พราหมณ์ได้ฟังคำของพระมหาสัตว์ แล้วสลดใจถึงความกลัว ได้ทำตามนั้น ฝ่ายงูพอถูกไม้เคาะขนดก็เลื้อยออกจากปากไถ้ เห็นผู้คนมากมาย จึงได้หยุดอยู่ พระศาสดาเมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๕ ว่า: [๑๐๑๘] พราหมณ์นั้นสลดใจ ได้แก้ไถ้ข้าวสัตตู ณ ท่ามกลางบริษัท ลำดับนั้น งูพิษมากได้แผ่แม่เบี้ยเลื้อยออกมา ในเวลางูแผ่แม่เบี้ยออกมา คำพยากรณ์ของพระมหาสัตว์ได้เป็น เสมือนคำพยากรณ์ของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า มหาชนพากันชูผ้าขึ้น เป็นจำนวนพัน ยกนิ้วขึ้นดีดหมุนไปรอบๆ เป็นพันๆ ครั้ง ฝนแก้ว ๗ ประการตกลงมา เหมือนลูกเห็บตก สาธุการก็เป็นไปเป็นจำนวนพันๆ เสียงดังปานประหนึ่งมหาปฐพีจะถล่มทะลาย ก็ธรรมดาการแก้ปัญหาด้วยพุทธลีลาแบบนี้ ไม่ใช่เป็นพลังของชาติ ไม่ใช่เป็นพลังของโคตร ของตระกูล ของประเทศ ของยศและของทรัพย์ทั้งหลาย แต่เป็นพลังของอะไรหรือ เป็นพลังของปัญญา ด้วยว่าบุคคลผู้มีปัญญา เจริญวิปัสสนา แล้วจะเปิดประตูอริยมรรคเข้าอมตมหานิพพานได้ ทะลุทะลวงสาวกบารมีบ้าง ปัจเจกโพธิญาณบ้าง สัมมาสัมโพธิญาณบ้าง เพราะว่าบรรดาธรรมทั้งหลายที่จะให้บรรลุอมตมหานิพพาน ปัญญาเท่านั้นประเสริฐที่สุด ธรรมทั้งหลายที่เหลือเป็นเพียงบริวารของปัญญา เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสไว้ว่า: ผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าวว่า ปัญญาแล ประเสริฐที่สุด เหมือนดวงจันทร์ประเสริฐกว่า ดวงดาวทั้งหลาย ฉะนั้น ศีลก็ดี แม้สิริก็ดี ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายก็ดี เป็นสิ่งคล้อย ตามผู้มีปัญญา ก็แล เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวแก้ปัญหาอย่างนี้ แล้วหมองูคนหนึ่ง ก็จับงูไปปล่อยในป่า พราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระราชา ให้พระองค์ทรงมีชัย แล้วประคองอัญชลี เมื่อจะสดุดีพระราชา จึงกล่าวคาถากึ่งคาถาว่า: [๑๐๑๙] การที่พระเจ้าชนกได้ทรงเห็นเสนกบัณฑิต ผู้มีปัญญา ให้สำเร็จประ โยชน์กิจทั้งปวง เป็นลาภ อันพระองค์ได้ดีแล้ว คาถานั้นมีอรรถาธิบายว่า พระชนกพระองค์ใดทรงลืมพระนคร แล้วได้ทรงเห็นเสนกบัณฑิตผู้มีปัญญาดี ด้วยพระเนตรที่น่ารักทุกขณะที่ทรงปรารถนานั้น เป็นลาภที่พระองค์ ก็แหละ ครั้นถวายสดุดีพระราชา