหาวิทยาลัยเยลได้ยืนยันว่า มาชูปิชูไม่น่าจะเป็นป้อมปราการของอินคาดังที่เข้าใจกัน เนื่องจากในบันทึกที่หลงเหลืออยู่ของสเปนกล่าวไว้ว่า" ปี 1572 ชาวอินคากลุ่มสุดท้ายขัดขืนเพียงเล็กน้อยก่อนจะยอมจำนนที่ที่ซ่อนกลางป่าดงดิบในที่ราบ" ในขณะที่มาชูปิกชูเป็นที่ราบสูง
มีการตั้งสมมติฐานว่ามาชูปิกชูน่าจะเป็นที่อาศัยของนักบวชเพื่อใช้ในการสังเกตุการโคจรของดวงอาทิตย์มากกว่า เนื่องจากมีหน้าต่างซึ่งดวงอาทิตย์จะโคจรมาอยู่ตรงกลางพอดีในวันสิ้นสุดฤดูร้อนและวันสิ้นสุดฤดูหนาว ส่วนแท่นบูชายัญที่บิงแฮมกล่าวไว้ น่าจะมีไว้เพื่อเป็นหอสังเกตุวงโคจรของดวงอาทิตย์เช่นกัน โบราณวัตถุที่บิงแฮมนำมาจากมาชูปิกชูถูกห่อไว้ด้วยหนังสือพิมพ์ของช่วงปี 1920 และเก็บรักษาไว้ในห้องเก็บเอกสารของมหาวิทยาลัยเยลเป็นเวลานาน การตรวจสอบพบว่าของส่วนใหญ่ถูกทำขึ้นในศตวรรษที่ 15 ส่วนของที่ถูกฝังในหลุมศพนั้นมีลักษณะเรียบง่าย จึงน่าจะเป็นของผู้รับใช้มากกว่าเชื้อพระวงศ์ ซากศพที่พบในมาชูปิกชูมีจำนวนของชายหญิงพอๆกัน น่าจะมีการอาศัยเป็นครอบครัวซึ่งมีเด็กอยู่ด้วย ศพส่วนใหญ่พบร่องรอยของวัณโรคและโรคพยาธิ ฟันมีรอยผุเนื่องจากการทานข้าวโพดเป็นอาหารหลัก แต่ศพส่วนใหญ่มักเป็นผู้สูงอายุและไม่พบร่องรอยการตายที่น่าจะเกิดจากสงครามนัก สันนิษฐานได้ว่าศพของเชื้อพระวงศ์น่าจะถูกนำไปทำพิธีที่คุสโก้จึงไม่พบอยู่ที่นี่ มีบางศพที่เห็นได้ชัดว่ามาจากแถบอารยธรรมอื่นเช่นจากบริเวณทะเลสาปติติกากา คาดว่าน่าจะเป็นศพของช่างฝีมือที่ถูกเรียกมาเพื่อการก่อกำแพงหินซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างปราณีต กำแพงเหล่านี้สร้างขึ้นจากหินที่ถูกตัดไว้อย่างลวกๆแล้วใช้เครื่องมือที่ทำจากหินเช่นกันค่อยๆเซาะตบแต่งให้เรียบร้อยอีกที ในภายหลังมีการค้นพบเส้นทางการลำเลียงหินและแหล่งที่มาของหินเหล่านี้ซึ่งมีการพบเครื่องมือตัดหินที่ทำจากหินซึ่งมีความแข็งเป็นพิเศษอยู่ด้วย เมื่อเร็วๆนี้ มีการพบรอยไหม้ในชั้นใต้ดินของสิ่งก่อสร้าง จึงมีการคาดเดาว่าน่าจะเกิดจากชาวเมืองซึ่งเกรงว่าสเปนจะบุกมาจึงได้เผามาชูปิกชูเสียก็เป็นได้
|