ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 5797
ตอบกลับ: 9
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

รักษาโรคภัยแบบง่าย ๆ ได้ผลดี

[คัดลอกลิงก์]
โรคกรดไหลย้อน
ผักต้มที่แนะนำให้ทาน
โรคกรดไหลย้อนที่มีสาเหตุจากความเครียดนะครับ คำแนะนำทั่วไปในการรับประทานอาหาร    (ผู้มีสุขภาพดี ก็ควรปฏิบัติ)
    1.
ใน 2 – 3 คำแรกของอาหารแต่ละมื้อควรทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา ฯลฯ ก่อนอาหารประเภทอื่นเพราะการทานโปรตีนในคำแรกๆเป็นการกระตุ้นการสร้างน้ำย่อยเป็นการบอกร่างกายว่า ถึงเวลาที่จะต้องย่อยอาหารแล้วและที่สำคัญอย่าลืมเคี้ยวให้ละเอียดมากๆด้วยนะครับ และโปรดจำไว้ว่า ใน 2 – 3 คำแรก อย่าทานของเผ็ดของเปรี้ยว ของมัน ผักสด ผลไม้สด ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม น้ำตาล ผักต้ม และข้าว(ผมเรียงลำดับโทษจากมากไปน้อย โปรดระวังด้วยนะครับ)
   2.
เมื่อทานอาหารอื่นไปครึ่งมื้อแล้วค่อยเริ่มทาน ผักต้มครับ
ผักต้มที่แนะนำให้ทาน
1.
ผักที่มีฤทธิ์เย็น
บวบหอมต้ม มีฤทธิ์เย็น ผมแนะนำให้ทุกคนที่เป็นโรคกรดไหลย้อนทานโดยเฉพาะผู้ที่มีสาเหตุจากกรดเกินในกระเพาะอาหารทานครับ ดีมากๆเลยและควรทานให้มากในมื้อเย็น บวบหอมต้มจะช่วยลดอาการแสบท้อง ร้อนท้อง แสบหน้าอกปวดท้องเหมือนลำไส้ถูกบิดได้ครับ
2.
ผักสีเขียวที่มีกากใยสูง
เช่น ผักหวานบ้าน, คะน้า, ผักกวางตุ้ง, ผักกาดแก้ว (ผักสลัด), ตำลึง, ผักบุ้ง, บล็อคโครี่ ฯลฯผักเหล่านี้ควรทานให้มากในมื้อเช้าและมื้อกลางวัน โดยขณะรับประทานเน้นบริโภคคำเล็กๆ และเคี้ยวผักเหล่านี้ให้ละเอียดมาก 2 – 3 นาทีต่อ 1 คำก่อนกลืนผักให้ใช้ลิ้นช่วยจัดผักให้เป็นชิ้นเล็กๆ แผ่นแบนๆ (ไม่ไห้เป็นก้อน)เพื่อเป็นการกระจายกากใย เพราะกากใยในผัก ช่วยซับกรด ดูดซับน้ำตาลส่วนเกินทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหว เปรียบเหมือนเรามีหมอนวดนวดอาหารให้เคลื่อนไหวในลำไส้ บรรเทาอาการท้องผูก ให้มีการขับถ่ายและไล่ลมออกทางทวารหนัก (ตด) บ่อยครั้งที่ ผมทานผักพวกนี้ลงไปแล้วจะเรอไล่ลมขึ้นมาทันทีเลยครับ(คนละอย่างกับดื่มน้ำ แล้วน้ำไปแทนที่ลม จนเราเรอออกมานะครับ)
