ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

กำเนิดโลกสุทธิธรรม

[คัดลอกลิงก์]
21#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-5 07:03 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


สมเด็จปู่ศรีสุทธรรมจอมมหานาคราช


ต้นกำเนิดมนุษย์คือ อาภัสราพรหมจริงหรือ???
  
กำเนิดชีวิต



โลกที่เราอยู่นี้คืออะไร? โลกเกิดมาได้อย่างไร? เราท่านเกิดมาได้อย่างไร?

พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสถึงวิวัฒนาการของโลกไว้ใน อัคคุญสูตร ซึ่งเป็นสูตรสำคัญสูตรหนึ่งใน คุมภีร์นิกาย สรุปใจความย่อๆมีใจความว่า


จักวาลนี้เดิมทีเป็นกลุ่มก๊าซไอน้ำ โลกเราก็เป็นกลุ่มก๊าซไอน้ำก้อนมหึมาก้อนหนึ่ง ในความเวิ้งว้างของอวกาศนั้น มีสัตว์หมู่หนึ่งล่องลอยอยู่ไปมา ไม่มีร่างกาย มีแต่จิต ไม่ต้องกินอาหาร หากกินความปีติอิ่มเอิบใจเป็นอาหารจะเรียกว่าเสวยอารมณ์ทิพย์ก็ได้ สัตว์หมู่นี้ชื่อว่า อาภัสรพรหม มีแสงสว่างรัศมีในตัวเองคล้ายหิ่งห้อย แต่ทว่าแสงสว่างรุ่งเรืองกว่าหิ่งห้อยหลายร้อยหลายพันเท่า ยุคนั้นเป็นยุคมืดตื้อ ไม่มีดวงอาทิตย์ไม่มีดวงจันทร์ไม่มีหมู่ดาวไม่มีกลางวันกลางคืน โลกและจักรวาลมีแต่กลุ่มก๊าซไอน้ำ กาลนานมาพวกสัตว์ไม่มีร่าง มีแต่จิตเสวยอารมณ์ทิพย์พวกนี้ได้ล่องลอยมาเห็นโลกเข้าหรือจะเรียกว่าจุติมาก็ได้ ได้พบว่าบนผิวน้ำนั้นมีโอชะดินหรือง้วนดินลอยเป็นฝ้าอยู่เหนือน้ำเต็มไปหมด เหมือนผ้าที่อยู่บนผิวนมร้อนตอนที่มันเย็นลงนั้นแหละ ง้วนดินนี้ระเหยขึ้นมาจากก้นทะเล ด้วยอำนาจความร้อนภายในของโลก มีกลิ่นหอมหวนทวนลมยิ่งนัก

พวกอาภัสรพรหมเห็นเป็นของแปลกประหลาดจึงได้ลองลิ้มชิมรสง้วนดินดู พบว่ารสชาติหอมหวานยิ่งนัก ต่างก็ติดอกติดใจรสชาติของง้วนดินเลยกินกันใหญ่ มีความหลงใหลในโอชะดิน จนลืมคิดที่จะเหาะล่องลอย ท่องเที่ยวไปในอากาศพากันเพลิดเพลินเจริญใจเสพโอชะง้วนดินไม่ไปไหน เมื่อบริโภคง้วนดินนานๆเข้าก็ปรากฏเป็นรูปร่างหรือกายหยาบขึ้น รัศมีสีแสงในตัวก็หายไปทีละน้อยๆ จนหมดสิ้น ในที่สุดพอรัศมีหมดไป จิตหรือวิญญาณมีร่างกายหยาบครองด้วยวิตามินง้วนดินที่เสพเข้าไป ทำให้ไม่สามารถจะเหาะล่องลอยไปไหนมาไหนเหมือนหิ่งห้อยได้อีกต่อไปก็กลายเป็นสตัว์โลกไป

