ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

บารมี 30 ทัศ

[คัดลอกลิงก์]
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-5-5 10:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ภูริทัตต์ พระโพธิสัตว์นาคราช


เรื่องราวของพญานาคชื่อว่า “ภูริทัตต์” นี้เป็นเรื่องที่ 6 ใน “ทศชาดก” พูดด้วยภาชาวบ้านก็คือ เป็น “10 เรื่อง 10 ชาติ” สุดท้ายก่อนที่พระโพธิสัตว์จะเกิดเป็นพระเวสสันดรในชาติที่ 10 และบังเกิดเป็น เจ้าชายสิทธัตถะ และได้เสด็จออกผนวชจนกระทั่งตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา ทศชาดกนั้นมีดังนี้
1.เตมีย์ชาดก
2.ชนกชาดก
3.สุวรรณสามชาดก
4.เนมิราชชาดก
5.มโหสถชาดก
6.ภูริทัตต์ชาดก
7.จันทชาดก
8.นารทชาดก
9.วิทูรชาดก
10.เวสสันดรชาดก

เรื่องของ ภูริทัตต์นาคราช นั้น กล่าวถึงการบำเพ็ญเพียรบารมีขั้นสูงสุดของพระโพธิสัตว์ เมื่อคราวที่บังเกิดเป็นพญานาค แม้จะถูกเบียดเบียนได้รับทุกทรมารจนปางตาย แต่พระองค์ก็ไม่ยอมเสียวาจาสัตย์ที่เคยตั้งสัจจอธิษฐานไว้ ความว่า

พระราชาพระองค์หนึ่งพระนามว่า “พรหมทัตต์” ครองราชสมบัติอยู่ที่เมืองพาราณสี ทรงแต่งตั้งให้พระโอรสดำรงตำแหน่ง “อุปราช” อยู่ต่อมาพระองค์ทรงระแวงว่าโอรสคิดแย่งราชสมบัติ จึงมีพระบรมราชโองการให้ออกไปอยู่นอกเมือง จนกว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์จึงจะกลับมาได้ พระราชโอรสได้ปฏิบัติตามพระราชโองการ โดยได้เสร็จไปบวชเป็น “ฤๅษี” อาศัยอยู่ที่ริมแม่น้ำชื่อว่า “ยมุนา” ครั้งนั้นมีนางนาคตนหนึ่งซึ่งนาคสามีได้ตายจาก และนางต้องอยู่แต่เพียงลำพัง เมื่อเกิดความหว้าเหว่จนไม่อาจทนอยู่ในนาคพิภพได้ จึงขึ้นมาท่องเที่ยวไปตามริมฝั่ง จนมาถึงศาลาที่พักของพระราชโอรส นางประสงค์ที่จะลองใจว่าฤๅษีผู้พำนักอยู่ในศาลานี้เป็นผู้ที่บวชด้วยจิตเลื่อมใสศรัทธาหรือไม่ จึงได้ตกแต่งประดับประดาทีนอนในสาลานั้นด้วยดอกไม้หอม และของทิพย์จากเมืองนาคพิภพ เมื่อฤๅษีกลับมาเห็นก็ยินดี ประทับนอนด้วยความสุขตลอดคืน รุ่งเช้าเมื่อฤๅษีออกไปจากศาลา นางนาคก็เข้ามาดู เมื่อรู้ว่าที่นอนมีรอยคนนอน จึงรู้ว่าฤๅษีผู้นี้ไม่ได้บวชด้วยความศรัทธา แต่ยังคงยินดีในของสวยงามตามวิสัยคนมีกิเลส จากนั้นจึงจัดเตรียมที่นอนไว้ดังเดิมอีก ในวันที่ 3 ฤๅษีเกิดความสงสัยว่าใครเป็นผู้จัดที่นอนออันสวยงามนี้ไว้ จึงทำทีว่าเข้าป่าและแอบดูอยู่บริเวณศาลา และเมื่อนางนาคเข้ามาตกแต่งที่นอน ฤาจึงถามนางว่า เป็นใคร มาจากไหน เมื่อได้รับคำตอบว่าเป็นนาค ชื่อ มาณวิกา เมื่อสามีตายจึงเกิดความหว้าเหว่ จึงออกมาจากนาคพิภพ ฤามีความยินดีจึงบอกแก่นางว่า หากพึงพอใจก็จงอยู่ที่นี่ จากนั้นทั้ง 2 จึงอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา เมื่อเวลาผ่านไป นานาคได้ให้กำเนิดโอรสองค์หนึ่งชื่อว่า “สาครพรหมทัตต์” ต่อมาก์ประสูตรพระธิดาองค์หนึ่งชื่อว่า “สมุททชา”

ครั้นเมื่อพระเจ้าพรหมทัตต์สวรรคตแล้ว เสนาอำมาตยืทั้งหลายจึงได้จัดกระบวนไปเชิญเสด็จพระราชบุตรกลับมาครองเมือง พระราชบุตรทรงถามนางนาคมาณวิกาว่าจะไปอยู่ในเมืองพาราณสีด้วยกันหรือไม่ นางนาคได้กล่าวปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า ตนเองเป็นนาคที่อารมณ์ร้าย เกรงจะทำอันตรายผู้คน พระราชบุตรจึงนำพาโอรสธิดากลับไปนครพาราณสี

อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่โอรสธิดาเล่นน้ำอยู่ในสระ ก็เกิดตกใจกลัวเต่าตัวหนึ่ง พระบิดาจึงให้คนจับเต่านั้นไปทิ้งไว้ที่วังน้ำวนแม่น้ำยมุนา เมื่อเต่าจมลงไปถึงเมืองนาค และเมื่อถูกพวกนาคจับไว้ เต่าก็ออกอุบายบอกนาคทั้งหลายว่า เราเป็นทูตของพระราชาพาราณสี พระองค์ให้เรามาเฝ้าท้าวธตรฐโดยพระองค์จะพระราชทานพระธิดาให้เป็นพระชายาของท้าวธตรฐ เมืองพาราณสีกับนาคพิภพจะได้เป็นดองกัน เมื่อท้าวธตรฐได้ฟังก็มรงยินดี จึงสั่งให้นาค 4 ตน เป็นฑูตนำบรรณาการไปถวายพระราชาพาราณสีและขอรับตัวพระธิดามาเมืองนาค พราะราชาเมื่อทรงทราบข่าวก็แปลกพระทัยจึงตรัสกับนาคทั้ง 4 ว่า “มนุษย์กับนาคนั้นต่างเผ่าพันธ์กัน จะแต่งงานกันได้อย่างไร” เหล่านาคทั้ง 4 เมื่อได้ฟังดังนั้น จึงกลับไปกราบทูล้าวธตรฐว่าพระราชาพาราณสีทรงดูหมิ่นว่านาคเป็นเผ่าพันธ์งู ไม่คู่ควรกับพระธิดา เมื่อท้าวธตรบได้ฟังก็ทรงพิโรธ จึงตรัสสั่งให้นาคบริวารทั้งหลายขึ้นไปเมืองมนุษย์ แผ่พังพานแสดงอิทธิฤทธิ์ตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้ชาวเมืองยำเกรง จนในที่สุดพระราชาทรงต้องจำยอม และได้ส่งพระนางสมุททชาให้ไปเป็นชายาของท้าวธตรฐ

ฝ่ายพระนางสมุททชา เมื่อไปอยู่นาคพิภพก็ไม่ทรงรู้ว่าเป็นเมืองนาค เพราะท้าวธตรฐสั่งให้นาคบริวารจำแลงแปลงกายเป็นมนุษย์ทั้งหมด นางก็อยู่อย่างสุขสบายเรื่อยมา จนมีโอรส 4 องค์ ชื่อว่า สุทัศนะ ทัตตะ สุโภคะ และ อริฏฐะ

