ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1641
ตอบกลับ: 1
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หลวงปู่จันทา ถาวโร สนทนากับยมทูต

[คัดลอกลิงก์]
กรกฎาคม 25, 2012 โดย ธ. ธรรมรักษ์
หลวงปู่จันทา ถาวโร เป็นพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแห่งวัดป่าเขาน้อย อ. วังทรายพูน จังหวัดพิจิตร ท่านได้กล่าวเล่าถึงประสบการณ์การเห็นนรกครั้งหนึ่งไว้เป็นอุทาหรณ์สอนในเรื่องการทำความดีและละเว้นความชั่วเพื่อให้พ้นจากนรกภูมิว่า
ครั้งหนึ่งเมื่อออกพรรษาเป็นฤดูแล้งในปี พ.ศ. 2494 หลวงปู่ได้ไปพักอยู่ที่วัดเฉลียงลับ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์และได้ตั้งใจฝึกจิตภาวนาตามที่ครูบาอาจารย์คือหลวงปู่ทับได้สั่งสอนเอาไว้ โดยท่านได้ให้คำสัตย์มั่นเอาไว้ว่าจะไม่ถือนอนเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ไม่ถือฉันอาหารใดๆ จะทำความเพียรอยู่ในอิริยาบถ 3 คือ เดิน ยืน นั่ง เท่านั้น แล้วก็ตั้งใจมั่นอธิษฐานจิตว่า
“ถ้านรก สวรรค์ นิพพานมีจริง ก็ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงทรงบันดาลให้ได้เห็นในวันนี้หรือคืนนี้ จะได้สิ้นสงสัยว่า พระรัตนตรัยเป็น “นายะโก” ผู้นำโลกสามารถนำหมู่สัตว์ออกจากวัฏสงสารและทุกข์ได้จริง”
จากนั้นหลวงปู่ก็ออกเดินจงกรม ก้าวขวาว่า “พุทโธ” ก้าวซ้ายว่า “ธัมโม” ก้าวขวาว่า “สังโฆ” เมื่อครบสามรอบแล้วก็ย่นคำบริกรรมเป็น ก้าวขวาว่า “พุท” ก้าวซ้าย “โธ” ทำอยู่อย่างนั้นไม่ได้กำหนดเวลา มีแต่เดินกับยืนวันยังค่ำ
จนกระทั่งถึงเวลาหกโมงเย็นท่านจึงได้หยุดไปอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จแล้วก็ฉันน้ำร้อน จากนั้นเวลาเกือบ 6 โมง 30 นาที แสงอาทิตย์จวนจะหมดจึงได้เอากลดไปกางบนศาลา แล้วอธิษฐานตั้งใจมั่นว่า
“คืนนี้จะนั่งภาวนา เพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ และฝึกจิตให้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมต่างๆ ให้เห็นนรก สวรรค์ นิพพานมีหรือไม่ ขอให้รู้เห็นเป็นไปจะได้สิ้นสงสัย”
เมื่อหลวงปู่ได้อธิษฐานแล้วก็ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้วก็อุทิศส่วนบุญ จากนั้นเข้าที่นั่งสมาธิ ชำระจิตให้ผ่องใส ปล่อยวางอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงให้หมด นั่งเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาวางทับมือซ้าย ทำกายให้ตรงดำรงสติให้มั่นเฉพาะหน้าบริกรรมพุทโธ เป็นอารมณ์ของสติ หายใจเข้าว่า “พุท” หายใจออกว่า “โธ” อยู่อย่างนั้น
พอจิตยึดมั่นกับพุทโธได้ไม่นานจิตก็ปล่อยวางพุทโธ เหลือแต่ผู้รู้อยู่กับสติพอจิตรวมลงไปนั้นจิตของท่านก็ได้วางกาย วางลม วางขันธ์ทั้งหมดลงจนได้ระดับสมาธิที่เรียกว่า “อุปจารสมาธิ” ขึ้นมาจนกระทั่งเวลาได้ล่วงไปถึงประมาณ ตี 2 กับ 30 นาที
ท่านก็ได้พบเห็นนิมิตผ่านเข้ามาเป็น “นายนิรยบาล 8 คน” เดินออกมาจากบ้านเฉลียงลับ รูปร่างสูงใหญ่มหึมาขนาดมนุษย์ธรรมดาถึงหกเท่า ทั้งหมดมีผิวเนื้อดำแดง สวมเสื้อผ้าสีแดง และมีผ้าแดงเคียนที่ศีรษะมือถือง้าวปลายแหลม เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห่างประมาณ 2-3 วาเท่านั้น
นายนิรยบาลที่เป็นหัวหน้ากล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ พวกข้าพเจ้าทั้งแปดคน เป็นนายนิรยบาลมาจากเมืองนรกจะมาเอาบุคคลผู้สิ้นอายุสังขาร ซึ่งเป็นหญิงสาวอายุ 16 ปี เขาหมดเกษียณภพชาติแล้ว พวกข้าพเจ้าได้ไปทำลายธาตุขันธ์เขาให้สิ้นลมแล้ว เดี๋ยวเขาจะตามมาภายหลัง”