ตอนนี้เอง กลุ่มก๊าซไอน้ำทั้งหลายในห้วงจักรวาล ได้ก่อปฏิกริยาด้วยพลังงานสสารธาตุในตัวเองกลายเป็นลูกไฟดวงใหญ่มหึมาขึ้น จะเรียกว่าดาวฤกษ์ก็ได้ เรียกว่าดวงอาทิตย์ก็ได้ เมื่อเกิดดาวฤกษ์หรือดวงอาทิตย์ขึ้นก็เกิดดวงจันทร์ เกิดดวงดาวน้อยใหญ่ขึ้นตามมาด้วยกฎธรรมชาติของจักรวาลเอง โดยหาได้มีใครสร้างขึ้นมาไม่ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมา โลกที่เต็มไปด้วยน้ำก็เริ่มระเหยกลายเป็นไอเพราะถูกแสงแดดแผดเผา ตอนนี้อาภัสรพรหมที่หลงใหลติดใจในรสชาติง้วนดินได้กลายสภาพเป็นสัตว์น้ำ พวกแรกที่เกิดขึ้นในโลกแต่จะเป็นสัตว์อะไรนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสถึงรายละเอียดพระองค์ทรงกล่าวแต่เพียงว่าเป็นสัตว์ที่ยังไม่มีเพศ ยังไม่มีความรู้สึกในด้านกามโลกีย์

กาลนานต่อมาอีกไม่รู้เท่าไหร่ ความร้อนของดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ทำให้น้ำในโลกระเหยจนงวดเข้า เกิดแผ่นดินงอกขึ้นมาเป็นทวีป สัตว์กลุ่มแรกหรือพวกอาภัสรพรหมที่มาติดใจในรสชาติง้วนดินได้ขึ้นมาเป็นสัตว์บก วิวัฒนาการทางรูปร่างเปลี่ยนไปตามธรรมชาติสิ่งแวดล้อม นอกจากจะกินง้วนดินเป็นอาหารแล้ว ยังกินพืชพันธุ์อย่างอื่นที่งอกขึ้นมาจากพื้นดินหล่อเลี้ยงชีพ ทำให้ร่างกายก็แปลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆอย่างช้าๆ จนในที่สุดได้เกิดแบ่งเป็นเพศตัวผู้และตัวเมียขึ้น ความเป็นสัตว์โลกโดยมบูรณ์ได้เริ่มขึ้นตอนนี้เอง คือเป็นสัตว์มนุษย์ จากนั้นการสืบพันธุ์แพร่ขยายชาติเชื้อก็ดำเนินไปตามกฎธรรมชาติ ง้วนดินอันโอชารสได้หมดไปจากโลกแล้วในตอนนี้ มีแต่พืชพันธ์ต่างๆเป็นอาหารหล่อเลี้ยงชีพ ไม่โอชารสเหมือนง้วนดินในยุคแรกเลย ต่อมาเหล่าสัตว์ไร้ร่าง มีแต่จิตทั้งหลาย คืออาภัสราพรหมที่อยากจะมาเกิดในโลก จึงจำใจต้องเข้าเกิดในท้องมนุษย์ พวกแรกนี้แทนบริโภคง้วนดิน การเข้าเกิดในท้องนี้ก็ฉวยโอกาสตอนที่มนุษย์ชายและหญิงสมสู่ร่วมประเวณีกันนั้นเอง โดยเข้าปฏิสนธิในครรภ์ฝ่ายหญิง ต่อจากนั้นก็เกิดตัวตนออกลูกออกหลานแพร่ขยายพันธุ์กันมาเรื่อยๆเมื่อมีเกิด ก็มีตาย คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
22#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-5 07:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กฎธรรมชาติ


ครั้นแล้วกฎแห่งธรรมชาติวิวัฒนาการของมนุษย์ได้เริ่มขึ้นใหม่อีกกฎหนึ่งในตอนนี้ นั้นคือกฎแห่งกรรมดี..กรรมชั่วหรือกฎธรรมชาติเมื่อมนุษย์แพร่ขยายพันธุ์ขึ้นในโลกมากมาย การแก่งแย้งชิงดีชิงเด่น แก่งแย่งกันทำมาหากินก็มากขึ้น มีการฆ่าฟันทำร้ายข่มเหงรังแกกัน เป็นของธรรมดาสัตว์โลกปุถุชน กฎแห่งกรรมดี.. กรรมชั่ว หรือกฏหมายธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติอย่างน่าอัศจรรย์ในตอนนี้คือ... นรกโลกและเทวโลก โลกทั้งสองที่เกิดขึ้นใหม่สดๆร้อนๆคือ นรกโลกและเทวโลกนี้ จัดไว้เป็นที่อยู่ของมนุษย์โลกที่ตายไปแล้ว เพื่อชดใช้กรรมดีและกรรมชั่วของตนที่เคยได้ทำไว้สมัยที่มีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ นรกโลกและเทวโลกนี้ไม่มีใครสร้างเป็นโลกละเอียดปรมาณูหรือโลกวิญญาณที่เกิดขึ้นมาเองด้วยตัวของมันเอง โดยธรรมชาติกฎแห่งสากลจักรวาลอันเป็นหลักวิวัฒนาการ มนุษย์คนไหนทำดี กฎหมายธรรมชาติคือทำดีได้ดีก็จัดส่งให้ไปเกิดในเทวโลก มนุษย์คนไหนทำชั่วคือทำชั่วได้ชั่ว กฏหมายธรรมชาติก็ส่งไปอยู่ในนรกโลกคือมนุษย์ตายไปแล้วสูญร่างกายหยาบ ส่วนจิตวิญญาณที่มาจากอาภัสรพรหมนั้นยังคงอยู่เพื่อรับกรรม คือกฏแห่งการกระทำของตนเอง