อยู่มาวันหนึ่ง “อริฏฐะ” ได้ฟังนาคกุมารทั้งหลายบอกว่ามารดาของตนไม่ใช่นาค จึงได้ทดลองดู โดยเนรมิตกายกลับเป็นนาค นางสมุททชาเห็นเช่นนั้นก็ตกพระทัย ได้ปัดอริฏฐะตกจากตัก จังหวะนั้นเล็บของพระนางได้ข่วนเอานัยน์ตาของอริฏฐะบอดไปข้างหนึ่ง นับตั้งแต่นั้นมานางจึงรู้ว่าสถานที่อยู่นี้เป็นนาคพิภพ และครั้นเมื่อพระโอรสทั้ง 4 เจริญวัยขึ้นแล้ว ท้าวธตรฐจึงได้แบ่งสมบัติให้ครอบครองคนละเขต โดยเฉพาะ “ทัตตะ” ผู้เป็นโอรสที่ 2 นั้น เป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดมาก ได้มาเฝ้าพระบิดามารดาอยู่เป็นประจำ อีกทั้งช่วยพระบิดาแก้ไขปัญหาต่างๆ อยู่เสมอ แม้ปัฐหาของเทวดาทัตตะก็สามารถแก้ไขได้ จึงได้รับการยกย่องและสัญเสริญว่า “ภูริทัตต์” คือ ผู้มีปัญญาดุจแผ่นดิน อนึ่ง ภูริทัตต์นั้นได้เคยไปเทวโลกกับพระราชบิดาอยู่เสมอ และเห็นว่าเป็นที่น่ารื่นรมย์ จึงตั้งใจว่าจะรักษาอุโบสถศีลเพื่อจะได้ไปเกิดในเทวโลก จากนั้นภูริทัตต์จึงเริ่มรักษาอุโบสถศีล แต่ด้วยนาคบริวารทั้งหลายสร้างความรำคาญ จึงขึ้นไปรักษาอุโบสถศีลอยู่ที่เมืองมนุษย์ โดยขนดรอบจอมปลวกอยู่ใกล้ต้นไทรริมแม่น้ำยมุนา และได้ตั้งสัจจอธิษฐานว่า แม้ผู้ใดต้องการหนัง เอ็น กระดูก เลือดเนื้อของตน ก็จะยอมบริจาคให้ ขอเพียงให้รักษาศีลให้บริสุทธิ์ก็พอ



12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-5-5 10:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ครั้งนั้น มีนายพรานคนหนึ่งชื่อ “เนสารท” ออกเที่ยวล่าสัตว์ในแถวแม่น้ำยมุนาและได้มาพบภูริทัตต์นาคราชเข้า เมื่อสอบดูจึงรู้ว่าเป็นโอรสของราชาแห่งนาค ภูริทัตต์ เห็นว่าเนสารทเป็นพรานใจบาปหยาบช้าและอาจเป็นอันตรายแก่ตนได้ จึงบอกกับพรานนั้นว่า เราจะพาท่านกับลูกชาย (โสมทัต) ลงไปเสวยสุขอยู่นาคพิภพ และเมื่อพรานกับลูกชายลงไปอยู่เมืองนาคได้ไม่นาน ก็เกิดคิดถึงเมืองมนุษย์ จึงปรารถกับภูริทัตต์ว่าอยากจะกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องและอยากจะออกบวชรักษาศีลบ้าง ภูริทัตต์จึงต้องจำยอมพาพรานนั้นกลับไปเมืองมนุษย์ตามเดิม

ครั้งนั้น มีพญาครุฑ ตัวหนึ่งอาศัยอยู่บนต้นงิ้วฝั่งมหาสมุทรด้านใต้ วันหนึ่ง ในขณะออกไปจับพญานาคมากินเป็นอาหาร พญานาคตัวหนึ่งเมื่อถูกครุฑจับได้เอาหางพันกิ่งไทรที่อยู่ท้ายศาลาพระฤๅษีแห่งหนึ่งไว้ จนต้นไทรถอนรากติดมาด้วย ครั้นเมื่อครุฑนั้นฉีกท้องของพญานาคกิน (ไขมัน) แล้ว เมื่อทิ้งร่างของพญานาคไปจึงได้เห็นต้นไทร จึงรู้ว่าได้ทำความผิด คือ ถอนเอาต้นไทรที่เป็นที่อยู่ของพระฤๅษีมาด้วย ทีนั้น พญาครุฑจึงแปลงกายเป็นชายหนุ่มเข้าไปถามพระฤๅษี และเมื่อได้คำตอบจนสบายใจแล้วว่า ทั้งตนและพญานาคไม่มีใครผิด และเพื่อเป็นการตอบแทน พญาครุฑในคราบจำแลงจึงได้สอนมนตืชื่อ “อาลัมพายน์” อันเป็น มนต์สำหรับครุฑใช้จับนาค แก่พระฤๅษี

อยู่มาวันหนึ่ง มีพราหมณ์คนหนึ่งเข้าไปในป่า และเผอิญได้พบกับพระฤๅษี จึงได้บวชอยู่ปรนนิบัติ จนพระฤาษีพอใจ ฤๅษีจึงสอนมนต์อาลัมพายน์ให้ ฝ่ายพราหมณ์เห็นว่าตนมีมนต์นี้แล้วอาจจะเลี้ยงตัวได้จึงลาพระฤๅษีกลับไป ในระหว่างทาง พราหมณ์นั้นก็เดินสาธยายมนต์ไปด้วย พญานาคทั้งหลายทีขึ้นมาเล่นน้ำเมื่อได้ยินมนต์นั้นก็ตกใจกลัวนึกว่าพญาครุฑมา ต่างรีบงสู่นาคพิภพจนลืม “ดวงแก้วสารพัดนึก” ไว้บนฝั่ง เมื่อพราหมณ์ได้เห็นดวงแก้วก็หยิบไปด้วย และในระหว่างทางก็บังเอิญไปเจอกับพราณเนสราทพร้อมกับลูกชายที่เที่ยวล่าสัตว์อยู่ เมื่อพราณเนสราทเห็นดวงแก้วนั้นก็จำได้ว่าเหมือนกับดวงแก้วที่ภูริทัตต์เคยให้ดูเมื่อตอนที่ตนและลูกชายลงไปนาคพิภพ จึงออกปากขอดวงแก้วกับพราหมณ์นั้น โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่า ถ้าอยากจะรู้เรื่องอะไร จะบอกเรื่องนั้นๆ ให้ทราบ พราหมณ์จึงบอกว่าอยากรู้ที่อยู่ของนาค เพราะตนมีมนต์จับนาค พรานเนสราทจึงพาไปดูที่ที่ ภูริทัตต์ รักษาศีลอยู่ ฝ่ายโสมทัตต์ผู้เป็นลูกชายเกิดความละอายใจที่บิดาคิดไม่ซื่อสัตย์จะทำร้ายมิตรจึงหลบหนีไป

กล่าวถึงภูริทัตต์นาคราช ในขณะที่จำศีลอยู่ เมื่อลืมตาขึ้นดูก็รู้ว่าพราหมณ์คิดจะทำร้ายตน แต่หากจะตอบโต้ศีลก็จะขาด เมื่อปรารถนาจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์จึงหลับตานิ่งเสีย ขดกายแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด ทันใดนั้นพราหมณ์จึงร่ายมนต์อาลัมพายน์ และเข้าไปจับภูริทัตต์นาคราช ได้กดศีรษะ จับปากให้อ้าออก เขย่าให้สำรอกอาหาร แต่ภูริทัตต์ก็มิได้ตอบโต้

เมื่อพราหมณ์จับภูริทัตต์ได้แล้ว ได้นำไปออกแสดงให้ประชาชนดู โดยบังคับให้แสดงฤทธิ์ต่างๆ จนเป็นที่พอใจของคน และได้เปิดทำการแสดงจนมาถึงเมืองพาราณสี โดยได้กราบทูลแด่พระราชาว่า จะให้นาคแสดงฤทธิ์เพื่อให้ทอดพระเนตร

ครั้งนั้น พระนางสมุททชา เมื่อรู้ว่าภูริทัตต์หายไปจึงให้พี่น้องออกตามหา โดยสุทัศนะไปโลกมนุษย์ โดยมีนางอัจจิมุขผู้เป็นนน้องสาวต่างมารดาของภูริทัตต์ตามไปด้วย สุโภคะไปป่าหิมพานต์ และอริฏฐะไปเทวโลก

