ข้าพเจ้าลาออกจากงานประจำเพื่อมาปรนนิบัติดูแลคุณพ่อซึ่งล้มป่วย เป็นอัมพาตมานานกว่า ๑๗ ปี ในระยะเวลาเริ่มท่านพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องคอยเป็นกังวลมากนัก แต่ในช่วงเวลา ๔-๕ ปีที่ผ่านมานี้ คุณพ่อต้องนอนอยู่กับที่ไม่สามารถลุกขึ้นเดินได้เลย กินและขับถ่ายอยู่บนเตียงจนแผ่นหลังเน่าเปื่อย บางครั้งถึงกับยอมให้มดและแมลงรุมกัดรุมแทะอย่างน่าเวทนา ข้าพเจ้าเห็นแล้วบังเกิดความสังเวชใจ แต่ก็ยังทำหน้าที่คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ และทำความสะอาดให้เป็นประจำทุกวัน
อาการในระยะสุดท้ายเกิดโรคแทรกซ้อน ปอดอักเสบเพราะติดเชื้อรุนแรงทำให้ระบบหายใจติดขัดมีอาการเหนื่อยหอบตามมา และระดับน้ำตาลในเม็ดเลือดสูงมากปัสสาวะที่ออกมามีสีเข้มข้นผิดปกติ เมื่อออกจากโรงพยาบาลกลับมาพักฟื้นที่บ้านอาการมีแต่ทรุดลง ต้องให้อาหารเหลวผ่านทางสายยาง โดยสอดสายยางผ่านทางรูจมูกลงไปจนถึงกระเพาะอาหารและใส่ท่อปัสสาวะเพื่อระบายของเสีย สำหรับแผลเน่าเปื่อยที่เกิดจากการนอนอยู่กับที่นานๆ บัดนี้กลับกลายเป็นแผลลึกขนาดใหญ่มาก โดยเฉพาะแผลเน่าที่บริเวณสะโพกทั้งสองข้างสามารถรองรับน้ำได้หนึ่งแก้วพอดี ขาทั้งคู่ก็งอพับเข้าหากันเหมือนขากบ ข้างหนึ่งลีบเล็กเห็นถึงกระดูก ส่วนอีกข้างบวมโตช้ำเลือดช้ำหนอง มือที่ใช้การไม่ได้และกำไว้แน่นโดนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ไม่สามารถดึงหรือ เหยียดนิ้วออกได้เลย ที่น่าวิตกอย่างมากคือ บริเวณศีรษะ ถึงกกหูเริ่มปริและแตกออกมาบ้างแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดและน้ำหนอง ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งตลบอบอวลไปทั่วทั้งบ้าน ข้าพเจ้าได้มีจดหมายนมัสการมายังพระเทพสิงหบุราจารย์ (พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) แจ้งอาการอันน่าวิตกของคุณพ่อให้ท่านทราบโดยตลอด และท่านได้มีเมตตาต่อข้าพเจ้าและครอบครัว ให้คำแนะนำในการรักษาพยาบาลและส่งตำรายาพร้อมวิธีการปรุงมาให้ด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกตื้นตันใจในความเมตตาที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมอบให้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า คุณพ่อของข้าพเจ้าไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้ และได้เสียชีวิตลงก่อนมิทันที่จะได้รับความช่วยเหลือจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อผู้มีพระคุณอย่างเหลือล้น
เสร็จสิ้นจากงานศพคุณพ่อแล้ว ข้าพเจ้าจัดกระเป๋าเสื้อผ้าเตรียมออกเดินทางจุดหมายข้างหน้าคือที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี วัดที่มีพระอริยะสงฆ์เจ้าผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ และมีวัตรปฏิบัติเป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
ข้าพเจ้าเดินทางมาถึงวัดอัมพวันในวันศุกร์ที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๔๕ ได้แจ้งความประสงค์ต่อเจ้าหน้าที่จะขออยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดมีกำหนด ๗ วัน แต่ตามกฎระเบียบของทางวัดให้ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมในวันศุกร์อยู่ได้เพียงสามวัน ซึ่งต้องกลับในวันอาทิตย์ คงเป็นเพราะข้าพเจ้ามีใจที่มุ่งมั่นแน่วแน่ จึงได้รับอนุญาตให้อยู่ปฏิบัติธรรมได้ตามที่ประสงค์ โดยเข้าพักที่อาคารชั้น ๔ โรงเรียนปริยัติธรรม ที่ดูสงบเงียบและแวดล้อมไปด้วยพุ่มไม้นานาชนิด