พรหมโลก

ขณะที่กฎแห่งธรรมชาติให้กำเนิดนรกโลกและเทวโลกขึ้นในจักรวาลนี้ พรหมโลกนั้นได้มีขึ้นอยู่ก่อนแล้ว คือโลกของอาภัสรพรหม หรือโลกของสัตว์ที่ไม่มีร่างหากมีแต่จิต เสวยอารมณ์ปีติอิ่มเอมใจเป็นอาหารทิพย์ เป็นภูมินรกและภุมเทวดาได้เกิดขึ้นแล้วเช่นนี้ พวกอาภัสรพรหม ที่คิดอยากจะท่องเที่ยว หรือจุติมาปฏิสนธิในโลกมนุษย์เหมือนอย่างแต่ก่อนก็เปลี่ยนไปคือไม่อยากจะมา เพราะโลกมนุษย์มีความเป็นสัตว์โลกหยาบช้าสกปรกมาก มีกิเลสชั่วร้ายมาก แก่งแย้งการทำมาหากินกันมาก ข่มเหงรังแกกันมาก ฉะนั้นการเวียนว่ายตายเกิดจึงเกิดขึ้นเป็นวงโคจรหรือวัฏฏะขึ้นระหว่างมนุษย์โลก นรกโลกและเทวโลก ส่วนอาภัสรพรหมแห่งพรหมโลกที่อยากจะจุติมาเกิดในมนุษย์โลกบ้าง จะมาได้ก็ด้วยอาศัยพลังของตัณหาคือความอยาก ความอยากหรือตัณหาของพรหมนี้คือกิเลส อยากจะมาประกอบกรรมดีในโลกมนุษย์เพื่อทดลองบำเพ็ญความดี คือว่าอยากมาร่วมทุกข์ร่วมสุขวุ่นวายกับพวกมนุษย์ ไม่ใช่คิดอยากจะมากินง้วนดินอันโอชารส เหมือนพวกอาภัสรพรหมรุ่นแรก เพราะว่าตอนนี้ง้วนดินในโลกมนุษย์ไม่เหลือหลออะไรอีกแล้ว อาภัสรพรหมที่นึกสนุกอยากจะมาเกิดในมนุษย์โลกนี้มีเป็นส่วนน้อย ส่วนมากมักเลื่อนชั้นตัวเองขึ้นไปอยู่ภูมิที่สูงขึ้นไปอีกภูมิหนึ่งคือภูมิของ มหาพรหม
23#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-5 07:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มหาพรหม





ภูมิมหาพรหมนี้ มีพรหมอยู่ร่างหนึ่งหรือองค์หนึ่ง ครองตัวเองอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางอาณาจักรอันเวิ้งว้างของจักรวาลอันเป็นเขต อวกาศ จะเรียกว่า สุญญากาศ ก็ได้ สุญตา ก็ได้มหาพรหมองค์นี้ เสวยสุข เสพปีติ ความอิ่มเอมใจอันละเอียดอ่อนเป็นอาหารทิพย์หล่อเลี้ยงมีแต่จิต ไม่มีร่างมีความบรมสุขยิ่งกว่าพรหมชั้นอาภัสรามากนัก เมื่ออยู่คนเดียวองค์เดียวมหาพรหมก็หลงตัวเองคิดไปว่า ตัวเองยิ่งใหญ่กว่าพรหมทั้งหลาย ความจริงนั้นมหาพรหมก็เป็นเพียงสัตว์ชนิดหนึ่งในห้วงจักรวาลที่มีแสงรัศมีในตัวเองเท่านั้น เกิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติของสสารพลังงาน แต่เป็นธรรมชาติสสารพลังงานที่มีสติปัญญาคือธาตุรู้ มหาพรหมองค์นี้เสวยสุขอยู่คนเดียวมานานแสนนาน ก็เกิดเบื่อเหงา คิดอยากจะได้เพื่อนมาอยู่ด้วย พลันก็มีอาภัสราพรหมเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ด้วยองค์หนึ่ง คือเลื่อนชั้นขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ ไม่มีใครดลบันดาลให้ขึ้นมาเลย เลื่อนชั้นภูมิตัวเอง