เมื่อสุทัศนะมาถึงเมืองพาราณสี ก็ได้ข่าวว่ามีพญานาคถูกจับมาแสดง จึงตามไปดู ทีนั้นภูริทัตต์เห็นพี่ชายจึงเลื่อนเข้าไปหา และได้ซบหัวร้องไห้อยู่ที่เท้า จากนั้นจึงเลื่อยกลับไปหาพราหมณ์  พราหมณ์กล่าวกับสุทัศนะไม่ให้กล้ว โดยกล่าวว่า “หากท่านถูกนาคกัด ไม่ช้าก็จะหาย” สุทัศนะตอบว่า “เราไม่กลัวหรอก นาคนี้ไม่มีพิษ” พราหมณ์หาว่าสุทัศนะดูถูกตนหาว่าเอานาคไม่มีพิษมาแสดง จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น สุทัศนะจึงท้าว่า “เขียดตัวน้อยของเรายังมีพิษมากกว่านาคของท่านเสียอีก จะลองเอามาประชันฤทธิ์กันก็ได้” เมื่อถูกท้าทาย พราหมณ์จึงกล่าวว่า “หากจะให้สู้กันก้จะต้องมีเดิมพันติดปลายนวมเสียหน่อยจึงจะดูสนุก” สุทัศนะจึงขอให้พระราชาพาราณสีเป็นผู้ประกันให้ตนโดยให้เหตุผลว่า พระราชาจะได้ทอดพระเนตรการต่อสู้ระหว่าง “นาค” กับ “เขียด” เป็นการตอบแทน ซึ่งพระเจ้ากรุงพาราณสีก็ตกลงตามนั้น
13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-5-5 10:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สุทัศนะจึงเรียกนางอัจจิมุขออกมาจากมวยผม และให้คายพิษลงบนฝ่ามือ 3 หยด แล้วทูลว่า “พิษของเขียดน้อยนี้ร้ายแรงนัก เพราะนางเป็นธิดาท้าวธตรฐราชาแห่งนาคพิภพ และหากพิษนี้หยดลงบนพื้นดินพืชพันธ์ไม้ก็จะตายหมด หรือหากโยนขึ้นไปในอากาศจะเกิดความแห้งแล้ง เพราะฝนจะไม่ตกไป 7 ปี และถ้าหยดลงในน้ำ สัตว์น้ำจะตายหมด” ทันใดนั้นสุทัศนะจึงให้ขุดบ่อ 3 บ่อ กล่าวคือ บ่อแรกใส่ยาพิษ บ่อที่สองใส่โคมัย บ่อที่สามใส่ยาทิพย์ เมื่อหยดพิษลงในบ่อแรก ทันใดนั้นของเกิดควันลุกจนเป็นเปลวไฟ และได้ลามไปติดบ่อที่สองและสามตามลำดับ จนกระทั่งยาทิพญ์ไฟม้ฟมดไฟจึงดับ ฝ่ายพราหมณ์ซึ่งยืนอยู่ข้างบ่อไม่ทันระวังตัว ได้ถูกไอพิษลวกจนผิวหนังด่างไปทั้งตัว จึงร้องขึ้นด้วยกลัวตายว่า “ข้าพเจ้ากลัวแล้ว ข้าพเจ้าจะปล่อยนาคนั่นให้เป็นอิสระ” ภูริทัตต์ได้ยินดังนั้นจึงเลื่อยออกมาจากที่ขังและเนรมิตกายเป็นมนุษย์ ทูลเรื่องทั้งหมดให้พระราชาทรงทราบ เมื่อทราบว่าภูริทัตต์เป็นโอรสของพระนางสมุททชาก็เท่ากับเป็นหลานของตัวเอง พระราชาจึงทรงเข้าไปโอบกอดพระหลานรักทั้ง 3 พระองค์ พร้อมกับตรัสถามข่าวคราวของพระนางสมุททชาผู้เป็นน้องสาว จากนั้นสุทัศนะและนางอัจจิมุขจึงพาภูริทัตต์กลับนาคพิภพ

ฝ่ายสุโภคะที่ออกค้นหาภูริทัตต์ที่ป่าหิมพานต์ เมื่อไม่พบจึงกลับมาทางแม่น้ำยมุนา และบังเอิญได้มาเจอกับพรานเนสารทซึ่งกำลังสำนึกผิดในบาปทำตนทำลงไป และต้องถูกลูกชายทอดทิ้ง สุโภคะเมื่อทราบดังนั้น จึงเอาหางรัดพันพรานเนสารทลากดึงให้จมน้ำแต่ไม่ให้ตาย (แก้วสารพัดนึกได้หลุดมือจมน้ำไป) แล้วจึงนำไปสู่นาคพิภพเพื่อทำการสืบสวนต่อไป

เมื่อมาถึงนาคพิภพ และทันทีที่พรานเนสารทได้แลเห็นภูริทัตต์ที่บอบช้ำ ก็ยิ่งรู้สึกเสียใจในบาปมากยิ่งขึ้น แต่ภูริทัตต์ก็ไม่ได้เอาความแต่อย่างใด เพียงให้นำพรานนั้นออกไปจากนาคพิภพก็เท่านั้น

อยู่ต่อมาครั้นถึงวันที่ต้องไปเข้าเฝ้าพระอัยยิกาวึ่งออกบวชอยู่ในป่า (พระเจ้าพาราณสีซึ่งเป็นพระสวามีของนางนาคมาณวิกา) ทั้งฝ่ายของพระราชาพาราณสีและฝ่ายของนาคพิภพได้ยกขบวนมาอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อพระราชวงศ์ทั้งหมดมาเจอกัน ก็สวมกอดและกรรแสงด้วยดีพระทัย และเมื่อประทับอยู่ด้วยกันระยะหนึ่ง ทั้งหมดจึงแยกย้ายจากกัน  
14#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-5-5 10:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทรงบำเพ็ญเนกขัมมปรมัตถบารมี ในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าจูฬสุตโสม


