หุ่นพยนต์ (ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์)
ตำนานหุ่นพยนต์ เกิดขึ้นและมีให้เห็นตั้งแต่สมัยพุทธกาล "พระมหากัสปะเถระ" เสกหุ่นพยนต์โดย อธิษฐานอภิญญาฤทธิ์ ให้หุ่น เฝ้าอภิบาล "พระบรมสารีริกธาตุ " ก่อนที่พระมหากัสปะเถระจะเสด็จสู่นิพพาน จากนั้น 200 ปี "พระเจ้าอโศกมหาราช" เปิดสถูปพระบรมสารีริกธาตุเพื่อเชิญลงมา แต่เจอหุ่นพยนต์ ป้องกันอยู่ ทหารเป็นแสนๆ ของพระองค์ก็ยังเอาชนะไม่ได้ และไม่สามารถเข้าไปรับพระบรมสารีริกธาตุได้ จึงร้อนถึงพระอินทร์แปลงกายมาเป็นพราหมณ์หนุ่มเอาศรมายิงทำลายหุ่นพยนต์ จึงคลายมนต์ และนำเอาพระบรมสารีริกธาตุ และมหาสมบัติออกมาได้
ในวงการไสยศาสตร์ หรือ พวกจอมขมังเวทย์ทั้งหลาย เป็นที่ยอมรับกันดี เรื่องมีภูตผีเป็นผู้รับใช้ติดตามจะสายไหนก็มักจะมีข้ารับใช้เสมอ ทั้งสายเทพ สายพราย สายภูติ สายผี สายเวทย์ บางครั้งถูกเรียกไปต่างๆนานา เช่น วิชามารยศาสตร์สร้างปู่โสม การฆ่าคนเพื่อเฝ้าสมบัติพัสถาน กุมารทองกุมารี รักยม อิ่นจันทร์ อิ่นแก้ว ในลัทธิองเมียวโดของญี่ปุ่นมีชิกิงามิ ชิกิยิน เป็นการเสกกระดาษเป็นข้ารับใช้ ซึ่งเป็นพวกเดียวกับหุ่นพยนต์ของไทย
หุ่นพยนต์ คำนี้ว่าจากคำว่า “พยนต์” แปลว่า สิ่งที่ผู้ทรงวิทยาคมปลุกเสกให้มีชีวิตขึ้น เช่น หุ่นพยนต์ เป็นรูปหุ่นจำลองของคน สัตว์ เทวดา ยักษ์ หรืออะไรต่อมิอะไร โดยอาศัยหลักการว่าอยากได้รูปร่างยังไงให้ทำหุ่นแบบนั้น หรือชนิดไหนตามแต่ความต้องการจะใช้หุ่นพยนต์ ประมาณว่าให้เหมาะสมกับงานที่จะใช้ไปทำ
วัสดุที่นำมาใช้สามารถทำได้เกือบทุกอย่าง ตั้งแต่หุ่นหญ้าสาน หุ่นก้านใบไม้สาน หุ่นเถาวัลย์สาน หุ่นหวายสาน ใบไม้ถัก หุ่นไม้แกะสลัก หุ่นไขเทียน หุ่นด้าย หุ่นผ้า หุ่นดิน หุ่นดินเผา หุ่นหิน หุ่นกระเบื้อง หุ่นอิฐ หุ่นปูน หุ่นเงิน หุ่นทอง หุ่นโลหะ ซึ่งการเลือกใช้นั้นอาศัยหลักง่ายๆว่าอาจารย์ไหนใช้อะไรจะต้องใช้ตามอาจารย์
การผูกหุ่นพยนต์ของคณาจารย์รูปใดรูปหนึ่ง จะกำหนดให้เกิดอาการ 32 สามารถรับรู้และรู้เห็นเคลื่อนไหวได้ เหมือนกับสิ่งมีชีวิตจริงทุกประการ หรือในลักษณะของการแอบแฝง ซ่อนเร้น อยู่ในวัตถุธาตุ อาถรรพณ์ต่างๆ จะแสดงฤทธิ์คอยปกป้องเมื่อมีผู้คิดร้ายหรือถ้าหากเป็นสถานที่ต่างๆ ที่หุ่นพยนต์ดูแลรักษา หุ่นพยนต์จะแสดงฤทธิ์ในอาการต่างๆ ในหลายรูปแบบแตกต่างกันออกไปคอยปกป้องเฝ้าทรัพย์สินสิ่งต่างๆ ในบริเวณพื้นที่นั้น