ด้วยกฏอันเป็นข้อน่าอัศจรรย์ของมวลสารพลังงานจักรวาลนั้นเอง มหาพรหมเกิดหลงผิดคิดไปว่า คนเองดลบันดาลให้อาภัสราพรหมองค์นี้ขึ้นมาเกิดอยู่ในอาณาจักรเดียวกัน เพราะเพียงแต่นึกอยากจะมีเพื่อนก็มีเพื่อนมาอยู่ด้วยเสียแล้ว อาภัสรพรหมได้เพิ่มจำนวนมาอยู่ด้วยทีละองค์สององค์เรื่อยๆ มหาพรหมก็เลยทึกทักเอาว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษยิ่งใหญ่ นึกอยากจะให้อาภัสรพรหมมาอยู่ด้วยก็มาได้ทันใจดีแท้ มหาพรหมเข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้เป็นเจ้าไปเสียแล้ว เป็นผู้สร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาลเป็นผู้กำหนด เป็นผู้ลิขิต เป็นผู้มีอำนาจสูงสุง พวกอาภัสรพรหมที่จุติมาเกิดในโลกมหาพรหม เมื่อเห็นมหาพรหมมีอยู่ก่อนแล้วก็หลงผิดทึกทักเอว่ามหาพรหมเป็นใหญ่เกิดก่อนพวกตนต้องเป็นบิดาของตนแน่ พวกตนจึงได้มาเกิดมาอยู่ร่วมด้วยกับพระองค์ มหาพรหมเป็นผู้สร้างพวกตนให้เกิดขึ้นมา
24#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-5 07:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-6-5 07:14

กาลนานต่อมาพรหมในชั้นมหาพรหมเหล่านั้นได้จุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์ด้วยอำนาจ กิเลสความอยากอะไรบางอย่าง









เมื่อเติบใหญ่ครองเรือนอยู่ในโลกมนุษย์ จนเบื่อหน่ายแล้ว สัญชาตญาณดั้งเดิมของความเป็นพรหมได้ทำให้คิดละโลกีย์ สละโลก ด้วยอำนาจบำเพ็ญพรตเป็นฤาษีดาบส ไปตามกฎแห่งกรรมของตนเอง พอพำเพ็ญเพียรตบะได้ถึงจุดบรรลุฌานสมาบัติ ก็เกิดระลึกชาติขึ้นมาได้ว่า ชาติก่อนตนเองเคยเป็นพรหมเสวยสุขบริโภคอาหารทิพย์ มีปีติอิ่มเอิบเป็นเครื่องเลี้ยงชีพ ก็เลยหลงผิดคิดว่าตัวเองลงมาเกิดในโลกมนุษย์นี้ เป็นเพราะมหาพรหมผู้เฒ่าองค์นั้นแน่ๆ เป็นผู้บันดาลให้มาเกิด ยิ่งทำให้หลงผิดเชื่อมั่นยิ่งขึ้นว่า มหาพรหม คือพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทรงอำนาจสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่าง อยากจะให้ใครเกิดก็ได้ ให้ใครตายก็ได้

แหละนี่เองคือความหลงผิดของมนุษย์ในยุคแรกที่คิดว่ามีพระผู้เป็นเจ้าสร้างโลก สร้างจักรวาล ความรู้ความเข้าใจนี้ได้แพร่หลายออกไป กลายเป็นศาสนานับถือพระเจ้าขึ้นในโลกมนุษย์เป็นครั้งแรก พระพุทธเจ้าผู้ทรงสัพพัญญุตญาณได้ทรงตรัสต่อไปว่าเมื่อธรรมชาติกฎแห่งจักรวาลได้สร้างมนุษย์โลก นรกโลก และเทวโลกขึ้นมาแล้ว ก็เกิดกฎแห่งการหมุนเวียนหรือวัฏฏะคือการเวียนว่ายตายเกิด เพื่อให้สัตว์ทั้งสามโลกนี้ได้ชดใช้กรรมดีกรรมชั่วของตัวเอง กฎแห่งวัฏฏสงสารนี้ก็คือกฎหมายธรรมชาติมีไว้สำหรับตัดสินสัตว์โลกนั้นเอง