พระมหาสัตว์ตรัสอย่างนี้แล้ว หวังพระทัยว่า ไฉนเจ้าโปริสาทจะนึกถึงรสของเครื่องอุปโภคบริโภคที่เคยเสวย จะพึงเกิดความอยากที่จะกลับไปสู่พระนคร จึงตรัสประโลมด้วยโภชนะเป็นข้อต้น ด้วยอำนาจกิเลสเป็นที่สอง ด้วยที่บรรทมเป็นที่สาม ด้วยการเต้นรำการขับร้อง และการประโคมเป็นที่สี่ ด้วยพระราชอุทยานและพระนครเป็นที่ห้า ครั้นตรัสประโลมเช่นนี้แล้ว ตรัสต่อไปว่า
ดูก่อนมหาราช เชิญเสด็จเถิด เราจะพาพระองค์ไปดำรงราชย์ในพระนครพาราณสีแล้ว ภายหลังจึงจะไปสู่แคว้นของเรา ถ้าพระองค์จะไม่ได้ราชสมบัติในพระนครพาราณสี ข้าพเจ้าก็จักถวายราชสมบัติของหม่อมฉันแก่พระองค์ครึ่งหนึ่ง ไม่มีประโยชน์อะไรในการอยู่ป่า จงทำตามถ้อยคำของเราเถิด
เจ้าโปริสาทได้สดับถ้อยคำของพระมหาสัตว์เกิดความอยากที่จะกลับไปสู่พระนครดำริว่า ท่านสุตโสมทรงพระกรุณาปรารถนาความเจริญแก่เรา ตั้งเราไว้ในกัลยาณธรรมแล้ว บัดนี้ยังตรัสว่า จักสถาปนาในอิสริยยศตามเดิมอีก และพระองค์ก็อาจสถาปนาได้ด้วย เราควรจะไปกับพระองค์ ประโยชน์อะไรของเราด้วยการอยู่ในป่า ทรงมีจิตชื่นบาน และประสงค์จะพรรณนามิตรธรรมอิงคุณของพระมหาสัตว์ จึงกราบทูลว่า
พระสหายสุตโสม อะไร ๆ ที่จะยินดีไปกว่าการคบหากัลยาณมิตรไม่มี อะไร ๆ ที่จะลามกยิ่งไปกว่าการคบบาปมิตรไม่มีเลย
เจ้าโปริสาทพรรณนาถึงคุณของพระมหาสัตว์ แล้ว พระมหาสัตว์ได้ทรงพาเจ้าโปริสาทและพระราชา ๑๐๑ พระองค์เสด็จไปถึงปัจจันตคาม ชาวบ้านนั้นเห็นพระมหาสัตว์แล้ว ไปแจ้งความที่เมือง พวกอำมาตย์ได้พาหมู่พลนิกายไปเฝ้ารับ พระมหาสัตว์ได้เสด็จไปยังพระนครพาราณสีด้วยบริวารนั้น
ในระหว่างทาง พวกชาวชนบทถวายเครื่องบรรณาการแล้วตามเสด็จเป็นอันมาก พระมหาสัตว์เมื่อได้เสด็จถึงพระนครพาราณสีแล้ว เวลานั้นพระโอรสของพระเจ้าโปริสาทเป็นพระราชา ท่านกาฬหัตถียังคงเป็นเสนาบดีอยู่เช่นเดิม ชาวเมืองกราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ได้ยินว่าพระเจ้าสุตโสมทรงทรมานเจ้าโปริสาทได้แล้ว กำลังพาเสด็จมายังพระนครนี้ พวกข้าพระองค์จักไม่ให้เข้าพระนครดังนี้ แล้วรีบปิดประตูพระนคร จับอาวุธอยู่พร้อมกัน พระมหาสัตว์ทรงทราบว่าเขาปิดประตู จึงพักเจ้าโปริสาทและพระราชา ๑๐๑ พระองค์ไว้ เสด็จเข้าไปกับอำมาตย์ ๒๓ คน ไปยังประตูเมือง ตรัสว่าเราคือมหาราชชื่อว่าสุตโสม จงเปิดประตู
พวกราชบุรุษไปกราบทูลพระราชา พระราชาตรัสว่า พระเจ้าสุตโสมมหาราชเป็นบัณฑิต เป็นพระเจ้าทรงธรรมตั้งอยู่ในศีล ภัยไม่มีแก่พวกเราอย่างแน่นอน แล้วรับสั่งให้เปิดประตูพระนครทันที พระมหาสัตว์เสด็จเข้าพระนคร พระราชาและท่านกาฬหัตถีเสนาบดีไปรับเสด็จพระมหาสัตว์ นำเสด็จขึ้นปราสาท พระมหาสัตว์ประทับ ณ พระราชอาสน์แล้ว รับสั่งให้หาพระอัครมเหสี และพวกอำมาตย์ของเจ้าโปริสาทมาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนท่านกาฬหัตถี เหตุไรจึงไม่ให้พระราชาเข้าพระนคร
ท่านกาฬหัตถีกราบทูลว่า เมื่อท้าวเธอทรงราชย์ได้กินเนื้อมนุษย์ในพระนครนี้เป็นจำนวนมากคน ทรงกระทำกรรมที่กษัตริย์ไม่สมควรทำเลย ได้ทำช่องในชมพูทวีปทั้งสิ้น ท้าวเธอมีธรรมอันลามกเช่นนี้ เพราะเหตุนั้น เขาจึงไม่ให้พระองค์เข้าพระนคร พระมหาสัตว์ตรัสว่า บัดนี้พวกท่านอย่างวิตกเลยว่าเธอจักทำเช่นนั้นอีก เราทรมานเธอให้ตั้งอยู่ในศีลแล้ว เธอจักไม่เบียดเบียนใคร ๆ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ภัยแต่เธอไม่มีแก่พวกท่าน ท่านทั้งหลายอย่าทำอย่างนี้ขึ้นชื่อว่าบุตรและธิดาต้องปฏิบัติมารดาและบิดา ท่านที่เลี้ยงมารดาบิดานั่นแหละจะไปสวรรค์ คนที่ไม่เลี้ยงมารดาบิดาจะไปนรก.
พระมหาสัตว์ประทานพระโอวาทแก่พระราชโอรสผู้ประทับนั่ง ณ อาสนะต่ำอย่างนี้แล้ว ตรัสสอนเสนาบดีว่า ดูก่อนท่านกาฬหัตถี ท่านเป็นสหายและเสวกของพระราชา แม้พระราชาก็ได้ทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งอันสูงศักดิ์ แม้ท่านก็ควรจะประพฤติเป็นประโยชน์แก่พระราชา แล้วประทานโอวาทแม้แก่พระเทวีว่า ดูก่อนพระเทวี แม้เธอก็มาจากเรือนตระกูล ได้รับตำแหน่งอัครมเหสีในสำนักของพระราชา ถึงความเจริญด้วยพระโอรสและพระธิดา แม้เธอก็ควรประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่พระราชา
พระราชาและเสนาบดี ได้สดับธรรมกถาของพระโพธิสัตว์แล้ว เกิดปีติโสมนัส ปรึกษากันที่จะไปเชิญเสด็จพระราชา จึงสั่งให้คนตีกลองเที่ยวไปในพระนคร ให้ชาวเมืองประชุมกัน แล้วประกาศให้ทราบว่า ท่านทั้งหลายอย่ากลัวเลย ได้ยินว่า พระราชาเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในธรรมแล้ว จงพากันมาเถิดพวกเราจักไปนำพระราชานั้นมา จึงพามหาชนไปยังสำนักของพระราชา ถวายบังคมแล้ว ให้เจ้าพนักงานช่างกัลบกแต่งพระเกศาและพระมัสสุแล้ว ให้สรงสนานพระองค์ด้วยเครื่องสุคนธ์ แต่งพระองค์ด้วยพระภูษาอาภรณ์ ตามขัตติยราชประเพณีแล้ว เชิญเสด็จขึ้นบนราชบัลลังก์ อภิเษกแล้วเชิญเสด็จเข้าสู่พระนคร
พระเจ้าโปริสาทได้ทรงทำสักการะแก่กษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์ และพระมหาสัตว์เป็นการใหญ่ เกิดความโกลาหลใหญ่ทั่วชมพูทวีปว่า ได้ยินว่า จอมนรินทร์สุตโสมได้ทรงทรมานเจ้าโปริสาทแลได้ให้ประดิษฐานอยู่ในราชสมบัติแล้ว แม้ประชาชนชาวนครอินทปัต ก็ได้ส่งทูตไปเชิญเสด็จพระมหาสัตว์กลับพระนคร พระมหาสัตว์ประทับอยู่ในพระนครพาราณสีนั้น ประมาณครึ่งเดือน ตรัสสอนพระเจ้าโปริสาท ดูก่อนสหาย เราจะลากลับละนะ พระองค์ จงอย่าได้เป็นผู้ประมาท จงให้สร้างโรงทาน ๕ แห่ง คือ ทำที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง และที่ประตูพระราชวัง ๑ แห่ง จงทรงบำเพ็ญทาน จงทรงประพฤติราชธรรม ๑๐ ประการอย่าให้กำเริบ จงทรงละการถึงอคตินะ มหาราช
พลนิกายจากราชธานี ๑๐๑ ได้มาประชุมกันมากมาย พระมหาสัตว์มีพลนิกายเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว เสด็จออกจากพระนครพาราณสี แม้พระเจ้าโปริสาท ก็ได้เสด็จออกจากพระนคร เมื่อเสด็จส่งถึงครึ่งหนทางก็เสด็จกลับ พระมหาสัตว์ประทานพาหนะแก่พวกพระราชาที่ไม่มีพาหนะ ทรงส่งพระราชาเหล่านั้นทุกพระองค์ แม้พระราชาเหล่านั้นก็แสดงความชื่นบานกับพระมหาสัตว์ ได้กระทำกิจมีการถวายบังคมและการเจรจาเป็นต้นตามสมควร แล้วได้เสร็จกลับไปยังชนบทของตน ๆ แม้พระมหาสัตว์เสด็จเข้าสู่พระนครที่พวกประชาชนชาวเมืองอินทปัต ตกแต่งไว้ดีแล้วประหนึ่งเทพนคร ถวายบังคมพระราชมารดาบิดา ทรงกระทำปฏิสันถารอันอ่อนน้อมแล้ว เสด็จขึ้นสู่ท้องพระโรง.
ฝ่ายพระเจ้าโปริสาทเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติโดยธรรม ทรงดำริว่ารุกขเทวดามีอุปการะแก่เราเป็นอันมาก เราจักกระทำลาภ คือ พลีกรรมแก่ท่านท้าวเธอรับสั่งให้สร้างสระใหญ่ใกล้กับต้นไทรส่งตระกูลไปเป็นอันมาก ตั้งเป็นตำบลบ้านขึ้น บ้านนั้นได้เป็นบ้านใหญ่ประดับด้วยหนทาง และร้านตลาดถึงแปดหมื่น ส่วนต้นไทรนั้น ตั้งแต่ที่สุดกิ่งเข้ามา โปรดให้ปราบพื้นที่ให้ราบเรียบเสมอกัน ให้สร้างกำแพงมีแท่นบูชาและมีเสาระเนียดเป็นประตูแวดล้อม.เทวดาชื่นบานเป็นอย่างยิ่ง บ้านนั้นได้ชื่อว่ากัมมาสบาทนิคม เพราะเป็นสถานที่ทรมานเจ้ากัมมาสบาทและเป็นที่อยู่ของท้าวเธอด้วย พระราชาเหล่านั้น ๆ ตั้งอยู่ในโอวาทของพระมหาสัตว์ได้ทรงทำบุญมีทานเป็นต้น บำเพ็ญทางสวรรค์ให้บริบูรณ์แล้ว.
พระศาสดาครั้งทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศอริยสัจ แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตได้ทรมานพระอังคุลิมานในบัดนี้เท่านั้นก็หาไม่ แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็ได้ทรมานเธอแล้วเหมือนกัน
แล้วทรงประชุมชาดกว่า พระเจ้าโปริสาทในกาลนั้น ได้เป็นอังคุลิมาล กาฬหัตถีเสนาบดีได้เป็นสารีบุตร นันทพราหมณ์ได้เป็นอานนท์ รุกขเทวดาได้เป็นกัสสป ท้าวสักกะได้เป็นอนุรุทธะ พระราชา ๑๐๑ พระองค์ที่เหลือได้เป็นพุทธบริษัท พระราชมารดาบิดาได้เป็นมหาราชตระกูล ส่วนพระเจ้าสุตโสมคือเราตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยประการฉะนี้แล.
จบมหาสุตโสมชาดก
15#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-5-5 10:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทรงบำเพ็ญปัญญาปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นเสนกบัณฑิต