3.
ผักสีขาวที่ย่อยง่าย
ผักสีขาวเป็นผักที่ย่อยง่าย เช่น กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ดอกกะหล่ำปลีโตวเหมี่ยว ควรทานให้มากในมื้อเย็น
ประโยชน์พิเศษของกะหล่ำปลี
นักวิจัยหลายท่านเห็นด้วยกับการใช้กะหล่ำปลีในการรักษาแผลในกระเพาะอาหาร เพราะกะหล่ำปลีประกอบด้วยซัลเฟอร์ซึ่งช่วยในขบวนการหายของแผล สมานแผล รักษาการอักเสบ ช่วยซ่อมแซมผิวหนังและช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย(ที่มา : คัดลอกจากหนังสือ “น้ำทิพย์จากธรรมชาติ ทางลัดเพื่อสุขภาพจากผักและผลไม้” โดยทันตแพทย์จักรชัยและทันตแพทย์หญิงภัทรา หน้า 43 พิมพ์ครั้งที่ 4)
4.
ผักที่เคี้ยวแล้วเป็นเมือก (Work มาก)
ผักเหล่านี้ เมื่อเคี้ยวจะมีน้ำเป็นเมือก เหนี่ยวๆข้นๆออกมาคล้ายกับน้ำราดหน้า กระเพาะปลา เช่น ผักปลัง ผักดอกกระเจี๊ยบ(หาซื้อได้ในร้านขายน้ำพริก) ผักเหล่านี้เหมาะสำหรับคนที่มีสาเหตุจากความเครียดมีกรดเกินในกระเพาะอาหารนั้นเอง โดยรับประทานผักเหล่านี้เป็นคำสุดท้ายของมื้ออาหารเพื่อให้เมือกเหล่านี้ ไปเคลือบกระเพาะและลำไส้ ป้องกันอาการแสบท้องป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
5.
เม็ดแมงลัก
มีกากใยสูง เหมาะสำหรับดูดซับน้ำตาลส่วนเกินคำแนะนำจากประสบการณ์ส่วนตัว ผมจะทานเม็ดแมงลักตอนที่หิวข้าว เริ่มแสบท้องในมื้อเช้าครับบางครั้งรถติดแต่ถึงเวลาที่ต้องทานอาหารมื้อเช้าแล้ว ผมก็จะทานเม็ดแมงลักครับบรรเทาไปก่อน และหากในช่วงดึกมีอาการหิวและแสบท้องขึ้นมาก็จะทานเม็ดแมงลักครับ เป็นการป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
6.
กล้วยน้ำว้า(ผู้ป่วยเบาหวานไม่ควรรับประทาน)
กล้วยน้ำว้าดีมากๆ เพราะมีฤทธิ์เย็นในกระเพาะอาหารแต่จะมีฤทธิ์ร้อนที่ลำไส้ในการช่วยย่อยอาหารใช้เคลือบลำไส้ได้ดี เพราะจะเป็นเมือกเมื่ออยู่ในลำไส้
คำแนะนำเพิ่มเติม
หากโรคกรดไหลย้อนของท่านมีสาเหตุเกิดจากความเครียดมีกรดเกินในกระเพาะอาหารโดยมีอาการแสบท้อง ร้อนท้องร่วมด้วย เป็นต้นแนะนำให้ทานผักสีเขียวควบคู่กับกะหล่ำปลี ในสัดส่วน มื้อเช้า 80:20 กลางวัน 50:50 เย็น 30 :70 และมื้อเย็นอย่าลืมบวบหอมต้มนะครับ