เวลา ๑๗.๐๐ น. ข้าพเจ้าและผู้ที่เข้ามาใหม่ซึ่อยู่ในชุดขาวบริสุทธิ์มาพร้อมกันที่ศาลาปฏิบัติธรรม อาคารภาวนา ๑ เพื่อเข้าร่วมในพิธีบวชเนกขัมมะ รับศีลแปดจากพระอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ และได้รับการอบรมเกี่ยวกับพิธีการทางพระพุทธศาสนา เช่น การก้มลงกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ การอาราธนาศีลและอาราธนาธรรม ตลอดจนการสวดมนต์ ทำวัตรเช้า-เย็น จากนั้นพระอาจารย์ได้อบรมการเจริญพระกรรมฐานตามแนวทางสติปัฏฐานสี่เริ่มจากการยืนอย่างมีสติ โดยประคองสติให้อยู่กึ่งกลางกระหม่อม กำหนดให้เห็นเป็นเส้นตรง ลากจากบนลงล่าง จากล่างขึ้นบน เคล็ดลับอยู่ที่กำหนดให้ช้าที่สุด อย่ารีบร้อนจนเกินเมื่อได้ ยืน-หนอแล้ว การเดินจงกรมและการกำหนดนั่งก็จะได้เร็วขึ้น สำหรับผู้ที่มาปฏิบัติธรรมครั้งแรก เช่นเดียวกับข้าพเจ้า ที่ยังจับต้นชนปลายไม่ได้ เวลาเดินจงกรมก็ยังเดินสะเปะสะปะ ไม่เหมือนกับที่เดินตามปกติ เนื่องจากไม่ได้รับการฝึกปฏิบัติตามแนวทางสติปัฏฐานสี่มาก่อนเลย จนมาถึงการนั่งสมาธิ กำหนดที่หน้าท้อง พอง-หนอ ยุบ-หนอ ก็ยังติดขัดเช่นเดิม ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด
เวลา ๐๔.๐๐ น. ของวันใหม่ ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนมาพร้อมกันเพื่อสวดมนต์ทำวัตรเช้า จากนั้นอุบาสิกาซูง้อ แซ่เอ็ง ได้มาควบคุมการเจริญพระกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจในตัวท่านเป็นอย่างมาก แม้ว่าท่านจะเป็นชาวสิงคโปร์ต่างชาติต่างภาษา แต่ก็ยึดถือตามขนบธรรมเนียมแบบไทยเรา การกราบการไหว้ดูอ่อนช้อยงดงามหาที่ติไม่ได้ การพูดการเจรจาก็ไพเราะอ่อนหวานน่าชื่นชมอย่างยิ่ง
หลังจากอาหารเช้ามื้อแรกข้าพเจ้ารู้สึกสับสนกับการปฏิบัติที่เพิ่งผ่านไป เนื่องจากร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ และเมื่อมาถึงการปฏิบัติในช่วงระหว่าง เวลา ๐๘.๐๐น.–๑๑.๐๐ น. ข้าพเจ้าจึงเกิดความเบื่อหน่ายแต่แข็งใจฝึกปฏิบัติจนครบกำหนดเวลา และมาอึดอัดมากยิ่งขึ้นในช่วงบ่าย เนื่องจากอากาศโดยรอบร้อนอบอ้าว ถึงจะมีพัดลมให้ความเย็นอยู่เหนือศีรษะ ก็ไม่สามารถบรรเทาความร้อนลงได้เลย
เวลา ๑๘.๐๐ น. ร่วมสวดมนต์ทำวัตรเย็น จากนั้นจึงเข้าประจำที่ฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการยืนอยู่กับที่โดยมีสติกำกับ แล้วเดินจงกรมสลับกับการนั่งสมาธิโดยลำดับ เมื่อคำนวณดูแล้วในหนึ่งวัดผู้ปฏิบัติต้องทุ่มเททั้งกายและใจ เพื่อให้ทันกับแนวทางการสอนที่วางกรอบไว้ใน ๔ ช่วงเวลาด้วยกัน รวมเวลาทั้งสิ้น ๑๒ ชั่วโมง นับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถและน้ำอดน้ำทนของผู้ปฏิบัติอยู่ไม่น้อย
วันอาทิตย์ที่ ๑๗ มีนาคม ตั้งแต่เช้าข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ เกิดอาการวิงเวียนศีรษะอยากจะล้มตัวลงนอนท่าเดียว ขณะเดียวกันก็มีอาการเครียดทางประสาท จนเรี่ยวแรงถดถอยลงทุกขณะ กำลังใจตกวูบในทันที คิดอยากจะกลับบ้านท่าเดียว ปฏิบัติได้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