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ พระปัญญาบารมีของพระองค์ จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้ เรื่องปัจจุบันจักมีแจ่มแจ้งในอุมมังคชาดก (มโหสถชาดก)
ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่า ชนก ครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ เหล่าญาติได้ขนานนามท่านว่า เสนกะ ท่านเติบโต แล้วเรียนศิลปะทุกอย่างที่เมืองตักกศิลา แล้วกลับมาเฝ้าพระราชาที่นครพาราณสี พระราชาทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งอำมาตย์ และทรงเพิ่มยศยิ่งใหญ่ให้ท่าน ท่านได้ถวายอรรถธรรมแก่พระราชาเนืองๆ ท่านเป็นผู้สอนธรรมที่มีถ้อยคำไพเราะ ให้พระราชาทรงดำรงอยู่ในเบญจศีล แล้วให้ทรงดำรงอยู่ในปฏิปทาที่ดีงามนี้ คือในทาน ในอุโบสถกรรม และใน กุศลกรรมบถ ๑๐ ข้อ
สมัยนั้น ได้เป็นเสมือนเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในสากลรัฐ พระมหาสัตว์ไปที่ท่ามกลางแท่นที่อบอวลไปด้วยของหอม ในธรรมสภาที่เขาเตรียมไว้แล้ว ก็แสดงธรรมด้วยพุทธลีลา ธรรมกถาของท่านเป็นเช่นกับธรรมกถาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ปานกัน
ลำดับนั้น พราหมณ์ชราคนหนึ่งเที่ยวหาขอเงิน ได้เงินพันกหาปณะ เก็บฝากไว้ที่ตระกูลพราหมณ์ตระกูลหนึ่ง แล้วคิดว่า เราจะเที่ยวขออีก ดังนี้ แล้วก็ไป ในเวลาพราหมณ์นั้นไปแล้ว ตระกูลนั้นใช้กหาปณะหมด พราหมณ์นั้นกลับมา แล้วขอกหาปณะคืน พราหมณ์ไม่อาจจะให้กหาปณะคืนได้ จึงได้ให้ธิดาของตนให้เป็น นางบำเรอบาท คือเมียของพราหมณ์นั้น พราหมณ์พานางไปอยู่กินกันที่หมู่บ้านตำบลหนึ่ง ไม่ไกลจากนครพาราณสี คราที่นั้น ภรรยาของเขาผู้ไม่อิ่มในกามเพราะยังสาว จึงประพฤติมิจฉาจาร คือเป็นชู้กับพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่ง เพราะว่า ขึ้นชื่อว่าของที่ไม่รู้จักอิ่มมี ๑๖ อย่างคือ:
๑ มหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำที่ไหลมาทุกทิศทุกทาง
๒ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ
๓ พระราชาไม่ทรงอิ่มด้วยราชสมบัติ
๔ คนพาลไม่อิ่มด้วยบาป
๕ หญิงไม่อิ่มด้วยของ ๓ อย่างเหล่านี้ คือ เมถุนธรรม ๑ เครื่องประดับ ๑ การคลอดบุตร ๑
๖ พราหมณ์ไม่อิ่มด้วยมนต์
๗ ผู้ได้ฌานไม่อิ่มด้วยวิหารสมาบัติ คือการเข้าฌาน
๘ พระเสขบุคคลไม่อิ่มด้วยการหมดเปลืองในการให้ทาน
๙ ผู้มักน้อยไม่อิ่มด้วยธุดงค์คุณ
๑๐ ผู้เริ่มความเพียรแล้วไม่อิ่มด้วยการปรารภความเพียร
๑๑ ผู้แสดงธรรม คือนักเทศน์ไม่อิ่มด้วยการสนทนาธรรม
๑๒ ผู้กล้าหาญไม่อิ่มด้วยบริษัท
๑๓ ผู้มีศรัทธาไม่อิ่มด้วยการอุปัฏฐากพระสงฆ์
๑๔ ทายกไม่อิ่มด้วยการบริจาค
๑๕ บัณฑิตไม่อิ่มด้วยการฟังธรรม
๑๖ บริษัท ๔ ไม่อิ่มในการเฝ้าพระพุทธเจ้า
ถึงนางพราหมณีนั้นก็ไม่อิ่มด้วยเมถุนธรรม ต้องการจะสลัดพราหมณ์นั้นให้ออกไป แล้วทำบาปกรรม วันหนึ่งนางนอนกลุ้มใจอยู่ เมื่อพราหมณ์ถามว่า แม่มหาจำเริญ มีเรื่องอะไรหรือ ?
นางจึงพูดว่า พราหมณ์เจ้าขา ฉันทำงานในบ้านของท่านไม่ไหว ขอท่านจงไปนำเอาทาสหญิง ทาสชายมา
พราหมณ์ แม่มหาจำเริญ ทรัพย์ของเราไม่มี ฉันจะให้อะไรเขา แล้วจึงจะนำทาสหญิงทาสชายมาได้
พราหมณี เที่ยวขอเสาะหาทรัพย์ แล้วนำมาสิ
พราหมณ์ แม่มหาจำเริญ ถ้าอย่างนั้น เธอจงเตรียมเสบียง ให้ฉัน
นางจึงเตรียมข้าวตูก้อนข้าวตูผง บรรจุเต็มไถ้หนังแล้วได้มอบให้พราหมณ์ไป ฝ่ายพราหมณ์เมื่อเที่ยวไปในหมู่บ้านนิคมและราชธานี ทั้งหลายได้เงิน ๗๐๐ กหาปณะ เห็นว่า เงินเท่านี้พอแล้วสำหรับเรา เพื่อเป็นค่าทาสชายและทาสหญิง แล้วก็กลับมาบ้านของตน
เมื่อมาถึงที่แห่งหนึ่ง เป็นสถานที่มีน้ำสะดวกสบาย จึงแก้ไถ้ออกกินข้าวตู แล้วไม่ได้ผูกปากไถ้เลย ลงไปดื่มน้ำ งูเห่าหม้อตัวหนึ่งได้กลิ่นข้าวตู จึงเลื้อยเข้าขดตัวนอนกินข้าวตูอยู่ เมื่อพราหมณ์นั้นกลับมาแล้วก็ไม่ได้มองดูภายในไถ้ ผูกไถ้แล้วแบกขึ้นบ่าไป
เทวดาผู้เกิดบนต้นไม้ต้นหนึ่ง ในระหว่างทางยืนอยู่ที่ค่าคบต้นไม้ พูดว่า ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าท่านพักระหว่างทาง ท่านจักตายเอง แต่ถ้าวันนี้ ท่านไปถึงบ้าน ภรรยาของท่านจักตาย แล้วก็หายไป
เขามองดูอยู่ไม่เห็นเทวดา กลัวถูกภัย คือความตาย คุกคาม จึงร้องไห้คร่ำครวญไปถึงประตูพระนครพาราณสี ก็วันนั้น เป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ เป็นวันที่พระโพธิสัตว์นั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์ที่เขาตกแต่งแล้ว มหาชนพากันถือของหอมและดอกไม้เดินไปฟังธรรมกถากันเป็นพวกๆ
พราหมณ์เห็นเขา จึงถามว่า ท่านทั้งหลายไปไหนกัน พ่อคุณ ?
