|
กว่า 2 ทศวรรษมาแล้ว ที่การค้นหาเรือโนอาห์ เป็นที่สนใจจากนานาชาติ นักสำรวจหลายชุด แถบเทือกเขา อารารัต ทางตะวันออกของตุรกี
ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาวอเมริกัน เรือโนอาห์ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล มีขนาดใหญ่ ทำด้วยไม้สนโกเฟอร์ ทำเป็นห้องๆ และยาชันทั้งข้างในและข้างนอก
ยาว 300 ศอก
กว้าง 50 ศอก สูง 30 ศอก (ใช้หน่วย 1 Cubit = 1 เมตร)
และมี 3 ชั้น
มีประตูด้านข้าง (ปฐมกาล 6:14-16)
เป็นที่รู้กันดี ตั้งแต่ก่อน ศตวรรษที่ 20 แล้วว่า มันมีขนาดใหญ่พอๆ กับเรือเดินสมุทรในปัจจุบัน
พระคัมภีร์กล่าวว่า ณ วันที่ 17 ของเดือนที่ 7 ฝนก็หยุดตก และน้ำเริ่มลด นาวาก็ค้างอยู่บนเทือกเขาอารารัต (ปฐมกาล 8:4) ซึ่งเป็นแถบ อาณาจักร Urartu โบราณ
แต่ไม่ได้ระบุยอดเขาโดยเฉพาะ หลังจากโนอาห์ และครอบครัว ออกจากเรือบนภูเขา เรือนั้นก็ไม่ได้ถูกกล่าวถึง ในพระคัมภีร์อีกเลย ผู้เขียนไบเบิ้ลคนต่อๆ มา ก็ไม่เคยพูดถึง และไม่ได้บอกว่า จะเห็นได้ที่ไหน
อารารัตในปัจจุบัน มีเทือกเขาแฝดสูง ที่น่าสนใจคือ มีรายงานจำนวนมาก ในประวัติศาสตร์ บอกว่าเรือขนาดใหญ่อยู่บนภูเขาแถบนี้ นักวิชาการปัจจุบัน หลายคนคิดว่า ยอดเขาอารารัตในตุรกี เป็นสถานที่ ที่น่าจะพบเรือโนอาห์มากกว่า
เพราะอารารัตคือยอดเขา ที่สูงที่สุดในตุรกี ดังนั้นขณะน้ำลด ภูเขาลูกแรก ที่จะโผล่เหนือน้ำ ต้องเป็นภูเขา Ararat ที่มีหิมะปกคลุมตลอดปี และมีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า Aghri Dagh ซึ่งแปลว่า ภูเขาแห่งความเจ็บปวด ปัจจุบันอารารัตมียอดเขา 2 ยอดคือ Great Ararat ที่สูง 5,137 เมตร กับ Little Ararat ที่สูง 3,896 เมตร และช่วงบนของยอดเขาทั้งสอง
รายงานกว่าศตวรรษจากผู้เคยพบเห็นเรือ ค้นพบชิ้นไม้ ถ่ายรูปได้จากที่สูง มากมาย เป็นที่เชื่อกันว่า อย่างน้อย ชิ้นส่วนที่ใหญ่ๆ ของเรือ น่าจะยังมีอยู่ อาจไม่ได้อยู่ เทือกเขาสูงสุด แต่ที่ไหนซักแห่ง
ซึ่งอยู่เหนือ ขึ้นไป ระดับหมื่นฟุต ภูเขานี้ปกคลุมด้วยหิมะ และน้ำแข็งตลอดทั้งปี มีเพียงช่วงฤดูร้อน ที่จะเข้าไปได้ บางคนก็เคยปีนและเดินขึ้นไป
ในทศวรรษที่ 80 นักสำรวจเรือโนอาห์จำนวนไม่น้อย ได้เข้าร่วมโครงการนาซ่า กับ เจมส์ เออร์วิน เป็นเรื่องครึกโครมมาก จนสภาพโซเวียตต้องออกมาขัดขวาง เพราะว่าเทือกเขาอยู่ขอบชายแดน ตุรกี-โซเวียต
พอเจมส์เสียชีวิตลง ก็มีการสำรวจครั้งใหม่ ในทศวรรษที่ 90 และตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา แต่ยังไม่มีหลักฐาน แน่ชัดว่ามีคนพบเรือทั้งลำ ในความพยายามค้นหาตำแหน่งของเรือ Noah ตลอดเวลาที่ผ่านมา