สิ่งสำคัญพยายามสังเกตอุจจาระด้วยครับ
1.
หากอุจจาระของท่าน มีสีเหลืองเป็นก้อนยาวสวยติดกัน ไม่มีกลิ่น และจมน้ำแสดงว่าท่านมีระบบขับถ่ายที่ดี
2.
หากอุจจาระของท่านมีลักษณะเหมือนขี้แพะ เล็กๆ ไหลออกเร็ว ไม่ได้เป็นก้อนติดกันแสดงว่าระบบย่อยอาหารของท่านมีความเป็นกรดจากน้ำกรดในกระเพาะอาหารหรือมีความเป็นกรดจากอาหารที่รับประทานคือ ผมให้ท่านลองทดลองด้วยตนเองดูนะครับว่า วันไหนท่านลองทานอาหารรสหวานไอศกรีม หรือแป้งละเอียด เช่น ขนมเปียะ ขนมเทียน ขนมปังหรือผักสดบริโภคปริมาณสักครึ่งมือสุดท้ายของอาหารมื้อเย็นดูครับอุจจาระของท่านจะเป็นเหมือนขี้แพะเลยครับ (ผมทดลองแล้วครับ)


ประสบการณ์ตรงจากตัวผมเอง
ผักหวานต้ม (ประทับใจมาก)
เป็นผักที่มีกากใยสูงมาก เป็นผักฤทธิ์เย็น ผมทานแล้วสบายท้องสุดๆเรียกได้ว่าประทับใจจริงๆครับ เส้นใยของผักหวานช่วยทำความสะอาดลำไส้ได้เป็นอย่างดีมากช่วงที่ผมเป็นหนัก ผมทานคู่กับบวบหอมต้ม เรียกได้ว่า สบายท้องจริงๆครับแถมถ่ายคล่องมากๆด้วยครับ
ผักกาดแก้วต้ม (ผักสลัดต้ม) (ประทับใจมาก)
เป็นผักสีเขียวที่ย่อยได้ง่ายมากๆ มีกากใยสูงถ่ายคล่องมากๆเลยครับ


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-26 13:15 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
โตวเหมี่ยวต้ม (ประทับใจมาก)
เป็นผักสีขาว ที่มีมีกากใยสูงมาก ย่อยง่ายมากด้วย ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก หรือผู้ที่ไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ละเอียด ผมรับประทานโตวเมี่ยวในมื้อเย็น รุ่งเช้าผมถ่ายได้คล่องมากครับ
บวบหอมต้ม (ประทับใจมาก)
เป็นผักฤทธิ์เย็นมาก ลดกรดส่วนเกินในกระเพาะอาหาร ลดอาการร้อนท้อง
กะหล่ำปลี (ประทับใจมาก)
เป็นผักสีขาว ประกอบด้วยซัลเฟอร์ ซึ่งช่วยในขบวนการหายของแผล สมานแผล รักษาการอักเสบ ช่วยซ่อมแซมผิวหนังและช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย เหมาะสำหรับคนที่เป็นโรคกรดไหลย้อนจากความเครียด

ผักที่มีน้ำตาลน้อย และ ผักที่มีน้ำตาลสูง
ผักที่มีน้ำตาลน้อย
ผักตั้งโอ๋ มะละกอดิบ กะหล่ำปลี คะน้า น้ำเต้า ผักกาดขาว ผัดกาดเขียว ผัดกาดแดง ผัดกาดหอม ผักโขม บวมเหลี่ยม ถั่วงอก เห็ดบัว ผักตำลึง บวบงู ฟักเขียว
ผักที่มีน้ำตาลสูง (ควรเลือกและจำกัดปริมาณในการรับประทาน)
ฝักทอง หัวหอมเล็ก สะระแหน่ คึ่นฉ่าย มะเขือเขียว ต้นหอม หัวผักกาดเหลือง ถั่วฟักยาว มันแกว ดอกกะหล่ำปลี มะระ หอมหัวใหญ่ พริกหยวก ต้นกระเทียม พริกชี้ฟ้า ขิง หน่อไม้ไผ่ ขนุนดิบ ถั่วลันเตา หัวปลี ผักชี มะเขือเปราะ มะรุม มะเขือม่วง สายบัว ถั่วงอกหัวโต ใบมะขามอ่อน กระเจี๊ยบ
ที่มา: แผ่นผับ “การควบคุมอาหาร สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน” จากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ

ผลไม้ที่แนะนำ

1. แตงไทย – เป็นพืชฤทธิ์เย็นเหมาะสำหรับคนธาตุร้อนที่มีอาการร้อนท้อง กล่าวคือ หากรับประทานแตงไทย แล้วไม่มีอาการจุกที่คอ ไม่มีอาการท้องอืด แสดงว่าแตงไทยเหมาะกับท่านในการบรรเทาอาการกรดไหลย้อน คนธาตุร้อนทานแตงไทยแล้วจะสบายท้องมาก แต่ผมซึ่งเป็นคนธาตุเย็นแถมมีอาการร้อนท้อง ทานแตงไทยเข้าไปแล้วจะจุกที่คอทันที และมีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อยในมื้อนั้นเลย ต้องหาขมิ้นชันมาทานเพิ่มมากกว่าเดิม และรีบไปต้มเนื้อไก่ (หาโปรตีน) มาทานเพื่อเรียกน้ำย่อย
2. แคนตาลูป – เป็นพืชฤทธิ์เย็น แต่เย็นน้อยกว่าแตงไทย ผมทานแล้วสบายท้อง ท้องไม่อืด อาหารย่อยได้ดี
3. ชมพู่ – ไม่หวาน ไม่เปรี้ยว มีกากใยช่วยในการขับถ่าย

