ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3216
ตอบกลับ: 5
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

"ฤทธิ์แห่งนาค"กับ"น้ำท่วม"

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย AUD เมื่อ 2013-6-5 07:02

By จ๊อ



เรื่องลึกลับในโลก โดยมากก็มักเป็นเรื่องลึกลับกันมานาน อาจจะนับได้เป็นพันปี หรือ ร้อยปี หรือสิบปี หากถึงกระนั้น ณ วันนี้เรื่องราวเหล่านั้นก็ยังคงลึกลับอยู่ เพราะคนที่จะไขได้ย่อมต้องเป็นผู้รู้จริง แตกฉานในศาสตร์นั้น ๆ เรื่องราวนั้น ๆ จริง

และเมื่อรู้จริงก็มักไม่ยอมพูดเสียด้วย

เรื่องของสิ่งมีชีวิตในอีกมิติหนึ่งซึ่งยากที่คนทั่วไปจะรู้ตาม เป็นสิ่งอันยากต่อการพิสูจน์ ด้วยเพียงปรารภขึ้นว่า ‘อีกมิติหนึ่ง’ คนทั้งหลายก็ล้วนตั้งป้อมรอท่าไว้ก่อนแล้วว่ากำลังจะได้รับฟัง ‘นิยาย’

ทว่านิยายนี้ พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกของโลกก็ทรงรับรองถึงความมีอยู่จริง ในอีกมิติหนึ่งที่เราเข้าไปไม่ถึงและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ปรากฏสิ่งมีชีวิตซึ่งมีรูปกายอันประณีต ละเอียดเล็กจนตาเนื้อไม่อาจเล็งแลได้ดุจเดียวกับ ‘เชื้อจุลินทรีย์’ เชื้อจุลินทรีย์ก็ดี เชื้อไวรัสก็ดี เชื้อบักเตรีก็ดี ชีวิตเล็ก ๆ เหล่านี้นักวิทยาศาสตร์และผู้คนทั่วโลกล้วนยอมรับว่ามีอยู่จริงและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ต้องใช้เครื่องมือที่ควรกันเพื่อมอง

กล้องจุลทรรศน์จึงถือกำเนิดขึ้น

เช่นเดียวกัน เมื่อเราอยากเห็น ‘สิ่งมีชีวิต’ ที่อยู่ต่างภพภูมิก็จำเป็นต้องปรับจูนตาของเราให้มีประสิทธิภาพดีพอเยี่ยงกล้องจุลทรรศน์ เพื่อให้เห็นในสิ่งที่อยากเห็น แต่มิใช่ที่ตานอก หากเป็น ‘ตาใน’ ตาในที่แจ่มใสด้วยอำนาจฌาน-ญาณ ของสมเด็จพระบรมศาสดาและพระอรหันตสาวก รวมไปถึงผู้ออกเดินในเส้นทางแห่งภาวนาทั้งหลาย สายตาย่อมแจ่มชัดกว่าปุถุชนผู้หนากิเลสทั่วไป

ย่อมเห็นในสิ่งที่คนทั้งหลายไม่อาจเห็น และแม้จะพูดว่าได้เห็นอะไร ความหนาในใจก็ยังปิดกั้นให้นั่งรับฟังได้แต่ไม่ยอมเชื่อถือ คนจึงไม่กลัวบาป เพราะไม่เชื่ออย่างถึงใจว่านรกมี อสุรกายมี เปรตมี คนจึงไม่ทำบุญ เพราะไม่เชื่ออย่างถึงใจว่าสวรรค์มี พรหมโลกมี และไม่ปฏิบัติธรรมภาวนา เพราะไม่เชื่ออย่างถึงใจว่า พระนิพพานมี ดินแดนแห่งบรมสุขมีอยู่จริง

เหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรง ‘ห้ามพูด’
ห้าม....แม้ว่าจะได้เห็นจริง

ดังนั้น ปริศนาของสิ่งลี้ลับในโลกเร้นลับ จึงยังคงครองความลี้ลับต่อไปได้อย่างสง่าผ่าเผย คนผู้พยายามไขหรือชี้แจงจึงมักเป็นเพียง ‘ตัวตลก’ ในสายตาของคนทั้งโลก

แต่ไม่เชื่อ ก็ใช่ว่าจะทำให้สิ่งนั้นไม่มี

หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง จึงให้ศิษย์ติดป้ายปริศนาอันหนึ่งไว้ในวัดข้างแท้งค์น้ำว่า

‘สิ่งไม่มี ไม่มีในโลก’

กัสสปมุนีภิกขุ



พญานาค เป็นอีกหนึ่งสัตว์โลกที่อาศัยอยู่ด้วยบุญ บาป เช่นเดียวกับเรา เป็นผู้อยู่ในอีกมิติหนึ่งอันใกล้ชิดกับมนุษย์อย่างยิ่ง จนบางคราวก็ได้ปรากฏออกมาให้พบเจอกันซึ่งก็มีทั้งโดยเจตนาและโดยบังเอิญ

พญานาค มีด้วยกันหลายตระกูล ถือกำเนิดด้วย ‘อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก’ คือบุญที่มีบาปพัวพัน หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลย เคยปรารภว่า ใครที่อยากเกิดเป็นนาคต้องอธิษฐานเอานะ ทำบุญแล้วอธิษฐานจิตให้มั่นคง แต่หากทำบุญภาวนาอย่างเดียวก็ไม่ได้เกิดเป็นนาคอีก ได้เป็นเทวดาไปเสียเมื่อตาย คนที่ได้เกิดเป็นนาคนั้น มักเป็นผู้บุญก็ทำบาปก็ทำและมีความยินดีในภพของนาค เมื่อตายลงไปบุพกรรมนั้นก็ชักนำให้ได้เป็นเกิดเป็นนาค