เมื่อเขาบอกว่า ดูก่อนพราหมณ์ วันนี้ เสนกบัณฑิตจะแสดงธรรมด้วยเสียงไพเราะตามพุทธลีลา ท่านไม่รู้หรือ ?
พราหมณ์จึงคิดว่า ได้ทราบว่า ท่านผู้แสดงธรรมเป็นบัณฑิต ส่วนเราถูกมรณภัยคุกคาม ผู้เป็นบัณฑิตอาจจะบรรเทาความโศกตั้งมากมายได้ เรานั้นก็ควรไปฟังธรรม ณ ที่นั้น เขาจึงไปที่นั้นกับมหาชนนั้น เมื่อถึงที่นั้นด้วยความกลัวตายจึงได้ยืนร้องไห้อยู่ท้ายบริษัทที่มีพระราชานั่งห้อมล้อมพระมหาสัตว์อยู่ไม่ไกลจากธรรมาสน์ ทั้งๆ ที่ไถ้ข้าวตูยังพาดอยู่ที่ต้นคอ
พระมหาสัตว์แสดงธรรมอันวิจิตร มหาชนเกิดความโสมนัส ให้สาธุการเมื่อได้ฟังธรรมกันแล้ว ธรรมดาบัณฑิตทั้งหลายเป็นผู้มองดูทิศทาง ดังนั้นเมื่อพระมหาสัตว์ลืมตาขึ้นดูบริษัทโดยรอบ เห็นพราหมณ์นั้นจึงคิดว่า บริษัทจำนวนเท่านี้ เกิดความโสมนัสให้สาธุการฟังธรรมกัน แต่พราหมณ์คนนี้คนเดียวถึงความโทมนัสร้องไห้ พราหมณ์นั้นต้องมีความเศร้าโศกที่สามารถให้น้ำตาเกิดขึ้นอยู่ภายใน แน่ๆ เราจักพลิกใจพราหมณ์ผู้มืดมน แสดงธรรมให้เขาไม่มีความโศกให้พอใจในเรื่องนี้ทีเดียว เหมือนสนิมทองแดงหลุดออกไปเพราะขัดด้วยของเปรี้ยว และเหมือนหยดน้ำกลิ้งออกไปจากใบบัวฉะนั้น ท่านได้เรียกพราหมณ์นั้นมาหา เมื่อเจรจากับพราหมณ์นั้นว่า ดูก่อนพราหมณ์ เราชื่อว่า เสนกบัณฑิต เราจักทำให้ท่านไม่มีความเศร้าโศก ขอท่านจงวางใจ แล้วบอกมาเถิด จึงกล่าว คาถาแรกว่า:
[๑๐๑๔] ท่านเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน มีอินทรีย์กำเริบ หยาดน้ำตาไหลออกจากนัยน์ตา
ทั้งสองของท่าน อะไรของท่านหายหรือ หรือว่าท่านปรารถนาอะไรจึงได้
มาในที่นี้ ดูกรพราหมณ์ เชิญท่านพูดไปเถิด??*
*ความว่า พระมหาสัตว์ เมื่อจะตักเตือนพราหมณ์นั้น จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายเศร้าโศกคร่ำครวญกัน เพราะเหตุ ๒ ประการ คือ เมื่อสูญเสียญาติที่รักบางคน หรือปรารถนาญาติที่รักบางคน แต่ไม่ได้ดังต้องการนั่นเอง ในจำนวน ๒ อย่างนั้น ท่านสูญเสียอิฏฐผลข้อไหน ก็ท่านปรารถนาอะไร จึงมาที่นี้ ? ขอจงบอกเรื่องนี้แก่เราโดยเร็วเถิด
ลำดับนั้น พราหมณ์เมื่อจะบอกเหตุแห่งความโศกของตนแก่ พระมหาสัตว์ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:
[๑๐๑๕] (รุกขเทวดาตนหนึ่งกล่าวว่า) เมื่อข้าพเจ้าไปสู่เรือนวันนี้ ภรรยาของ
ข้าพเจ้าจะตาย เมื่อข้าพเจ้าไม่ไป ความตายจะมีแก่ข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้า
เป็นผู้หวาดเกรงด้วยทุกข์นี้ ข้าแต่เสนกบัณฑิต ขอท่านจงบอกเหตุนี้
แก่ข้าพเจ้าเถิด
16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-5-5 10:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ได้ทราบว่า เทวดานั้น ควรจะบอกว่า พราหมณ์ ในไถ้ของท่านมีงูเห่าหม้อ แต่ไม่บอกดังนั้น ทั้งนี้ก็เพื่อจะประกาศอานุภาพญาณของพระโพธิสัตว์
พระมหาสัตว์ได้ฟังคำของพราหมณ์ แล้วจึงแผ่ข่ายญาณไป เหมือนเหวี่ยงแหลงในน่านน้ำทะเล คิดแล้วว่า เหตุแห่งการตายของสัตว์เหล่านี้มีมาก คือจมทะเลไปบ้าง ถูกปลาร้ายในทะเลนั้นคาบไปบ้าง ตกลงไปในน้ำบ้าง ถูกจระเข้ในแม่น้ำนั้นคาบไปบ้าง ตกต้นไม้บ้าง ถูกหนามแทงบ้าง ถูกประหารด้วยอาวุธนานาประการบ้าง กินยาพิษเข้าไปบ้าง ปีนขึ้นภูเขาแล้วตกลงไปในเหวบ้าง หรือถูกโรคนานาประการ มีหนาวจัดเป็นต้น เบียดเบียนบ้าง ตายเหมือนกันทั้งนั้น เมื่อเหตุแห่งการตายมีมากอย่างนี้ ด้วยเหตุอะไรหนอแล ที่วันนี้ถ้าพราหมณ์นั้นอยู่ระหว่างทางจึงจักตายเอง แต่เมื่อไปถึงบ้าน ภรรยาของเขาจักตาย
เมื่อพระมหาสัตว์กำลังคิดอยู่นั้นก็ได้มองเห็นไถ้อยู่บนคอของพราหมณ์ ก็รู้ได้ด้วยญาณ คือความฉลาดในอุบายว่า ในไถ้นี้คงมีงูตัวหนึ่งเลื้อยเข้าไปอยู่ข้างในและเมื่อจะเลื้อยเข้าไป มันคงจะเลื้อยเข้าไปเพราะกลิ่นข้าวตู ในเมื่อพราหมณ์คนนี้กินข้าวตู ในเวลาอาหารเช้าไม่ได้ผูกปาก ไถ้ไว้เลย แล้วไปดื่มน้ำ พราหมณ์ดื่มน้ำ แล้วมาไม่ทราบว่างูเข้าไปอยู่ในไถ้แล้ว คงจักผูกปากไถ้แล้วก็แบกเอาไป พราหมณ์นี้นั้น เมื่อพักอยู่ระหว่างทาง ก็จักแก้ไถ้สอดมือเข้าไป ด้วยตั้งใจว่า เราจักกินข้าวตู ณ สถานที่พักในเวลาเย็น เมื่อเป็นเช่นนั้นงูก็จะกัดมือเขาให้ถึงสิ้นชีวิต นี้คือเหตุแห่งการตายของพราหมณ์ผู้พักอยู่ระหว่างทาง
แต่ถ้าพราหมณ์ไปถึงบ้านไซร้ ไถ้จักตกถึงมือของภรรยา นางก็จักแก้ไถ้ เอามือล้วง ด้วยตั้งใจว่า จักดูของอยู่ข้างใน เมื่อเป็นเช่นนั้น งูก็จักกัดนางให้ถึงความสิ้นชีพ นี้คือเหตุแห่งการตายของภรรยาของเขา