25#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-5 07:09 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-6-5 07:15

แดนนิพพาน


กฎแห่งธรรมชาติที่เกิดขึ้นตามมาอีกคือ กฎแห่งกการล่วงพ้นวัฏฏสงสาร กฎนี้มีไว้สำหรับผู้ต้องการบำเพ็ญความดีขั้นสูงสุด เพื่อความหลุดพ้นการเวียบว่ายตายเกิด ใครสามารถทำได้สำเร็จก็จะไปแดนพระนิพพาน ซึ่งเป็นแดนสุญตาหรือแดนพรหมขึ้นไปอีกไกลสุดกู่ พระพุทธองค์ตรัสว่า นิพพานังปรมังสุขัง นิพพานเป็นแดนสุขอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทรงค้นพบกฎแห่งการหลุดพ้นวัฏสงสารนี้ ชี้ให้สัตว์โลกเห็นแดนพระนิพพานซึ่งศาสดาดึกดำบรรพ์แรกนับถือมหาพรหม พระผู้เป็นเจ้า หลงเข้าใจผิดไปว่า แดนของพรหมคือนิพพานหรือนิรวาณัมอันเป็นแดนสุขอย่างยิ่ง เป็นอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งความจริงไม่ใช่ เพราะแดนนิพพานที่แท้จริงอยู่สูงไปอีกกว่านั้น เป็นแดนของพระอรหันต์โดยเฉพาะ ส่วนแดนนิพพานของพรหมก็คือแดนของพระอนาคามีในพระพุทธศาสนาเท่านั้นเอง คุณๆผู้อ่านก็ได้รู้แล้วล่ะว่าเราท่านถือกำเนิดสืบเชื้อสายมาจากวิญญาณกลุ่มแรกที่มาจากนอกโลกคือ อาภัสรพรหม



แล้วอาภัสรพรหมล่ะ เกิดมาจากไหน?

คำตอบก็คือ อาภัสรพรหมเกิดขึ้นเอง เป็นเอง เป็นสสาร พลังงานธรรมชาติอย่างหนึ่ง ทีมีคุณพิเศษคือเป็นธาตุรู้ มีสติปัญญาความรู้สึกนึกคิดเป็นสัตว์ประเสริฐไม่มีร่างกายมีแต่ดวงจิตหรือวิญญาณ มีรังสีแสงเปล่งออกจากดวงจิตได้ด้วยพลังงานในตัวเอง


เป็นตำนานพรหมยุดแรกที่มาสร้างโลก







http://www.chongter.com


26#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-5 07:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
งู นาค ศักดิ์สิทธิ์ในคติชนสุวรรณภูมิ



ตีพิมพ์ในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551-2554




งู นาค ศักดิ์สิทธิ์ในคติชนสุวรรณภูมิ

ผู้คนในภูมิภาคอุษาคเนย์ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ยกย่อง “งู “ เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะงูมีอยู่ชุกชุมและเป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายอันตรายเกินกว่าที่มนุษย์สมัยโบราณจะควบคุมได้ จากความกลัวจึงบูชานับถือเป็นสัตว์ที่มีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ แล้วยกย่องให้ยิ่งใหญ่เป็น นาค หรือ พญานาค สัตว์ในจินตนาการที่มีเรื่องเล่านิทานตำนานอยู่มากมายในกลุ่มชนแถบภูมิภาคอุษาคเนย์ ดังมีรวบรวมไว้ในหนังสือ นาค : ในประวัติศาสตร์อุษาคเนย์ ของ คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ

ร่องรอยคติการบูชานับถืองู อาจดูได้จากการทำลวดลายเป็นรูปงูบนภาชนะดินเผา ยุคสุวรรณภูมิ เมื่อ 2,000-3,000 ปีมาแล้ว เช่น ภาชนะดินเผาที่พบจากบ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี, บ้านเก่า จ.กาญจนบุรี, โคกไม้เดน อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ และจากแหล่งโบราณคดีหุบเขาวงพระจันทร์ อ.โคกสำโรง จ. ลพบุรี เป็นต้น