นาคบางพวกมีฤทธิ์น้อย เหล่านี้จึงตกเป็นอาหารของ ‘ครุฑ’ นาคบางพวกมีฤทธิ์มาก ครุฑจับกินไม่ได้ ซ้ำดีร้ายก็ยังต้องหนีเพราะนาคมีพิษที่ร้อนแรงยิ่งกว่าเพลิงกาฬ เมื่อครั้งที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโต นำคณะพระกรรมฐานหลายรูปเที่ยววิเวกอยู่ในป่าลึก ครั้นถึงบึงน้ำใหญ่ในป่าแห่งหนึ่งก็ดำริกันว่าจะพักกลดภาวนากัน ณ สถานที่นี้

พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต



แต่ท่านพระอาจารย์มั่นนั้นทราบล่วงหน้าแล้ว เห็นล่วงหน้าแล้วแต่ไกล ถึงสิ่งลี้ลับที่อาศัยอยู่ในบึงแห่งนี้ นั่นคือ ‘พญานาค’ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 ตน นาคทั้งสามเมื่อเห็นคณะพระธุดงค์เดินทางเข้ามาใกล้ ก็ให้อัศจรรย์กับรัศมีที่รุ่งเรืองแผ่ซ่านออกมาด้วยบุญบารมี นาคทั้งสามจึงเกิดความคิดอยากทดลองกำลังบุรุษผู้มีบุญเหล่านี้ จึงพากัน ‘คาย’ พิษที่รุนแรงยิ่งลงในน้ำ จากนั้นก็พากันหลีกหนีไปซุ่มดู

ท่านอาจารย์ใหญ่แม้เห็นดังนั้นแล้วก็นิ่งเฉยเสีย จนเดินทางมาถึงบึงน้ำจึงมีคำสั่งแก่หมู่คณะว่าห้ามตักน้ำในบึงมาใช้สอยดื่มกินเป็นอันขาด แล้วหันไปทางพระน้อยรูปหนึ่งสั่งความ ปรากฏว่าพระน้อยรูปนั้นก็ทราบมาแต่ไกลแล้วเช่นเดียวกับท่านอาจารย์ใหญ่ จึงรับบัญชาอาสาไป ‘ทรมาน’ นาคมิจฉาทิฏฐิเหล่านั้นให้คลายพยศลดมานะ

และท่านก็ทำสำเร็จได้ในเวลาไม่นานนัก ท่านพระอาจารย์ใหญ่จึงออกปากชมเชยถึงอำนาจจิตและคุณธรรมในพระน้อยองค์นี้เป็นที่ยิ่ง ไม่อาจทราบได้ว่าพระหนุ่มรูปนั้น ‘ปราบ’ พญานาคทั้งสามด้วยวิธีใดจนเขามายอมรับนับถือพระรัตนไตรและยอม ‘ถอน’ พิษที่รุนแรงนั้นออกจากน้ำ แต่ทราบแน่นอนว่าพระน้อยรูปนั้นชื่อ....

พระอาจารย์ชอบ ฐานสโม



จึงเห็นได้ว่าพิษนาคนั้นมีอานุภาพมาก แม้คายลงไปผสมปนเปกับน้ำปริมาณมหาศาลก็ยังไม่อาจเจือจางได้ หากคณะท่านพระอาจารย์มั่นไม่สูงส่งด้วยอำนาจญาณ ก็อาจต้องถึงแก่มรณภาพด้วยพิษนั้น และใครจะรู้ได้เล่าว่าพระธุดงค์ก็ดี ชาวบ้านก็ดี ที่ต้องถึงแก่ชิวิตด้วยการดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติบางแห่งจะไม่ได้ตายเพราะพิษนาค !

เพราะความที่อยู่บนพื้นฐานของความไม่เชื่ออย่างสุดโต่งนี้เอง จึงสันนิษฐานทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องของความบังเอิญบ้าง เป็นเหตุสุดวิสัยบ้าง เป็นโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ บ้าง แม้ครูบาอาจารย์จะกล่าวเตือนหรือท้วงติงอย่างไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจคนมีทิฏฐิมานะสูงเหล่านั้นได้


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-5 06:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

จนกว่าจะได้รับผลของการกระทำ

ปัจจุบันคนทั่วโลกตื่นตัวกันมากและโจษจันไปทั่วกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ภาวะโลกร้อน’ โลกร้อนขึ้น ทำให้ฝนตกหนักและตกผิดฤดู ทำให้หิมะละลาย ทำให้น้ำท่วม ทำให้แผ่นดินไหว เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ จากธรรมชาติขึ้นไม่เว้นวัน คนที่เชี่ยวชาญในวิทยาศาสตร์ก็ออกมาอธิบายแบบวิทยาศาสตร์ คนที่เชี่ยวชาญในภูมิศาสตร์ก็ออกมาอธิบายแบบภูมิศาสตร์ แต่วันนี้จะขออธิบายแบบที่ผู้คนชอบเรียกกันว่า ‘ไสยศาสตร์’ แม้จะไม่ได้เชี่ยวชาญก็เถิด

เป็นที่รู้กันในกลุ่มคนที่ศึกษาพระพุทธศาสนาแบบทั่วไปและคนที่ศึกษาในระบบเทววิทยา ว่าเทวดาผู้ควบคุมฝนคือ พระพิรุณ และยังมีอีกพวกหนึ่งคือ นาค