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ได้มีความดำรินี้ว่า งูเห่าหม้อตัวนี้กล้าหาญ ควรจะให้มันปลอดภัย เพราะว่างูตัวนี้ แม้จะกระทบสีข้างใหญ่ของพราหมณ์ ก็ไม่แสดงความหวั่นไหวหรือความดิ้นรนของตน ถึงในท่ามกลางบริษัทชนิดนี้ ก็ไม่แสดงความมีอยู่ของตน เพราะฉะนั้น งูเห่าหม้อตัวนี้ที่กล้าหาญ จึงควรปลอดภัย แม้เหตุการณ์ดังที่ว่ามานี้ พระมหาสัตว์ก็ได้รู้ด้วยญาณ คือความเป็นผู้ฉลาดในอุบายนั่นเอง เหมือนเห็นด้วยทิพย์จักขุ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระมหาสัตว์กำหนดด้วยญาณ คือความเป็นผู้ฉลาดในอุบายนั่นเอง เหมือนคนยืนดูงูที่กำลังเลื้อยเข้า ไปในไถ้ ท่ามกลางบริษัทที่มีพระราชา เมื่อจะแก้ปัญหาของพราหมณ์ จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า:
[๑๐๑๖] เราคิดเห็นเหตุเป็นอันมากได้ตลอดแล้ว บรรดาเหตุเหล่านั้น เหตุที่เราจะ
บอกเป็นความจริง ดูกรพราหมณ์ เราเข้าใจว่าเมื่อท่านมิได้รู้สึก งูเห่า
ตัวหนึ่งเลื้อยเข้าไปในไถ้ข้าวสัตตูของท่าน
ก็แหละพระมหาสัตว์ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงถามว่า พราหมณ์ มีไหมข้าวตูในไถ้ของท่านนั้น ?
พราหมณ์ มี ท่านบัณฑิต
พระมหาสัตว์ วันนี้ เวลาอาหารเช้า ท่านนั่งกินข้าวตูละสิ ?
พราหมณ์ ใช่ ท่านบัณฑิต
พระมหาสัตว์ นั่ง ที่ไหนล่ะ ?
พราหมณ์ ที่ควงไม้ ในป่า
พระมหาสัตว์ ท่านกินข้าวตูแล้ว เมื่อไปดื่มน้ำ ไม่ได้ผูกปากไถ้ล่ะสิ ?
พราหมณ์ ไม่ได้ผูก ท่านบัณฑิต
พระมหาสัตว์ ท่านดื่มน้ำแล้วมา ไม่ได้ตรวจดูไถ้ผูกเลยสิ ?
พราหมณ์ ไม่ได้ดู ผูกเลย ท่านบัณฑิต
พระมหาสัตว์ พราหมณ์ เราเข้าใจว่า ในเวลาท่านไปดื่มน้ำ งูเข้าไป ในไถ้แล้ว เพราะได้กลิ่นข้าวตูของท่านซึ่งไม่รู้ตัวเลย เมื่อท่านได้มาที่นี้อย่างนี้แล้ว เพราะฉะนั้น ให้ยกไถ้ลงวางไว้ท่ามกลางบริษัท แก้ปากไถ้ออก แล้วเลี่ยงไปยืนอยู่ห่างพอควร ถือไม้ท่อนหนึ่งเคาะไถ้ก่อน ต่อจากนั้น ก็จักเห็นงูเห่าหม้อ แผ่แม่เบี้ย เห่าฟ่อๆ เลื้อยออกมา แล้วหายสงสัย ดังนี้ แล้วจึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า:
[๑๐๑๗] ท่านจงเอาท่อนไม้เคาะไถ้ดูเถิด จะเห็นงูแลบลิ้นมีน้ำลายไหลเลื้อยออก
จากไถ้ ท่านจะสิ้นความสงสัยเคลือบแคลงวันนี้แหละ ท่านจะได้เห็นงู
เดี๋ยวนี้แหละ จงแก้ไถ้เถิด
17#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-5-5 10:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พราหมณ์ได้ฟังคำของพระมหาสัตว์ แล้วสลดใจถึงความกลัว ได้ทำตามนั้น ฝ่ายงูพอถูกไม้เคาะขนดก็เลื้อยออกจากปากไถ้ เห็นผู้คนมากมาย จึงได้หยุดอยู่
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๕ ว่า:
[๑๐๑๘] พราหมณ์นั้นสลดใจ ได้แก้ไถ้ข้าวสัตตู ณ ท่ามกลางบริษัท ลำดับนั้น
งูพิษมากได้แผ่แม่เบี้ยเลื้อยออกมา
ในเวลางูแผ่แม่เบี้ยออกมา คำพยากรณ์ของพระมหาสัตว์ได้เป็น เสมือนคำพยากรณ์ของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า มหาชนพากันชูผ้าขึ้น เป็นจำนวนพัน ยกนิ้วขึ้นดีดหมุนไปรอบๆ เป็นพันๆ ครั้ง ฝนแก้ว ๗ ประการตกลงมา เหมือนลูกเห็บตก สาธุการก็เป็นไปเป็นจำนวนพันๆ เสียงดังปานประหนึ่งมหาปฐพีจะถล่มทะลาย ก็ธรรมดาการแก้ปัญหาด้วยพุทธลีลาแบบนี้ ไม่ใช่เป็นพลังของชาติ ไม่ใช่เป็นพลังของโคตร ของตระกูล ของประเทศ ของยศและของทรัพย์ทั้งหลาย แต่เป็นพลังของอะไรหรือ เป็นพลังของปัญญา ด้วยว่าบุคคลผู้มีปัญญา เจริญวิปัสสนา แล้วจะเปิดประตูอริยมรรคเข้าอมตมหานิพพานได้ ทะลุทะลวงสาวกบารมีบ้าง ปัจเจกโพธิญาณบ้าง สัมมาสัมโพธิญาณบ้าง เพราะว่าบรรดาธรรมทั้งหลายที่จะให้บรรลุอมตมหานิพพาน ปัญญาเท่านั้นประเสริฐที่สุด ธรรมทั้งหลายที่เหลือเป็นเพียงบริวารของปัญญา เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสไว้ว่า:
ผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าวว่า ปัญญาแล
ประเสริฐที่สุด เหมือนดวงจันทร์ประเสริฐกว่า
ดวงดาวทั้งหลาย ฉะนั้น ศีลก็ดี แม้สิริก็ดี
ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายก็ดี เป็นสิ่งคล้อย
ตามผู้มีปัญญา
ก็แล เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวแก้ปัญหาอย่างนี้ แล้วหมองูคนหนึ่ง ก็จับงูไปปล่อยในป่า พราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระราชา ให้พระองค์ทรงมีชัย แล้วประคองอัญชลี เมื่อจะสดุดีพระราชา จึงกล่าวคาถากึ่งคาถาว่า:
[๑๐๑๙] การที่พระเจ้าชนกได้ทรงเห็นเสนกบัณฑิต ผู้มีปัญญา ให้สำเร็จประ
โยชน์กิจทั้งปวง เป็นลาภ อันพระองค์ได้ดีแล้ว
คาถานั้นมีอรรถาธิบายว่า พระชนกพระองค์ใดทรงลืมพระนคร แล้วได้ทรงเห็นเสนกบัณฑิตผู้มีปัญญาดี ด้วยพระเนตรที่น่ารักทุกขณะที่ทรงปรารถนานั้น เป็นลาภที่พระองค์
ก็แหละ ครั้นถวายสดุดีพระราชา แล้วพราหมณ์ได้หยิบเอาเงิน ๗๐๐ กหาปณะออกมาจากไถ้ ประสงค์จะสดุดีพระมหาสัตว์ให้ความชื่นชม จึงกล่าวคาถา ๑ กับครึ่งคาถาว่า:
ท่านเป็นผู้เปิดหลังคา
คือ กิเลสได้แล้วหนอ เป็นผู้เห็นแจ้งในสิ่งทั้งปวง ข้าแต่พราหมณ์
ความรู้ของท่านน่าพิศวงยิ่งนัก ข้าพเจ้ามีทรัพย์อยู่ ๗๐๐ ขอท่านจงรับ
ไว้เถิด ข้าพเจ้าขอให้ท่านทั้งหมด ข้าพเจ้าได้ชีวิตในวันนี้ ก็เพราะท่าน
อนึ่ง ท่านยังได้ทำความสวัสดีให้แก่ภรรยาของข้าพเจ้าอีกด้วย
พระโพธิสัตว์ ครั้นได้ยินคำนั้น แล้วจึงกล่าวคาถาที่ ๘ ว่า:
[๑๐๒๐] บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่รับรางวัล เพราะคาถา อันวิจิตรที่ตนกล่าวดีแล้ว
ดูกรพราหมณ์ ท่านจงให้ทรัพย์ของท่านที่ใกล้เท้าของเรานี้เสียก่อน?*  แล้ว
จงถือเอาไปยังเรือนของตนเถิด
ก็แหละ พระมหาสัตว์ครั้นพูดอย่างนี้ แล้วก็ให้กหาปณะแก่ พราหมณ์อีก ๓๐๐ กหาปณะให้ทรัพย์นั้นเต็มพัน แล้วถามว่า พราหมณ์ ใครส่งท่านมาหาขอทรัพย์ ?
พราหมณ์ ภรรยาของผม ท่านบัณฑิต
พระมหาสัตว์ ก็ภรรยาของท่าน แก่หรือสาว ?
พราหมณ์ สาว ท่านบัณฑิต
พระมหาสัตว์ ถ้าอย่างนั้น เขาคงประพฤติอนาจารกับชายอื่น จึงส่งท่านไป ด้วยหมายใจว่าจักได้ประพฤติอนาจารได้อย่างปลอดภัย พระมหาสัตว์บอกว่า ถ้าหากท่านนำกหาปณะเหล่านี้ไปถึงเรือนแล้วไซร้ นางจักให้กหาปณะที่ท่านได้มาด้วยความลำบากแก่ชู้ของตน เพราะฉะนั้น ท่านอย่าตรงไปบ้านทีเดียว ควรเก็บกหาปณะไว้ที่ควงไม้หรือที่ใดที่หนึ่งนอกบ้าน แล้วจึงเข้าไป ดังนี้ แล้วจึงส่งเขาไป
พราหมณ์นั้นไปใกล้บ้าน แล้วเก็บกหาปณะไว้ใต้ควงไม้ต้นหนึ่ง แล้วจึงได้ไปบ้านในเวลาเย็น ขณะนั้น ภรรยาของเขาได้นั่งอยู่กับชายชู้ พราหมณ์ยืนที่ประตู แล้วกล่าวว่า น้องนาง นางจำเสียงเขาได้ จึงดับไฟปิดประตู เมื่อพราหมณ์เข้าข้างในแล้วจึงนำชู้ออกไปให้ยืนอยู่ริมประตู แล้วก็เข้าบ้าน ไม่เห็นอะไรในไถ้ จึงถามว่า ท่านพราหมณ์ ท่านไปเที่ยวขอได้อะไรมา
พราหมณ์ ได้กหาปณะพันหนึ่ง
ภรรยา เก็บไว้ที่ไหน ? ?
พราหมณ์ เก็บไว้ที่โน้น พรุ่งนี้เช้าจึงจักเอามา อย่าคิดเลย
นางไปบอกชายชู้ เขาจึงออกไปหยิบเอาเหมือนของตนที่เก็บไว้เอง ในวันรุ่งขึ้นพราหมณ์ไปแล้วไม่เห็นกหาปณะ จึงไปหาพระโพธิสัตว์ เมื่อถูกถามว่า เรื่องอะไร พราหมณ์ ? ?จึงบอกว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นกหาปณะ ท่านบัณฑิต
พระมหาสัตว์ ก็ท่านบอกภรรยาของท่านละสิ
พราหมณ์ ถูกแล้ว ท่านบัณฑิต
พระมหาสัตว์ก็รู้ว่า นางนั้นบอกชายชู้ จึงถามว่า ดูก่อนพราหมณ์ ก็ภรรยาของท่าน มีพราหมณ์ประจำตระกูลไหม ?
พราหมณ์ มี ท่านบัณฑิต
พระมหาสัตว์ ฝ่ายท่านล่ะ มีไหม
พราหมณ์ มี ท่านบัณฑิต
จึงพระมหาสัตว์ได้ให้พราหมณ์ถวายเสบียงอาหารแก่พราหมณ์ประจำตระกูลนั้น เป็นเวลา ๗ วัน แล้วบอกว่า ไปเถิดท่าน วันแรก จงเชื้อเชิญพราหมณ์มารับประทาน ๑๔ คน คือ ฝ่ายท่าน ๗ คน ฝ่ายภรรยา ๗ คน ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นเป็นต้นไป ให้ลดลงวันละ ๑ คน ในวันที่ ๗ จึงเชื้อเชิญ ๒ คน คือ ฝ่ายท่าน ๑ คน ฝ่ายภรรยาของ ท่าน ๑ คน ท่านจงจำพราหมณ์คนที่ภรรยาของท่านเชื้อเชิญมาตลอด ๗ วันเป็นประจำนั้นไว้ แล้วมาบอกข้าพเจ้า
พราหมณ์ทำตามนั้น แล้วจึงบอกแก่พระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่ท่านบัณฑิต ข้าพเจ้าจำพราหมณ์ผู้มารับประทานเป็นนิจไว้แล้ว พระโพธิสัตว์ส่งบุรุษไปกับพราหมณ์นั้น ให้นำพราหมณ์คนนั้นมา แล้วถามว่า ท่านเอากหาปณะพันหนึ่งที่เป็นของพราหมณ์คนนี้ไปจากควงไม้ต้นโน้นหรือ ?
พราหมณ์ คนนั้นปฏิเสธว่า ผมไม่ได้เอาไป ท่านบัณฑิต
พระโพธิสัตว์บอกว่า ท่านไม่รู้จักว่าเราเป็นเสนกบัณฑิต เราจักให้ท่านนำกหาปณะมาคืน เขากลัว จึงรับว่า ผมเอาไป
พระมหาสัตว์ ท่านเอาไปเก็บไว้ที่ไหน
พราหมณ์ เก็บไว้ ณ ที่นั้นนั่นเอง ท่านบัณฑิต
พระโพธิสัตว์ จึงถามพราหมณ์ผู้เป็นสามีว่า พราหมณ์ หญิง คนนั้นนั่นเอง เป็นภรรยาของท่านหรือ ? หรือจักรับเอาคนอื่น
พราหมณ์ เขานั่นแหละเป็นของผม ท่านบัณฑิต
พระโพธิสัตว์ส่งคนไปให้นำกหาปณะของพราหมณ์และนางพราหมณีมา แล้วบังคับให้พราหมณ์ผู้เป็นโจรมอบกหาปณะแก่พราหมณ์ แล้วให้ลงพระราชอาชญาแก่พราหมณ์ผู้เป็นโจร เนรเทศออกจากพระนครไป และให้ลงพระราชอาชญาแก่พราหมณี ให้ยศใหญ่แก่พราหมณ์ แล้วให้อยู่ในสำนักของตนนั่นเอง
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ทรงประกาศสัจธรรมทั้งหลาย ในที่สุดแห่งสัจธรรม คนจำนวนมากได้ทำให้แจ้ง ซึ่งโสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า พราหมณ์ในครั้งนั้น ได้แก่ พระอานนท์ในบัดนี้ รุกขเทวดา ได้เป็น พระสารีบุตร บริษัท ได้แก่ พุทธบริษัท ส่วนเสนกบัณฑิต ได้แก่ เราตถาคตฉะนี้แล
จบ เสนกชาดก
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้