เมื่อมีผู้คนคิดปองร้ายหรือมีเจตนาที่ไม่ดีถ้าเป็นสถานที่ต่างๆ หุ่นพยนต์จะแสดงฤทธิ์ดูแลรักษาเฝ้าทรัพย์สินในพื้นที่นั้นๆ แสดงฤทธิ์คอยปกป้องเมื่อมีผู้คิดร้ายหรือถ้าหากเป็นสถานที่ต่างๆ ขับไล่สิ่งอัปมงคลอำนาจชั่วร้ายและภูติ ผี ปีศาจ กันคุณไสย ลมเพลมพัด กันและแก้ของไม่ดี บูชาไว้ติดตัวได้หญิงและชาย บูชาไว้ในรถ สำนักงานร้านค้าเฝ้าเรือกสวนไร่นา กันขโมย ปกป้องกันภัยให้แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
หุ่นพยนต์ จะ แตกต่างกับกุมารทอง หุ่นพยนต์จะเกิดจากผู้สร้างทำหุ่น แล้วใช้สมาธิจิตผู้สร้าง เรียกรูปเรียกนาม ตั้งธาตุขึ้นมา ( ครูบาอาจารย์เก่าๆ ท่านแยก เช่น ดิน หนัง น้ำ เลือด น้ำเหลือง ลม หายใจ ไฟ อุณหภูมิในตัว สุดท้ายเกิดเป็นคน) แต่กุมารทองจะเกิดจากผู้สร้าง นำวิญญาณสัมภเวสีมาใส่ เพื่อให้เค้าสร้างบุญเมื่อถึงเวลาไปเกิดจะได้ไปเกิดที่ดีๆ (อันนี้เป็นความฉลาดของครูบาอาจารย์สมัยโบราณ ให้ดวงวิญญาณที่ไม่ถึงเวลาเกิดมาสร้างบุญ )
พ่อหุ่นนอกจากเปรียบเสมือน บอดี้การ์ด แล้วยังดีทางด้านเมตตามหานิยม ค้าขายร่ำรวย ขอสิ่งใดก็มักจะได้สมตามความปรารถนาเสมอ เหมือนมีเพื่อนคู่กายดีๆ ที่คอยคุ้มครองดูแลเรา แต่ก็ควรจะทำบุญกรวดน้ำให้แก่หุ่นพยนต์ตัวนั้นๆ ที่เราใช้อยู่เป็นประจำ โดยห้ามถวายเหล้ายาอย่างเด็ดขาด บางคนที่ไม่ได้นำหุ่นพยนต์ติดตัวขึ้นคอ ก็จะวางบนพานพุ่ม ถวายน้ำ ถวายบุหรี่ ก็นิยมทำกัน บางคนง่ายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองกันมาก เวลาจะกินข้าวก็เรียกให้หุ่นพยนต์มากินด้วยกัน เท่านั้นก็พอ
หุ่นพยนต์มีการสร้างหลายสาย ทั้งเหนือ อีสาน กลาง ใต้ แต่ที่วงการยกให้เป็นอันดับ ๑ คือของ อ.ลอย โพธิ์เงิน หรือ(ลอย อยู่เรือ) ซึ่งท่านเรียนวิชาสร้างหุ่น มาจาก หลวงพ่อแป้น วัดเสาธงใหม่ จ.อยุธยา (หลวงพ่อแป้น ท่านก็เป็นอาจารย์ของ หลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว เกจิชื่อดังจ.สิงห์บุรี ด้วยเช่นกัน)
ขออนุญาติเจ้าของภาพประกอบ มา ณ ที่นี้
แนะนำเรื่องเล่าโดยคุณ>>>>>>ตา ต้น