อันฝนตกนั้นแน่นอนว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ หาใช่การดลบันดาลจากใครไม่ แต่เชื่อไหมว่าแม้กระนั้นก็ยังมีผู้ที่คอยควบคุมอยู่เบื้องหลังอีกชั้นหนึ่ง การตกแบบธรรมชาติเขาก็ปล่อยให้ตกไป แต่บางคราวการตกแบบไม่ธรรมชาติ เขาก็ต้องทำ เช่น เมื่อมีการบวงสรวงร้องขอ เมื่อมีการประกอบพุทธาภิเษกสำคัญ ๆ ซึ่งอันนี้จะทำให้โปรยปรายเป็นฝอยละเอียดเพื่อเป็นศุภนิมิตถึงความชุ่มเย็น หรือตกหนักก่อนหน้าเพื่อ ‘ชะล้าง’ สิ่งสกปรกดังเช่นเมื่อตอนหลวงปู่ดู่จะปลุกเสกเหรียญเปิดโลก เป็นต้น

ดังนั้นเรื่องลม ฝน แผ่นดิน นอกจากจะจัดว่าเป็นสิ่งอันธรรมชาติรังสรรค์แล้วก็ยังแน่นอนได้ว่ามีผู้สามารถบังคับได้ทำงานอยู่อย่างที่เราไม่รู้ไม่เห็น

บอกแล้วว่าไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้แปลว่าไม่มี

ย้อนไปในปี พ.ศ. 2472 ยังมีพระมหาเถระผู้ทรงธรรมอันเลิศอยู่ด้วยกันหลายองค์ แต่ละรูปละองค์ก็ล้วนตั้งมั่นอยู่ในพระธรรมวินัยเป็นอันดี อีกทั้งยังเปี่ยมด้วยอำนาจฌาน-ญาณซึ่งเกิดจากการฝึกฝนจิตอย่างชนิดที่เรียกว่า “ไม่ตายก็ให้มันดี ไม่ดีก็ให้มันตาย”

พระมหาเถระดังกล่าวจึงนิยมในความสงบไม่พลุกพล่านวุ่นวาย ดังนั้น ภายใต้การนำของ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) พระอริยเจ้าแห่งวัดบรมนิวาส พระนคร กับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แม่ทัพธรรม จึงนำพระภิกษุสามเณรจาริกไปยังเมืองเชียงใหม่ และได้พักจำพรรษาอยู่ ณ วัดเจดีย์หลวง ในปี พ.ศ. 2472 นั้นเอง

พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท)



ปีนั้นได้เกิดภัยแล้งแก่เมืองเชียงใหม่อย่างน่าเวทนาเป็นที่สุด ทั้งชาวไร่และชาวนาต่างได้รับความทุกข์เดือดร้อนอย่างสาหัส เพราะฝนไม่ตกเอาเสียเลยทั้งที่เข้าพรรษามานานแล้ว ทุกวันมีแต่แสงแดดแผดจ้าจนไม้ใหญ่ก็ล้มตายไม้เล็กก็ไม่ได้เกิด หนำซ้ำพืชผลที่พอได้ใช้อยู่ใช้กินก็พลอยตายกันหมดสิ้นมิพักต้องพูดถึงพืชเศรษฐกิจใด ๆ

ความทุกข์นี้ครอบงำไปทั่วนครเชียงใหม่ไม่เว้นแม้โดยรอบปริมณฑลอำเภอต่าง ๆ เสียงพร่ำบ่นถึงความทุกข์มีให้ได้ยินกันทุกวันจนแทบกลายเป็นคำทักทาย ในที่สุดเสียงทุกข์คร่ำครวญก็ดังเข้าสู่วัดเจดีย์หลวง

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ



วันหนึ่งในตอนบ่าย ท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ได้ออกจากกุฏิมาเรียกพระอาจารย์แหวน สุจิณโณ ว่า

“แหวน ๆ มานี่หน่อย”

เมื่อพระอาจารย์แหวนเข้าไปหาแล้วกราบลงเป็นที่เรียบร้อย ท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ก็สั่งความว่า

“วันนี้ทำทางจงกรมให้หน่อยนะ ฝนแล้งเหลือเกิน จะเสก อิ ติ ปิ โส สักเจ็ดวัน เอาให้ฝนตกท่วมเมืองเชียงใหม่เลย...!!”

ครั้นพระอาจารย์แหวนกราบลาออกมาแล้วก็ไปเรียกสามเณรมาให้ช่วยดายหญ้าปรับพื้นที่ให้นูนสูงเป็นทางเดินยาวประมาณ 30 ก้าวเดิน เกลี่ยและปรับหน้าดินข้างบนให้เรียบเนียน เสร็จแล้วก็ไปกราบเรียนให้ท่านทราบ

และในเย็นวันนั้น เมื่อท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ สรงน้ำเรียบร้อยแล้วก็เป็นหัวหน้านำหมู่คณะไหว้พระสวดมนต์เจริญภาวนา ครั้นเสร็จธุระจากหมู่ ท่านก็เดินตรงไปยังทางจงกรมที่พระอาจารย์แหวนรับบัญชาไปทำไว้

จากนั้นท่านก็ขึ้นทางจงกรมพนมมือภาวนารำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย เมื่อออกก้าวเดินท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ก็หาได้กำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมบริกรรมพุทโธแต่อย่างใดไม่ หากท่านสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย คือ อิติปิโส ฯลฯ จนจบ แล้วต่อด้วย สวากขาโต ฯลฯ แล้วต่อด้วย สุปฏิปันโน ฯลฯ อันเป็นบทสวดมนต์ธรรมดาที่เราสวดกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

แต่เมื่อจบบทพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วท่านได้สวดต่อว่า...