ผักและผลไม้ที่ควรหลีกเลี่ยง

1. ผลไม้ที่มีรสหวาน มีน้ำตาลทุกชนิด เช่น ลำไย เงาะ แตงโม ฯลฯ ผลไม้เหล่านี้ มีน้ำตาลในปริมาณที่สูง เมื่อเรารับประทานเข้าไป น้ำตาลในผลไม้จะมีฤทธิ์เป็นกรดที่ลำไส้เล็ก สำหรับผม เคยทานแครอทต้ม ผมยังท้องอืดเลย ไม่ต้องพูดถึงแครอทสดครับ
2. ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวทุกชนิด มะเขือเทศ แก้วมังกร ฝรั่ง เสาวรส มะนาว เพราะมีวิตามินซีสูง เมื่ออยู่ในกระเพาะอาหารจะมีฤทธิ์เป็นกรด ทำให้จุกท้อง ท้องป่อง และสำหรับคนที่เป็นหนัก จะมีอาการแสบท้องร่วมด้วย
เขียนโดย : รู้ไว้มีสุข
ขอบคุณครับ
คนที่บ้่นเปนโรคนี้พอดีเลย ขอบคุณก๊าบพี่
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-27 11:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เป็นหวัดอยู่หรือเปล่า ?

เคล็ดลับป้องกัน รักษาหวัดง่าย ๆ ด้วยการกินสัปปะรด

สับปะรด เป็นผลไม้อมหวานอมเปรี้ยว ที่สามารถนำไปทำอาหารทั้งคาว และหวานได้อร่อยหลายชนิด และให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ ร่างกายมากมายโดยที่คุณอาจไม่รู้

หากเรากินสับปะรด หลังอาหาร เราจะรู้สึกเบาสบายท้องและไม่อึดอัด เพราะสับปะรดมีความสามารถในการช่วยย่อย โดยเฉพาะในสารอาหารโปรตีน เราจึงเห็นคนส่วนใหญ่ใช้สับปะรดในการหมักเนื้อสัตว์ต่างๆ ให้นุ่มขึ้น

สับปะรดอุดมไปด้วยวิตามินซีสูงจึงช่วยเสริมสุขภาพ และภูมิต้านทานโรคได้ดีขึ้น กิน สับปะรด บ่อยๆ ทำให้สุขภาพดี ไม่ค่อยเป็นหวัด

** ปริมาณที่เหมาะสมในการบริโภคก็คือ 100 กรัมต่อวัน
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-11 15:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ไมเกรน

เป็นอาการของโรคปวดศีรษะชนิดหนึ่งสร้างความทรมานและรำคาญให้กับผู้ป่วย ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงของการปวดศีรษะไมเกรนยังไม่มีใครทราบอย่างแน่นอน แต่เชื่อว่าผู้ป่วยเกิดการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น อากาศ กลิ่น เสียง ความเครียด หรือสิ่งกระตุ้นจากอาหาร ไปทำให้หลอดเลือดอักเสบและเกิดการขยายตัว ทำให้โดยจะมีอาการปวดศรีษะข้างเดียวเป็นพักๆ
วันนี้ Be Healthy จะมาแนะนำการกินวิตามินหรืออาหารเสริมที่อาจจะมีส่วนช่วยในการลดหรือบรรเทาอาการปวดของโรคไมเกรนได้ไม่มากก็น้อยค่ะ
* เมล็ดฟักทอง + อัลมอลด์ มีแมกนีเซียมสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเป็นไมเกรนจะขาดกันมาก ก็เลยทำให้สมองเซ็นซีทีฟถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้าได้ง่ายมาก ปวดหัวจี๊ดกันได้ง่ายๆ
* ปลาแซลมอน ขาประจำอาหารญี่ปุ่นได้เฮ เพราะกดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีในเนื้อปลา น้ำมันมะกอก ถั่วเหลืองนี่หล่ะ ช่วยป้องกันการปวดหัว ลดการอักแสบในระบบไหลเวียนเลือด บำรุงสมองให้เราได้เป็นผู้หญิงสวยและฉลาดอีกด้วย
* ขิง สารโปรสตาแกลนดินส์ เป็นสารที่ช่วยระงับปวด ในขิงจะช่วยให้อาการปวดหัวดีขึ้นและก็ยังลดอาการคลื่นไส้ได้ด้วย
* บร๊อคโคลี่ มีแมกนีเซี่ยมช่วยผ่อนคลายหลอดเลือดเล็กทำให้เลือดไหลเวียนดี ลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อต้นคอตัดตัวต้นเหตุการณ์ปวดหัวได้