ได้มีการอ้างหลักฐาน การเห็นซากเรือ หลายครั้ง เช่น เมื่อ 700 ปีก่อนนี้ หนังสือชื่อ Travels of Sir John Mandeville ที่เล่าว่า มีนักบวชคนหนึ่ง เก็บเศษไม้ได้จากยอดเขา Ararat แต่ก็ไม่มีใคร ณ วันนี้รู้ว่า Sir John ในหนังสือนั้นคือใคร และมีตัวตนหรือไม่ และเมื่อ 200 ปีก่อนนี้
ความสนใจเกี่ยวกับเรือ Noah ได้บังเกิดอีกเมื่อวารสาร The New Eden รายงานว่า นักบินชาวรัสเซียคนหนึ่ง ชื่อ Vladimir Roskovitsky ขณะบินสำรวจผ่านยอดเขา Ararat เขาได้เห็น ซากเรือขนาดใหญ่ บนเขาลูกนั้น
แต่ก็ไม่มีการติดตามไปดู จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1917 แม่ทัพรัสเซีย ท่านหนึ่ง ได้ส่งทหาร 150 คน ขึ้นไปดูซากเรือ เพื่อนำรายงาน ไปบังคมทูล ให้จักรพรรดิซาร์ (Czar) ทรงทราบ แต่ได้เกิดรัฐประหาร คณะปฏิวัติ Bolshevik จึงได้ทำลายเอกสารรายงานหมด เพื่อไม่ให้ใคร เชื่อคัมภีร์ไบเบิลอีกต่อไป ในปี ค.ศ. 1955 F. Navarra
นักผจญภัยชาวฝรั่งเศสกับลูกชาย
ได้เดินทางขึ้นยอดเขา Ararat และได้นำ
ไม้โอ๊กแผ่นหนึ่งกลับลงมา
ในหนังสือชื่อ Noah's Ark: I Touched It
เขาเล่าว่า
เขาต้องหลบซ่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ของตุรกี
เพื่อนำซากไม้ที่ยาว 2 เมตรออกนอกประเทศ
ถึงแม้หนังสือเล่มนั้น
จะมีภาพของสองพ่อลูกบนภูเขา
แต่ก็หามีภาพของเรือไม่
และเมื่อ Navarra ให้ผู้เชี่ยวชาญ
ด้านอายุของวัตถุโบราณ วัดอายุของไม้เขา
ได้ข้อสรุปว่า
ไม้นั้นมีอายุตั้งแต่ หลายพันปี
ซึ่งก็ใกล้เคียงกับคำสอน ในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า
มนุษย์ถือกำเนิด เกิดขึ้นมาก่อนน้ำท่วมโลก
และเหตุการณ์น้ำท่วมโลก
เกิดขึ้นเมื่อ 5,000 - 8,000 ปีก่อนจริง
ถึงแม้ข้อสรุปเกี่ยวกับเรือจะยุติลงในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ แต่ประเด็นเหตุการณ์ น้ำท่วมโลก ก็ยังมีบุคคลสนใจมากมาย เมื่อ 4 ปีก่อนนี้
ในหนังสือชื่อ Noah's Flood : The New Scientific Discoveries About the Event That Changed History. William Ryan แห่ง Lamont-Doherty Earth Observatory ที่เมือง Palisades ใน New York สหรัฐอเมริกา
ได้เสนอความเห็นว่า ในอดีตเมื่อ 8,000 ปีก่อนนี้ ได้เกิดเหตุการณ์ น้ำท่วมครั้งมโหฬาร ในบริเวณที่ราบรอบทะเลดำ (Black Sea) ซึ่งอยู่ระหว่างยุโรปกับเอเชีย