“อากาสัฏฐา จะ ภุมมัฏฐา เทวา นาคา มหิทธิกา ปุญญัง โน อนุโมทันตุ รักขันตุ โน สะทา” แล้วท่านก็ตั้งสัจจาธิษฐานด้วยเสียงอันดังว่า

“ขอให้มหาเมฆอันใหญ่ จงตั้งขึ้นในทิศปัจจิม ข้ามศีรษะของข้าพเจ้าไปยังทิศอุดร แล้วยังฝนให้ตกลงมายังพื้นปฐพีอันแห้งแล้งนี้ เพื่อบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ในปฐพี จะได้ดื่มกิน เพื่อยังพืชพันธุ์ธัญญาหารและมูลผลาหารทั้งหลายให้สมบูรณ์บริบูรณ์ในพื้นปฐพี เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ในน้ำ มีน้ำแห้งกำลังจะตายให้รอดพ้นจากความตาย.....”

จากนั้นท่านก็สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยขึ้นใหม่อีกรอบหนึ่งแล้วสวด “อากาสัฏฐา....” จนจบต่อด้วยการตั้งสัจจาธิษฐานด้วยบุญญาบารมีของท่าน เป็นแต่เปลี่ยนทิศเรื่อยไปจนครบทิศทั้งสี่

ท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ เดินจงกรมและบริกรรมอย่างนี้ไปล่วงได้แล้ว 5 วัน พอย่างเข้าสู่วันที่ 6 ขณะที่องค์ท่านกำลังเดินจงกรมภาวนาอยู่ ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 18.00 น. เศษ ได้บังเกิดอัศจรรย์มีเสียงดังสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่นมาจากทุกทิศทุกทาง มีลมพัดกรรโชกมาอย่างรุนแรงหอบเอาใบไม้แห้งและฝุ่นคลีปลิวคลุ้งทั่วไปในอากาศ บนท้องฟ้าปรากฏหมู่เมฆพยับปกคลุมให้อากาศมืดครึ้มลงอย่างรวดเร็ว เมฆดำทะมึนกระจายตัวล้อมไปทั่วบริเวณ เสียงฟ้าผ่าฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วกระทั่งแผ่นดินสะเทือน แสงฟ้าแล่บแปลบปลาบปรากฏอยู่ไม่ขาดระยะจนสว่างไปทั่วนครเชียงใหม่



แล้วฝนก็เริ่มสาดเม็ดโปรยปรายลงสู่แผ่นดินอย่างรุนแรงชนิดที่เรียกว่าใบไม้โงหัวไม่ขึ้น เสียงของสายฝนที่ตกกระหน่ำในวันนั้นหลวงปู่แหวนเล่าว่าดังราวกับรถไฟโบกี้ยาวที่วิ่งไปตามรางด้วยความรวดเร็ว

ฝนได้ตกหนักอย่างนี้อยู่ตลอดเวลามิได้หยุดเลยนับตั้งแต่เวลาหกโมงเย็นเศษของวันวาน จวบจนรุ่งเช้าจึงค่อย ๆ ซาลงและขาดเม็ด

ปรากฏว่าน้ำฝนจากภูสูงที่อยู่ล้อมเป็นปราการทั่วเมืองเชียงใหม่ได้ไหลหลั่งลงมาจากทุกทิศทุกทางท่วมตัวเมืองเชียงใหม่จนหมด เฉพาะภายในวัดเจดีย์หลวงเองน้ำทะลักท่วมสูงเกือบถึงโคนขา ทำให้พระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาตไม่ได้ ศรัทธาญาติโยมต้องลุยน้ำหาบ-เทิน นำภัตตาหารเข้ามาส่งถึงภายในวัด

และในวันเดียวกันนี้ ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโต ผู้ซึ่ง ‘เฝ้าดู’ อาจารย์ของท่านกระทำอริยวิธีเพื่อสงเคราะห์สัตว์โลกอยู่ตั้งแต่หกวันก่อนแล้ว ก็ได้พูดกับท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ผู้เป็นอาจารย์ว่า...

“เมื่อคืนนี้กระผมนั่งภาวนาอยู่ภายในกุฏิ กระผมกำหนดดูไปทางบริเวณดอยสุเทพก็ดี บริเวณดอยบวกห้าก็ดี เห็นมีพญานาคจำนวนล้านจำนวนโกฏิมิใช่จำนวนแสนจำนวนหมื่น พากันพ่นน้ำอยู่เต็มดอยทั้งสองจนหาที่ว่างไม่ได้อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน...”

นี่คือความอัศจรรย์ !!

อัศจรรย์ใจจากพระมหาเถระนาม พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) ผู้ทรงอรรถทรงธรรมและทรงคุณวิเศษอย่างยากจะหาผู้ใดเทียบได้ ท่านแตกฉานทั้งปริยัติและปฏิบัติมิได้หนักเอาเพียงข้างใดข้างหนึ่งจนเอียง ทรงไว้ซึ่งภูมิรู้โดยที่ไม่ต้องอวดแต่สามารถนำออกเมื่อถึงคราวอันควร
นธุ์
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-5 06:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

อัศจรรย์ใจกับบุญบารมีขององค์ท่านที่ไม่ต้องใช้เวทย์มนต์คาถาใด ๆ เสกเป่า ไม่ต้องตั้งขันครูหัวหมูบายศรี หรือ ประกอบพิธีแห่นางแมว หากท่านสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยแล้วอ้างเอาบุญบารมีขององค์ท่านเองเป็นที่ตั้ง ดังความว่า...

“อากาสัฏฐา จะ ภุมมัฏฐา เทวา นาคา มหิทธิกา ปุญญัง โน อนุโมทันตุ รักขันตุ โน สะทา”

หมายความว่า ข้าแต่ภุมมเทวดา แล อากาศเทวดา ทั้งหลาย เทพ แล หมู่นาค ผู้ทรงมหาอิทธิฤทธิ์ ขอจงได้พากันอนุโมนาซึ่งบุญที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้กระทำ แล้วจงช่วยกันพิทักษ์รักษาพวกข้าพเจ้าด้วย...