แล้วพราหมณ์ได้หยิบเอาเงิน ๗๐๐ กหาปณะออกมาจากไถ้ ประสงค์จะสดุดีพระมหาสัตว์ให้ความชื่นชม จึงกล่าวคาถา ๑ กับครึ่งคาถาว่า: ท่านเป็นผู้เปิดหลังคา คือ กิเลสได้แล้วหนอ เป็นผู้เห็นแจ้งในสิ่งทั้งปวง ข้าแต่พราหมณ์ ความรู้ของท่านน่าพิศวงยิ่งนัก ข้าพเจ้ามีทรัพย์อยู่ ๗๐๐ ขอท่านจงรับ ไว้เถิด ข้าพเจ้าขอให้ท่านทั้งหมด ข้าพเจ้าได้ชีวิตในวันนี้ ก็เพราะท่าน อนึ่ง ท่านยังได้ทำความสวัสดีให้แก่ภรรยาของข้าพเจ้าอีกด้วย พระโพธิสัตว์ ครั้นได้ยินคำนั้น แล้วจึงกล่าวคาถาที่ ๘ ว่า: [๑๐๒๐] บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่รับรางวัล เพราะคาถา อันวิจิตรที่ตนกล่าวดีแล้ว ดูกรพราหมณ์ ท่านจงให้ทรัพย์ของท่านที่ใกล้เท้าของเรานี้เสียก่อน?* แล้ว จงถือเอาไปยังเรือนของตนเถิด ก็แหละ พระมหาสัตว์ครั้นพูดอย่างนี้ แล้วก็ให้กหาปณะแก่ พราหมณ์อีก ๓๐๐ กหาปณะให้ทรัพย์นั้นเต็มพัน แล้วถามว่า พราหมณ์ ใครส่งท่านมาหาขอทรัพย์ ? พราหมณ์ ภรรยาของผม ท่านบัณฑิต พระมหาสัตว์ ก็ภรรยาของท่าน แก่หรือสาว ? พราหมณ์ สาว ท่านบัณฑิต พระมหาสัตว์ ถ้าอย่างนั้น เขาคงประพฤติอนาจารกับชายอื่น จึงส่งท่านไป ด้วยหมายใจว่าจักได้ประพฤติอนาจารได้อย่างปลอดภัย พระมหาสัตว์บอกว่า ถ้าหากท่านนำกหาปณะเหล่านี้ไปถึงเรือนแล้วไซร้ นางจักให้กหาปณะที่ท่านได้มาด้วยความลำบากแก่ชู้ของตน เพราะฉะนั้น ท่านอย่าตรงไปบ้านทีเดียว ควรเก็บกหาปณะไว้ที่ควงไม้หรือที่ใดที่หนึ่งนอกบ้าน แล้วจึงเข้าไป ดังนี้ แล้วจึงส่งเขาไป พราหมณ์นั้นไปใกล้บ้าน แล้วเก็บกหาปณะไว้ใต้ควงไม้ต้นหนึ่ง แล้วจึงได้ไปบ้านในเวลาเย็น ขณะนั้น ภรรยาของเขาได้นั่งอยู่กับชายชู้ พราหมณ์ยืนที่ประตู แล้วกล่าวว่า น้องนาง นางจำเสียงเขาได้ จึงดับไฟปิดประตู เมื่อพราหมณ์เข้าข้างในแล้วจึงนำชู้ออกไปให้ยืนอยู่ริมประตู แล้วก็เข้าบ้าน ไม่เห็นอะไรในไถ้ จึงถามว่า ท่านพราหมณ์ ท่านไปเที่ยวขอได้อะไรมา พราหมณ์ ได้กหาปณะพันหนึ่ง ภรรยา เก็บไว้ที่ไหน ? ? พราหมณ์ เก็บไว้ที่โน้น พรุ่งนี้เช้าจึงจักเอามา อย่าคิดเลย นางไปบอกชายชู้ เขาจึงออกไปหยิบเอาเหมือนของตนที่เก็บไว้เอง ในวันรุ่งขึ้นพราหมณ์ไปแล้วไม่เห็นกหาปณะ จึงไปหาพระโพธิสัตว์ เมื่อถูกถามว่า เรื่องอะไร พราหมณ์ ? ?