และเป็นทะเลสาบ น้ำจืด น้ำทะเล ได้ไหลทะลักผ่านเข้ามา ทางช่องแคบ Bosphoues จนถึงทะเลดำ ทำให้ระดับน้ำในทะเลสาบ เพิ่มสูงขึ้น 100 เมตร ในเวลา 3 ปี แต่ Ryan มิได้ระบุชัดว่า เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เกิดจากสาเหตุใด
ในวารสาร Paleoceanography
ฉบับที่ 19 ปีนี้ Mark Siddall
แห่งมหาวิทยาลัย Bern ในสวิตเซอร์แลนด์
กับคณะได้รายงานการใช้คอมพิวเตอร์ จำลองสถานการณ์น้ำท่วมในทะเลดำ
และพบว่า เหตุการณ์น้ำท่วมโลก
สามารถเกิดขึ้นได้ โดยคณะผู้วิจัย
ได้สมมติว่าในอดีตเมื่อ 10,000 ปีก่อนนี้
ซึ่งเป็นเวลาที่โลก กำลังตกอยู่ใน
ยุคน้ำแข็ง Holocene ทะเล
Mediteranean ทะเล Marmara
และทะเลดำมีแผ่นดินคั่นอยู่
ณ เวลานั้นระดับน้ำ ในทะเลดำ
อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำในทะเล Marmara
ประมาณ 100 เมตร และเมื่อน้ำแข็งละลาย
ระดับน้ำในทะเล เมดิเตอร์เรเนียน
และทะเล Marmara ได้เพิ่มสูงขึ้นๆ
จนกระทั่งเมื่อ 8,400 ปีก่อนนี้
น้ำจากทะเล Marmara ก็ได้ไหลข้ามพื้นแผ่นดิน
ที่คั่นระหว่างทะเล Marmara
กับทะเลดำเข้าสู่ทะเลดำ
ในการศึกษารายละเอียดของเหตุการณ์น้ำท่วมว่ารุนแรง หรือราบเรียบเพียงใด Siddall กับคณะได้กำหนด ให้กระแสน้ำท่วม มีความเร็วต่างๆ กัน แล้วศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นตามบริเวณขอบทะเลดำ
และเขาก็ได้พบว่า ถ้ากระแสน้ำไหลช้าๆ แรง Coriolis ซึ่งเกิดจากการหมุนรอบตัวเองของโลก จะทำให้น้ำไหลขึ้นทางเหนือ จะพุ่งเฉียงไปทางตะวันออก
แต่ถ้ากระแสน้ำไหลเชี่ยว เพราะขณะนั้น ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวด้วย พลังไหลของน้ำจะมหาศาล จนมันสามารถไหล ได้ทุกทิศทาง ปริมาณน้ำที่มากถึง 60,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที เท่ากับ 20 เท่า ของน้ำตก Niagara
จะไหลพุ่งเข้าทะเลดำ เป็นเวลานาน 33 ปี จนระดับน้ำในทะเล Marmara และทะเลดำเท่ากัน น้ำจึงหยุดท่วม
ในปี 1987 Ron Wyatt นักสำรวจโบราณคดี
พบว่าบนเทือกเขา มีรอยของเรือขนาดใหญ่
ในเขตของตุรกี
นักข่าวได้ประโคมข่าวใหญ่ในประเทศ
รัฐบาลได้ขอให้รอนแสกนภาพจากเรดาห์
และพบร่องรอย ที่เป็นหลักฐาน มากมาย
แต่แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ในช่วงปี 1840
และระยะเวลาที่ยาวนาน
ได้กระจายชิ้นส่วนของเรือ
ออกไปแล้ว เป็น 3 ชิ้นเป็นอย่างน้อย
หรืออาจมากกว่า 6 ชิ้น
แต่มีการอัศจรรย์
ที่ยังคงรักษาบางชิ้นส่วนเอาไว้ได้
โดยการค้นพบ จากภาพถ่ายจากดาวเทียม ทำให้สามารถ พบเศษไม้
ที่กลายเป็นหิน ได้จำนวนหนึ่ง
การค้นคว้านี้ ยังคงดำเนินต่อไป
แม้จะยังไม่มีคนใด
ที่ได้เห็นเรือทั้งลำหลงเหลือในปัจจุบัน
|
|