ดังนั้น หมู่เทพและนาคที่แห่แหนกันมาดลบันดาลเมฆ ลม และฝน ให้ตกอย่างหนักนั้น จึงมิได้มาด้วยถูกบังคับจากเวทย์มนต์คาถา มิได้มาเพราะต้องการเครื่องเซ่นสรวงบูชา หากมาเพราะประสงค์จะ ‘อนุโมทนา’ ซึ่งบุญของพระอริยเจ้าเหล่านั้น และเพื่อ ‘บูชา’ ซึ่งพระอริยเจ้าเช่นท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ก็เมื่อ ‘พระอรหันต์’ ร้องขอ มีหรือทวยเทพจะไม่ยินดียิ่งต่อการทำถวายเพราะหวังบุณย์อันไพบูลย์

นี่คือเหตุการณ์หนึ่งที่อาจพิสูจน์ได้ด้วยตาและด้วยใจของคนผู้ร่วมเหตุการณ์หรือมีความศรัทธาเป็นฐานอยู่แล้วให้หนักแน่นเข้าว่า ‘นาค’ สามารถควบคุมน้ำได้ตามใจปรารถนา หากเพียงน้ำและฝนส่วนใหญ่นั้นหมู่นาคก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเอง แต่เมื่อต้องการจะควบคุม ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินทำ

หลวงปู่คำพัน โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย เคยบอกว่า “นาคมีสามธาตุ โดยมีธาตุน้ำเป็นหลัก” น้ำจึงเป็นสิ่งจำเป็นของนาค เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เป็นที่อยู่อาศัย หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ถึงปรารภว่า “ที่ใดมีแหล่งน้ำธรรมชาติ ที่นั่นก็มีนาค”

ครั้งที่ประเทศจีนประกาศจะระเบิดเกาะแก่งแหล่งหินในลำน้ำโขงตลอดสาย เพื่อเบิกทางให้น้ำลึกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะต้องการเป็นเจ้าเป็นใหญ่ในทางเศรษฐกิจด้วยการนำเรือเดินสมุทรวิ่งขึ้นล่องไปตามแม่น้ำโขงโดยไม่ต้องอ้อมเวียตนาม กัมพูชา

ระเบิดเกาะแก่งในแม่น้ำโขง

คิดได้อย่างไร ? แม่น้ำโขงนั้นถือได้ว่าเป็น ‘มหานทีแห่งชีวิต’ เพราะเป็นแม่น้ำนานาชาติ ทุกประเทศที่อยู่ติดลำน้ำมิได้อาศัยแม่น้ำโขงเพียงเพื่อสัญจรไปมา หากยังใช้ชีวิตพึ่งพิงอิงอยู่กับน้ำ ทั้งอาบ ดื่ม ซัก ล้าง และหาอยู่หากิน คือทอดแห ตกปลา แม้กระทั่งเลี้ยงปลาในกระชังก็ทำ

ปลาบึก ปลาเนื้ออ่อน ปลาตะโกก ฯลฯ ปลาต่าง ๆ สัตว์น้ำต่าง ๆ ในแม่น้ำโขงได้อาศัยเกาะ แก่งแอ่งหินต่าง ๆ เป็นที่หลบภัยและวางไข่ ทำให้ระบบนิเวศน์และชีวิตในลำน้ำโขงยังปรากฏอยู่ตามธรรมชาติตราบจนทุกวันนี้

แต่จีนอยากระเบิดทิ้ง !!

เพียงเพื่อสนองความอยากใหญ่ในระบบเศรษฐกิจ อยากเป็นผู้นำแห่งเอเซียทั้งด้านการทหารและการค้า โดยลืมทุกสิ่งทุกอย่างหมดสิ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งมารยาทและคุณธรรม

จีนบอกกับทุกประเทศที่แม่น้ำโขงไหลผ่านว่าให้ร่วมมือกันระเบิดเกาะแก่งเพื่อล่องเรือใหญ่ เมื่อหลายประเทศพากันคัดค้านไม่เห็นด้วยจีนก็ออกไม้ตายว่าถ้าไม่ยอมตามก็จะทุ่มงบประมาณขุดแม่น้ำสายใหม่ขึ้นมาในจีนให้ไหลไปออกอีกทางนัยว่าเซี่ยงไฮ้ แล้วจะทำการสร้างเขื่อนใหญ่กั้นแม่น้ำโขงไว้ให้ไหลไปตามทางสายใหม่ไม่ไหลมาทางเดิม

และจีนก็นำร่องด้วยการระเบิดเกาะแก่งแหล่งหินดอนในแม่น้ำโขงไปหลายจุดแล้วในส่วนที่ไหลอยู่ในเขตประเทศจีน เป็นเหตุให้เกิดดินโคลนและตะกอนพัดพากันมาทับถมอยู่ตามแนวตลิ่ง และหาดทราย ตลอดทางที่แม่น้ำไหลนับจากใต้ตำแหน่งที่ระเบิดลงมา คนที่มีพื้นเพอยู่ตามแนวแม่น้ำโขงต่างพบกับปัญหานี้กันถ้วนหน้า

นี่คือจีน

แม่น้ำโขงที่มีมาเป็นพันเป็นหมื่นปีก่อนคนที่คิดอย่างนี้จะเกิด ต้องมาจบลงด้วยวิธีการอย่างนี้ล่ะหรือ ? หลายคำถามประดังใส่ผมจากคนที่คุ้นเคย