วัฒนธรรมหินตั้งหรือหินใหญ่ เมื่อราว 2,500 ปีก่อน บริเวณปราสาทวัดภู ของชาวเจนละ ก็มีรูปสลักจำพวกสัตว์เลื้อยคลาน อย่างงู และจระเข้ อยู่เช่นกัน

โดยที่ภาชนะดินเผา ซึ่งทำมาพิเศษสำหรับฝังอุทิศในพิธีฝังศพ และรูปสลักรูปงูหรือสัตว์เลื้อยคลาน บนลานพิธีศักดิ์สิทธิ์ บริเวณศาสนสถานวัดภู ที่รูปสลักจระเข้มีการสลักร่องทางน้ำไหล ที่อาจเป็นช่องสำหรับให้น้ำศักดิ์สิทธิ์จากการทำพิธีไหลลง ความ เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ช่วยยืนยันว่างูหรือนาคที่ปรากฎบนงานศิลปกรรมหรือข้าวของเครื่องใช้ประกอบในพิธีกรรม เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่คนยุคเก่าก่อนนั้นยกย่องนับถือ
นอกจากนี้ ในชนบางกลุ่มที่นับถืองูเป็นบรรพบุรุษยังคงมีพิธีกรรมสืบทอดมาถึงปัจจุบันที่บ่งบอกความเชื่อดั้งเดิม เช่น ชาวอูรักลาโว้ย ชาวเลที่อาศัยอยู่ทางฝั่งทะเลอันดามัน ทางตอนใต้ของประเทศไทย ในพิธีลอยเรือเพื่อส่งวิญญาณกลับสู่ที่มา แสดงความเคารพต่อธรรมชาติและบรรพบุรุษ มีการสลักไม้บนเรือเป็น”ลายงู” ซึ่งหมายถึง “โต๊ะอาโฆะเบอราไตย” คือ บรรพบุรุษที่เป็นงู

รวมไปถึง ชาวจ้วงซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ทางตอนใต้ของจีน แถบกวางสีและจังหวัดใกล้เคียง เครือญาติตระกูลไทยเก่าแก่ ก็นิยมสักตัวเป็นรูปจระเข้ รูปมังกร หรือเกร็ดจระเข้ ลายงู ในหนังสือ “วัฒนธรรมโบราณชาวเย่ว” ของหลอเซียงหลิน กล่าวว่า “คนเย่วโบราณ สักตัวด้วยลายมังกร งู สัตว์น้ำเป็นประเพณี” มีที่เล่ากันว่าเพื่อหลีกเลี่ยงตัวมังกรและจระเข้ ดังในหนังสือ “ฮั่นซู ภูมิศาสตร์” กล่าวว่า “ตัดผม สักตัว เพื่อป้องกันสัตว์ร้าย”

การสักตัวเพื่อแสดงถึงความเป็นพวกเดียวกัน คงเกี่ยวข้องกับความเชื่อถือในเรื่องบรรพบุรุษหรือกษัตริย์ที่สืบเชื้อสายจากนาค เช่น นิทานของชาวญวน ที่กล่าวถึงพระเจ้าหลากล็องกุนสืบซึ่งเชื้อสายมาจากนาค ในตระกูลสายมารดา ทำให้เกิดมีบรรดาสัตว์เลื้อยคลานมีอยู่เต็มเมืองของพระองค์ และประชาชนต้องล้มตายจากการถูกกัดเมื่อลงไปตามหนองคลองบึงไปมาก และด้วยความเชื่อกันว่ากษัตริย์ของพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากนาค พระองค์จึงได้สั่งให้ประชาชนสักตัวเป็นรูปมังกร รูปงู เพื่อแสดงว่าเป็นพวกเดียวกัน

คติความเชื่อเรื่องสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ มีแพร่กระจายอยู่ทั่วไปในภูมิภาคอุษาคเนย์ อย่างน้อยเมื่อราว 2,000 ปีก่อน ในรูปของนิทานตำนาน ศิลปกรรม ความเชื่อ ในกลุ่มชนต่างๆบนภูมิภาคซึ่งมีวัฒนธรรมดั้งเดิมร่วมกัน ที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นแฟ้น




ภาพประกอบ




ลายงูเขียนสีศักดิ์สิทธิ์ บนภาชนะดินเผา อายุราว 2,500 ปีมาแล้ว พบในบริเวณ อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในมิวเซียมท้องถิ่น วัดเขาไม้เดน ต.ท่าน้ำอ้อย อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์


http://www.sujitwongthes.com

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้