จึงบอกว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นกหาปณะ ท่านบัณฑิต พระมหาสัตว์ ก็ท่านบอกภรรยาของท่านละสิ พราหมณ์ ถูกแล้ว ท่านบัณฑิต พระมหาสัตว์ก็รู้ว่า นางนั้นบอกชายชู้ จึงถามว่า ดูก่อนพราหมณ์ ก็ภรรยาของท่าน มีพราหมณ์ประจำตระกูลไหม ? พราหมณ์ มี ท่านบัณฑิต พระมหาสัตว์ ฝ่ายท่านล่ะ มีไหม พราหมณ์ มี ท่านบัณฑิต จึงพระมหาสัตว์ได้ให้พราหมณ์ถวายเสบียงอาหารแก่พราหมณ์ประจำตระกูลนั้น เป็นเวลา ๗ วัน แล้วบอกว่า ไปเถิดท่าน วันแรก จงเชื้อเชิญพราหมณ์มารับประทาน ๑๔ คน คือ ฝ่ายท่าน ๗ คน ฝ่ายภรรยา ๗ คน ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นเป็นต้นไป ให้ลดลงวันละ ๑ คน ในวันที่ ๗ จึงเชื้อเชิญ ๒ คน คือ ฝ่ายท่าน ๑ คน ฝ่ายภรรยาของ ท่าน ๑ คน ท่านจงจำพราหมณ์คนที่ภรรยาของท่านเชื้อเชิญมาตลอด ๗ วันเป็นประจำนั้นไว้ แล้วมาบอกข้าพเจ้า พราหมณ์ทำตามนั้น แล้วจึงบอกแก่พระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่ท่านบัณฑิต ข้าพเจ้าจำพราหมณ์ผู้มารับประทานเป็นนิจไว้แล้ว พระโพธิสัตว์ส่งบุรุษไปกับพราหมณ์นั้น ให้นำพราหมณ์คนนั้นมา แล้วถามว่า ท่านเอากหาปณะพันหนึ่งที่เป็นของพราหมณ์คนนี้ไปจากควงไม้ต้นโน้นหรือ ? พราหมณ์ คนนั้นปฏิเสธว่า ผมไม่ได้เอาไป ท่านบัณฑิต พระโพธิสัตว์บอกว่า ท่านไม่รู้จักว่าเราเป็นเสนกบัณฑิต เราจักให้ท่านนำกหาปณะมาคืน เขากลัว จึงรับว่า ผมเอาไป พระมหาสัตว์ ท่านเอาไปเก็บไว้ที่ไหน พราหมณ์ เก็บไว้ ณ ที่นั้นนั่นเอง ท่านบัณฑิต พระโพธิสัตว์ จึงถามพราหมณ์ผู้เป็นสามีว่า พราหมณ์ หญิง คนนั้นนั่นเอง เป็นภรรยาของท่านหรือ ? หรือจักรับเอาคนอื่น พราหมณ์ เขานั่นแหละเป็นของผม ท่านบัณฑิต พระโพธิสัตว์ส่งคนไปให้นำกหาปณะของพราหมณ์และนางพราหมณีมา แล้วบังคับให้พราหมณ์ผู้เป็นโจรมอบกหาปณะแก่พราหมณ์ แล้วให้ลงพระราชอาชญาแก่พราหมณ์ผู้เป็นโจร เนรเทศออกจากพระนครไป และให้ลงพระราชอาชญาแก่พราหมณี ให้ยศใหญ่แก่พราหมณ์ แล้วให้อยู่ในสำนักของตนนั่นเอง พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ทรงประกาศสัจธรรมทั้งหลาย ในที่สุดแห่งสัจธรรม คนจำนวนมากได้ทำให้แจ้ง ซึ่งโสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า พราหมณ์ในครั้งนั้น ได้แก่ พระอานนท์ในบัดนี้ รุกขเทวดา ได้เป็น พระสารีบุตร บริษัท ได้แก่ พุทธบริษัท ส่วนเสนกบัณฑิต ได้แก่ เราตถาคตฉะนี้แล จบ เสนกชาดก |