ผมตอบไปตามความ ‘งมงาย’ ส่วนตัวทันทีว่า ไม่มีทางหรอก ผมเชื่อโดยส่วนตัวของผมเองอย่างจริง ๆ จัง ๆ ว่าในแม่น้ำโขง เป็นที่อาศัยของหมู่นาค เป็นทางออก ทางเข้า ทางขึ้นลงที่ใหญ่ที่สุดแล้วในโลกของปวงนาค เขาหรือจะยอมให้จีนประเทศมหาอำนาจแบบโลก ๆ แต่ไม่ใช่มหาอำนาจแบบธรรมชาติอย่างที่พวกเขาเป็นมาทำลาย

ผมพูดกันตั้งสองปีมาแล้วว่าถ้าจีนยังดันทุรังจะทำอย่างที่บอก รับรองได้ว่าจีนจะได้พบกับความ ‘วิบัติ’ อย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน เพราะนาคไม่ใช่จะควบคุมได้เพียงแค่น้ำ แต่ถ้าจำต้อง ‘บังคับ’ ธาตุทั้งสี่เขาก็ทำได้เช่นกัน

แล้วไม่นานจีนก็น้ำท่วมหนัก...
แล้วก็แผ่นดินไหวอย่างหนัก...!!

ราวสองสามปีก่อนผมได้คุยกับอาจารย์เวทย์ อาจารย์บอกว่าพวกนาคโกรธมากที่คนทำให้แหล่งน้ำธรรมชาติสกปรก ไม่ว่าจะทิ้งขยะ ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไปมากมาย ซ้ำคนบนโลกส่วนมากก็ไม่มีศีลธรรมกัน ไม่เชื่อบุญเชื่อบาป หนำซ้ำพวกเขาลอยประทีบบูชาคุณพระพุทธเจ้าก็พากันหาว่าเป็นธรรมชาติสร้างบ้าง คนสร้างขึ้นมาบ้าง เพราะพญานาคไม่มีอยู่จริง เป็นเรื่องแต่ง สรุปคือไม่เชื่อ ไม่นับถือนาค แล้วเขาก็บอกกับอาจารย์เวทย์ว่า ให้เตรียมตัวให้ดี

“มนุษย์ทำให้พวกเราเดือดร้อน คราวนี้เราจะทำให้มนุษย์เดือดร้อนบ้าง”

ด้วยคำปฏิญาณที่น่ากลัวเช่นนี้ อาจารย์เวทย์จึงถามถึงหนทางที่จะพอบรรเทาได้ นาคบอกว่าหากเป็นคนดีมีศีลมีธรรม ก็จะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัย นอกนั้นตายหมด และยังบอกอีกว่าถ้านับถือพวกเรา เราก็จะช่วยให้รอด ใครที่มีสิ่งอันเป็นเครื่องระลึกถึงเรา เราก็จะขึ้นมาช่วย



ผมคุยกับครูอำพลถึงเรื่องน้ำท่วมหนักอย่างไม่เคยมีมาก่อน บ้านที่ไม่เคยท่วมก็ยังท่วม หนักขึ้นเรื่อย ๆ หนักขึ้นทุกปี และกระจายตัวไปทั่วโลกอย่างน่าประหลาด เกิดขึ้นทุกทวีป ทุกประเทศ แม้ประเทศที่อยู่บนแผ่นดินสูงหรือที่ราบเชิงเขาอย่างสวิสเซอร์แลนด์ก็ยังมีน้ำท่วมหนักจนเสียหายไปหลายล้านได้แบบไม่น่าเชื่อ ครูอำพลพูดสั้น ๆ ว่า

“นี่แค่หนังตัวอย่าง หนังจริงยังไม่ฉาย…!!”


4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-5 06:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ผมก็อ้าปากค้างไปเท่านั้น และครูยังย้ำอีกว่า “ต่อเอ๋ย ถ้ามีปฐวีธาตุก็ให้นำมาใส่ ถ้ามีพญานาคาธิบดีอยู่แล้วจะรุ่นไหนก็ให้เอามาใส่ เรารักใครชอบใครเป็นห่วงใครก็หาให้เขาใส่ ส่วนใครที่จะไม่เชื่อก็เป็นกรรมของเขา ให้เจ้าใส่ไว้ ให้นับถือบูชาไว้ แล้วจะได้รู้”

ปกติครูอำพลจะไม่ค่อยพูดถึงการใส่วัตถุมงคลในเชิงแนะนำหรือบังคับ มักปล่อยให้เป็นไปตามอัธยาศัยของหมู่พวก แต่สำหรับเรื่องนี้ดูท่าครูอำพลท่านจะมี ‘ข้อมูล’ ดี ๆ เชิงลึกที่คนอื่นยังไม่รู้ซ่อนเร้นอยู่ในใจอีกมาก ทว่าเล่าไปคงไม่สะดวกจึงใช้วิธีพูดเชิงแนะนำว่าให้ใส่ไว้ ให้บูชาไว้

เพราะเขาสร้างขึ้นมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้โดยเฉพาะ

หากใครเป็นผู้ที่สนใจในเรื่องราวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และครูบาอาจารย์ผู้วิเศษคงเคยได้ยินชื่อเสียงกิตติคุณของท่านผู้นี้แม้จะไม่เคยเห็นตัว

หลวงปู่สรวง



ท่านจะเป็นใครและเป็นอะไรกันแน่ทุกวันนี้ก็ยังหาคนรู้ชัดได้ยาก แต่ที่เห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคือความอัศจรรย์ที่ท่านทำ เป็นอัศจรรย์ที่เมื่อเผยแพร่ออกไปก็กลายเป็น ‘นวนิยาย’ หรือ ‘หนังอินเดีย’ ไปทันที เพราะมีความมันส์อยู่ในเนื้อเรื่องเหมือนได้เห็นตัวละครเหาะเหินเดินอากาศ