คืนนั้นข้าพเจ้านอนไม่หลับ สับสนกระวนกระวายอย่างมาก คิดจะหลีกหนีไม่เข้าร่วมสวดมนต์ทำวัตรเช้าตอนตีสี่ แต่พอเอาเข้าจริงๆ แค่ตีสามเศษๆ เท่านั้น ข้าพเจ้าลุกขึ้นจากที่นอนอย่างรวดเร็ว อาบน้ำแปรงฟันเสร็จสรรพ ถือหนังสือสวดมนต์เดินออกจากอาคารที่พักเข้าสู่ศาลาปฏิบัติธรรมโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
แต่พอเข้าสู่การปฏิบัติในช่วงเช้า อาการที่ไม่สบายเกิดกำเริบขึ้น รู้สึกมึนงงอย่างมาก ขณะที่เดินจงกรมเมื่อเท้าก้าวย่างออกไป รู้สึกว่าพื้นศาลาสั่นไหวโคลงเคลงไปมา ไม่สามารถควบคุมการเดินให้เป็นปกติได้ เหลือบดูผู้ปฏิบัติธรรมคนอื่นๆ ก็เห็นเขายังปกติดีอยู่แต่ตัวเราทำไมถึงซวดเซไร้ทิศทาง จวนจะล้มมิล้มแหล่ คิดในใจว่าถ้าจะล้มลง ณ ที่ตรงนั้นก็ขอให้สิ้นใจตายในทันที แต่ถ้าล้มลงแล้วกลับมีชีวิตอยู่ต่อไปแต่ไม่มีโอกาสลุกขึ้นยืนได้อีกข้าพเจ้าไม่พึงปรารถนา มาถึงตรงนี้เกิดอาการเสียดแทงบริเวณหน้าอก หยดเหงื่อไหลย้อยเข้าตาจนฝ้าฟาง สลับกับลมหายใจที่เบาหวิวใกล้หมดแรง เพื่อเป็นการรักษาตัวรักษาชีวิตในยามนี้ จึงกำหนดลงนั่งขัดสมาธิ มือทั้งสองประสานไว้บนตัก ปิดเปลือกตาลงช้าๆ พร้อมกับกำหนดที่หน้าท้อง พอง-หนอ ยุบ-หนอ เรื่อยไปจนครบตามเวลาที่กำหนด
ตกบ่ายอาการของข้าพเจ้ายังไม่ดีขึ้น พื้นศาลาที่ยืนอยู่กลับสั่นคลอนหนักขึ้น ใจวาบหวิวคล้ายจะเป็นลม จึงเปลี่ยนจากการเดินมาเป็นการกำหนดลงนั่ง พยายามประคองสติให้ตั้งมั่น แต่ก็ทรงอยู่ได้เพียงชั่วขณะ จนเกิดอาหารคลื่นเหียนอยากจะสำรอกออกมา ตัดสินใจครั้งสุดท้ายจะขอออกจากการเจริญพระกรรมฐานก่อนครบกำหนดเวลา แล้วรีบแผ่เมตตาพร้อมกับอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่มารดา บิดา ญาติสนิทมิตรสหาย ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ เหล่าเทพเทวดา แต่ยังไม่ทันได้อุทิศส่วนกุศลให้เปรตเลย พลันเกิดอาการแน่นขึ้นที่บริเวณลำคอ เนื่องจากมีเสลดจุกแน่นอยู่ภายในจนหายใจไม่ออก พยายามกลืนลงไปแต่ไม่สำเร็จ รู้สึกกระอัก กระอ่วนอย่างมาก ถึงจะกำหนดรู้-หนอ แน่น-หนอ ก็ยังไม่ย่อนคลาย ในที่สุดจำใจต้องลืมตาลุกขึ้นยืนหันรีหันขวาง ก่อนที่จะเดินออกจากห้องกรรมฐานอย่างลุกลี้ลุกลน แจ้งให้อาจารย์ซูง้อ ทราบถึงอาการเจ็บป่วย ซึ่งท่านก็ได้อนุญาตให้ออกจากห้องกรรมฐานได้ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถปฏิบัติจนครบตามเวลาที่กำหนดได้
ข้าพเจ้าออกมานั่งรับลมเย็นใกล้สระน้ำ ได้สัมผัสกับกลิ่นอายของธรรมชาติ เสียงนกร้องวิเวกหวาน เสียงน้ำในสระไหวกระเพื่อมขึ้นลง เห็นฝูงปลาหลากสีสวยงามแหวกว่ายไปมา จนกระทั่งเห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นของพระแม่ธรณี ใจจึงเริ่มเป็นสุขคลายความทุกข์ลงได้บ้าง ตั้งใจไว้ว่าจะปฏิบัติให้ดีกว่าที่แล้วมา
ตอนหัวค่ำข้าพเจ้าปฏิบัติการเจริญพระกรรมฐานด้วยจิตใจอันมั่นคง หลับตายืน-หนอได้ไม่ครบห้าครั้ง ก็ใช้วิธีลืมตายืน-หนอ จนครบห้าครั้ง เวลาเดินจงกรมจากเดิมที่ก้มหน้าลงดูปลายเท้าของตัวเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการหน้ามืดล้มลงได้ ก็เปลี่ยนมาเป็นเงยหน้าเสมอระดับเอวหรือสูงกว่านั้นเล็กน้อย เพื่อให้ร่างกายทรงตัวอยู่ได้โดยไม่ล้มลงเสียก่อนเป็นการแก้ไขสถานการณ์ได้ดีในระดับหนึ่ง จนกระทั่งการฝึกปฏิบัติในวันนั้นเสร็จสิ้น |