ที่มา:นิตยสารคลีโอ
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-15 11:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สะตอ สรรพคุณและประโยชน์ของสะตอ 20 ข้อ !

สะตอ ภาษาอังกฤษ Bitter bean, Twisted cluster bean, Stink bean ส่วนสะตอชื่อวิทยาศาสตร์ Parkia speciosa จัดเป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ถั่ว เมล็ดสะตอจะมีกลิ่นเหม็นเขียวรุนแรงมาก ซึ่งเป็นที่นิยมนำมาใช้ประกอบอาหารในแถบภาคใต้ และประเทศอื่นๆอย่างเช่น อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ลาว พม่า สิงคโปร์ ก็นิยมนำสะตอมาทำเป็นอาหารรับประทานเช่นกัน

วิธีดับกลิ่นสะตอ เมื่อทานสะตอเข้าไปแล้วหลังทานเข้าไปจะมีกลิ่นปาก ซึ่งเราสามารถกำจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์นี้ได้ด้วยการรับประทานมะเขือเปราะตามไปประมาณ 2-3 ลูก ก็จะช่วยดับกลิ่นเหม็นเขียวของสะตอได้ดีในระดับหนึ่ง

* เนื่องจากสะตอมีกรดยูริกสูง สำหรับผู้ที่เป็นโรคเก๊าท์หรือผู้ที่มีกรดยูริกในร่างกายสูงเกินค่ามาตรฐาน ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานสะเพราะอาจจะทำให้เกิดโรคเก๊าท์กำเริบได้ และกรดยูริกในร่างกายที่สูงก็ยังมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนิ่ว โรคไตอักเสบ และมีอาการหูอื้ออีกด้วย

แต่สำหรับผู้ที่รับประทานสะตอเป็นประจำอยู่แล้ว คุณเคยรู้หรือไม่ว่ามันมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง โดยสะตอนั้นอุดมไปด้วย คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินซี อีกด้วย ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์กับร่างกายทั้งสิ้น คราวนี้เรามาดูประโยชน์ของสะตอและสรรพคุณของสะตอกันดีกว่า ว่ามีอะไรบ้าง??

* ประโยชน์ของสะตอ *

1. ช่วยบำรุงสายตา
2. ช่วยทำให้เจริญอาหาร
3. ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
4. ช่วยลดความดันโลหิต
5. ช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงเกาะกลุ่มกันได้ดีขึ้น
6, มีผลต่อการแบ่งตัวของเซลล์
7. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
8. เชื่อว่าการรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้
9. สรรพคุณของสะตอ ช่วยขับลมในลำไส้
10. ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้
11.ช่วยในการขับปัสสาวะ
12. มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยในการขับถ่าย
13. แก้ปัสสาวะพิการ
14. ช่วยแก้ไตพิการ
15. ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
16. ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา
17. สะตอทําอะไรได้บ้าง เช่น สะตอผัดกุ้ง แกงป่าใส่สะตอ สะตอผัดกะปิกุ้งสด เป็นต้น
18. และยังใช้แปรรูปเป็นสะตอดองได้อีกด้วย ส่วนยอดสะตอนำมารับประทานเป็นผักเหนาะ
19. ใบของสะตอใช้ทำเป็นปุ๋ยบำรุงดิน
20. ลำต้นของสะตอใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน


โดนใจหลาย
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้