เดินตากฝนไม่เปียก นั่งอยู่ใต้น้ำได้หลายชั่วโมงโดยไม่มีอุปกรณ์ดำน้ำและไม่ตาย ปรากฏตัวได้ในเวลาเดียวกันถึงสามแห่ง กระทืบแผ่นดินทีเดียวตัวเลขดัชนีดาวน์โจนส์ในสหรัฐก็เลื่อนไปตรงกับตัวเลขที่บอกชาวบ้านว่าจะเป็นหวย เอามือคลึงท๊อฟฟี่ให้คนขับรถที่ง่วงจนเหลือทนอมแล้วหายง่วงขับรถได้อีกนับสิบชั่วโมง เอามือไปลูบหน้าอกผู้หญิงที่เป็นมะเร็งระยะที่สามแค่นั้นก็หายขาดไม่ต้องผ่าตัดรักษาใด ๆ ศิษย์บ่นยากกินต้มปลาก็เอามือล้วงลงในย่ามหยิบเอาปลาดุกปลาช่อนสด ๆ ออกมาหลายตัวให้ไปต้มกิน จะไปไหนขึ้นรถแล้วชี้นิ้วบอกทางอย่างเดียวทั้งที่ท่านไม่เคยไปคนขับรถก็ไม่เคยไปแต่ก็ไม่เคยหลงไม่เคยพลาดไปมาแล้วทั่วประเทศไทย ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้คือ ‘ปาฏิหาริย์’ เพียงส่วนหนึ่งในหลายร้อยเรื่องที่หลวงปู่สรวงบันดาลให้เกิด คนที่ใกล้ชิดพบเห็นกันอยู่เป็นประจำจนเกิดศรัทธาอย่างไม่คลอนแคลน หากคนไกลกลับมองเป็นสิ่งงมงายและสร้างขึ้นเพื่อลวง ส่วนจะลวงกันเพื่อเหตุผลอะไรก็คิดค้นกันได้ตามอัตภาพ

จากการที่คุณอาสุธน ศรีหิรัญ ได้ตามเก็บข้อมูลเรื่องราวของหลวงปู่สรวงเพื่อนำมาเผยแพร่ ได้ไปพบกับพระเถระรูปหนึ่งซึ่งเคยเจอหลวงปู่สรวงและมีข้อมูลบางอย่างที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก จึงขออนุญาตนำความนั้นมาบอกเล่าเพื่อให้พวกเราได้พิจารณากัน

ท่านพระครูจันทธรรมานุโยค (ลมัย จันทโร) อายุ 80 ปี เจ้าอาวาสวัดโคกตาเขียว อ.สังขะ จ.สุรินทร์ เป็นพระสงฆ์อีกรูปหนึ่งที่หลวงปู่สรวงเดินทางมาพบโดยที่ท่านไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เมื่อมาถึงแล้วหลวงปู่ก็ได้กระทำกฤษดาภินิหารให้ท่านพระครูได้เห็นหลายอย่างเป็นที่น่าอัศจรรย์ เช่น ตีฆ้องใหญ่ด้วยไม้นวมจนปุ่มตียุบเข้าไป เรียกเงินธนบัตรและเหรียญให้หล่นลงมาจาก ‘อากาศ’ แล้วมอบให้ท่านพระครูเก็บไว้สร้างวัด ฯลฯ

อภินิหารเหล่านี้ท่านแสดงให้ท่านพระครูได้พบเห็นเพื่อเป็นการปลูกศรัทธา หลวงปู่สรวงมาหาท่านพระครูนับได้ทั้งสิ้นราว 7 ครั้ง ครั้งที่ 6 เป็นสิ่งที่มาสัมพันธ์กับเรื่องราวของพวกเรา กล่าวคือหลวงปู่สรวงได้พูดกับท่านพระครูลมัยเป็นภาษาเขมรราวกับคำสั่งเสียมีใจความว่า

“ในปีพ.ศ. 2550 ถึง พ.ศ. 2555 หางนาคกวาดน้ำให้โลกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว กำลังจะกวาดน้ำขึ้นมาล้างโลก จะเกิดน้ำท่วมโลกใหญ่ คนไม่ดีไม่มีศีลธรรมจะตายไปมาก ส่วนคนดีคนมีศีลธรรมจะอยู่รอดปลอดภัยได้

ปี 2555 นะ คนที่ว่าเก่งอยู่ในเมืองไทยจะอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่มุมไหนของประเทศก็แล้วแต่ พ่อแม่ญาติพี่น้องไม่ต้องสู้นะ จะตายหมด น้ำทะเลตีข้างล่างได้ครึ่งโลกแล้ว ไม่ใช่ครึ่งประเทศนะ ครึ่งโลกแล้ว มาบอกให้หยุดทะเลาะกันนะ ไม่ต้องอยากชนะกันให้ออกไป อย่ามีเวรมีกรรมต่อกันเลย

แล้วพวกที่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นี่นะ ไปก่อน นางนาคเป่าน้ำทะเลเต็มหมด มันจะไปแต่พวกนี้ ประมาณสองชั่วโมงกว่า ๆ น้ำก็ตีเข้ามาท่วมภูเขา มีทั้งขี้ดินขี้โคลนเข้ามา พวกทำไม่ดีตายหมด

เทวดาตัดสินเอง เจ้ากรรมนายเวรตัดสินเอง ไม่ต้องกลัวเลย 2555 นางนาคเป่าน้ำท่วมทั้งน้ำทั้งดินตายวอด คนที่ไม่ดีตายหมด คนดีไม่ตาย คนดีมันเป็นเอง ไม่ตาย จะรอด คอยดูเถอะ นางนาคจะกลับเอาน้ำขึ้นข้างบนสามวันสามคืน มีลูกเห็บ ถูกใครตายระเนระนาดนะ ถ้าคนมีศีลห้าไม่ถูก เพราะเราไม่ได้กบฎพระเจ้าอยู่หัวนะ คนที่กบฏ คนที่อยากชนะผืนแผ่นดินตายแน่”

หลวงพ่อลมัยนั้นมีความเชื่อในหลวงปู่สรวงเป็นทุนอยู่แล้ว เมื่อท่านพูดขนาดนี้จึงมีความตระหนกอยู่มิใช่น้อย ได้บอกกับหลวงปู่สรวงว่า

“ถ้าน้ำท่วมมากขนาดนั้น อย่าว่าแต่คนไม่ดีไม่มีศีลธรรมเลย แม้คนดีก็คงจะไม่รอดเหมือนกัน จะทำอย่างไรได้ พอมีหนทางช่วยเหลือไหม”

หลวงปู่สรวงนิ่งอยู่อึดใจจึงบอก ‘คาถา’ เพื่อเป่าน้ำไม่ให้ท่วมตัวมีใจความที่ออกเสียงตามภาษาเขมรจริง ๆ ว่า

“อ้ม เกร๊อะ เกร๊อะ เกร๊อะ เตียงตึ๊ก เกร๊อะ ตึงได อ้มสติสวาหะ”

เมื่อผมรับทราบถึงคาถานี้ก็ได้โทรศัพท์ทางไกลหาครูอำพล เจน ทันที แล้วลงมือเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ปรากฏว่าครูค่อนไปทางเชื่ออยู่มาก เพราะเพื่อนรุ่นเดียวกับครูเป็นตำรวจอยู่ที่อุบล ฯ หลวงปู่สรวงได้เดินทางมาหาถึงโรงพักโดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแล้วบอกว่านายตำรวจคนนี้เคยเป็นลูกของท่านเมื่อในอดีต จึงเดินทางมาเพื่อเยี่ยมเยียน

แล้วได้แสดงอภินิหารหลายอย่างหลายประการจนเป็นที่น่าอัศจรรย์และเป็นที่น่าปวดหัวแก่ตำรวจทั้งสถานี อาทิ ถามเขาว่าขังคนพวกนี้ไว้ทำไมน่าสงสาร เมื่อตอบท่านว่าเขาทำผิดกฎหมาย ท่านฟังแล้วก็นิ่งอยู่ แผลบเดียวท่านไปเป่ากุญแจเขาหลุดออกหมดปล่อยผู้ต้องหาออกมาเดินเฉย อย่างนี้เป็นต้น

เมื่อผมเล่าเรื่องคาถานี้ให้ครูอำพลฟังท่านก็รีบต่อสายไปถึงเพื่อนสนิทที่มีเชื้อสาย ‘เขมร’ จริง ๆ ในจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อนก็บอกว่าคาถาที่พูดมาในทีแรกนั้นในภาษาเขมรแล้วไม่มีเหตุเพราะออกเสียงผิด ที่ถูกควรต้องออกเสียงอย่างนี้จึงถูกต้อง แล้วก็พูดช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำให้ฟัง ซึ่งทุกคำที่ถูกต้องผมก็ได้นำมาลงไว้แล้วดังบรรทัดบน พร้อมกับแปลเป็นภาษาไทยให้ฟังว่า

“อ้ม แปลว่า ลุง เกร๊อะ แปลว่า ดื่ม ซึ่งโดยมากมักหมายถึงการดื่มสุราเป็นหลัก เตียง คือ บึงน้ำ บ่อน้ำใหญ่ ตึ๊ก หมายถึง น้ำ แหล่งน้ำ ตึงได หมายถึง แขนขา ในที่นี้แปลว่า สาขาที่แตกย่อยออกไปของแม่น้ำลำคลองลำธารต่าง ๆ สติ ก็คือสติ สวาหะ เป็นคำคาถา ดังนั้นโดยรวมจึงหมายความว่า คุณลุงดื่มน้ำ แล้วก็ดื่ม ดื่ม ดื่ม ได้อย่างกับบึงบ่อที่ไม่รู้จักอิ่มน้ำ เหมือนมีสาขาย่อยแยกน้ำออกไปไม่รู้จักเต็ม แต่ถึงดื่มขนาดนั้นก็ยังมีสติ”

มองไม่เห็นว่าจะศักดิ์สิทธิ์ตรงไหน
แต่เชื่อเถิดว่า ‘ศักดิ์สิทธิ์’ จริง

เพราะที่บ้านน้อยผมนั้นน้ำท่วมได้ท่วมดีทุกปีจริง ๆ แฟนหนังสือศักดิ์สิทธิ์หลายท่านที่เคยเข้าไปหาผมถึงบ้านในหน้าน้ำ ได้เคยมีประสบการณ์ร่วมกันมาแล้วว่า น้ำท่วมบ้านผมมันน่าสงสารขนาดไหน มันท่วมหนักมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ไม่มีปีไหนที่น้ำจะไม่ท่วมท้นล้นเข้ามาจนถึงห้องนอนเลยแม้สักปีเดียว

แต่นับจากวันที่ได้รู้จักกับคาถานี้แล้วทดลอง ‘เป่า’ ด้วยตัวเองตามมีตามเกิด เชื่อเถิดครับสามปีติดกันแล้วน้ำไม่เคยท่วมบ้านผมอีกเลย


ขอบคุณบทความจาก คุณรณธรรม ธาราพั

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้