หลวงปู่จันทาได้ถามออกไปว่า “พวกท่านคือนายนิรยบาลมาจากนรกจริงหรือ”
“จริงสิท่าน ผู้ที่ทำงานอยู่ในเมืองนรกเหมือนกับพวกข้าพเจ้านี้ เรียกว่า “นายนิรยบาล” นายนิรยบาลก็เปรียบเหมือนกับพลตำรวจ และมีจ่ายมบาลซึ่งเปรียบเสมือนท่านอธิบดีกรมตำรวจมีหน้าที่คอยควบคุมบัญชาการอีกที”
หลวงปู่จึงถามต่อไปอีกว่า “พวกท่านที่ได้ไปทำงานอยู่ในเมืองนรกนั้น ได้ทำคุณงามความดีหรือความชั่วอย่างไร”
นายนิรยบาลตอบว่า “ความดีทั้งหลายก็ทำความชั่วทั้งปวงก็ทำ ทำเอาหมดทั้งนั้นไม่เลือก เมื่อสิ้นชีวิตแล้วกรรมดีและกรรมชั่วนั้นจึงนำพาไปอุบัติบังเกิดเป็นนายนิรยบาล ผู้มีหน้าที่ต้องทำงานอยู่ในเมืองนรกอันหฤโหด”
หลวงปู่ได้โอกาสจึงถามต่อทันที “นรกนั้นอยู่ที่ไหน” นายนิรยบาลจึงคลายความสงสัยให้ฟังว่า
เมืองนรกอันร้อนระอุนั้นอยู่ใต้ภูเขาเทวดาลงไป เป็นอีกเมืองหนึ่งต่างหากตั้งอยู่ระหว่างกึ่งกลางของทั้งสามจังหวัด คือ เลย ชัยภูมิ และเพชรบูรณ์นรกนั้นเป็นสถานที่ที่ทุกข์ล้วนๆ หาความสุขไม่มีแม้แต่น้อยหนึ่งทุกข์เพราะสัตว์นรกจะถูกต้มด้วยน้ำร้อนและถูกสังหาร ด้วยหอกด้ามกล้า พร้าด้ามคม ของนายนิรยบาล เป็นทุกข์อย่างนั้น หาสุขไม่มีเลยแม้เศษเสี้ยววินาที
หลวงปู่จึงได้ถามต่อไปว่า “พวกท่านที่ทำงานอยู่ในเมืองนรกนั้นเล่าเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ร้อน ด้วยเหตุผลประการใดบ้าง” นายนิรยบาลจึงได้ตอบว่า
“เป็นทุกข์ครึ่งหนึ่งของบรรดาสัตว์นรกเหล่านั้น เป็นทุกข์ในขณะที่ไปสังหารสัตว์นรก ตรวจตราสัตว์นรก ถูกไฟนรกปลิวขึ้นมาไหม้ ถูกน้ำร้อน กระเด็นขึ้นมาลวกเจ็บแสบแทบตาย นี่เป็นเพราะกรรมชั่วที่สะสมไว้เมื่อครั้งยังชาติเป็นมนุษย์โน้นจึงให้ผลเป็นทุกข์อย่างนั้นครั้นพอเลิกจากงานในเมืองนรก ก็กลับมาอยู่ปราสาทราชมณเฑียรได้กินของทิพย์อยู่สุขสบาย เพราะบุญกรรมดี สะสมไว้แต่ครั้งเมื่อยังมีชาติเป็นมนุษย์นั้นเช่นเดียวกัน”
หลวงปู่จึงได้ตั้งคำถามหนึ่งขึ้นมา เป็นคำถามที่แสดงให้เห็นถึงพลานุภาพของพระพุทธศาสนาที่จะช่วยให้คนพ้นนรกได้โดยท่านได้เริ่มว่า
“คนเมืองไทยนี่คงจะไปนรกกันหมดใช่ไหม”
นายนิรยบาลตอบว่า “เปล่าหรอกท่าน คนที่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และมีศีลธรรมอันดีงามนั้นจะไม่ได้ไปนรกถึงไปแล้วก็ไม่ได้ลงนรกหรอก”
หลวงปู่ถามต่อไปว่า “คนไทยนี้ไม่ว่าอยู่ใกล้ไกลเมื่อตายแล้ว พวกท่านต้องไปนำเขามาทั้งหมดใช่หรือไม่”
นายนิรยบาลตอบว่า “ใช่ คนในเมืองไทยนี้ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ศาสนาใดก็ล้วนมีรายชื่ออยู่ในบัญชีทิพย์ของจ่ายมบาลทั้งหมดเป็นระบบสากลเขาไปจดไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในที่ลี้ลับซับซ้อนอย่างไรก็ตามจะโกหกพกลมไม่ได้ทั้งนั้น”
หลวงปู่ได้รับทราบคำตอบถึงจำนวนนรกในเมืองไทยนี้ว่ามีมากมายรวมมี 4 ภาคก็ประมาณ 4 ขุมใหญ่ๆ และการที่คนต้องไปลงนรกกันก็เพราะมีความเห็นผิดในความเชื่อที่ผิดในทางศาสนา เพราะต่างคนต่างอวดว่า ศาสนาของตัวนั้นเป็นของดีเลิศประเสริฐแท้โดยมีความเชื่อและการปฏิบัติที่ผิดความจริง เช่นการเชื่อว่าฆ่าสัตว์ไม่บาป และจะมีผู้ที่คอยรับผลกรรมแทนให้
นายนิรยบาลจึงได้แจ้งแถลงไขเรื่องนี้ว่า
“การพูดอย่างนั้นก็เป็นเรื่องของคนหูหนวก ตาบอดพูด พูดหลอกลวงโลกและคนอื่นให้หลงตามกันเท่านั้น เพราะเมื่อทำความชั่วลงไปแล้วก็ต้องได้รับผลของความชั่วนั้น และเมื่อทำความดีลงไปแล้วก็ต้องได้รับผลของความดีนั้นเช่นกัน
เรื่องของกรรมดีหรือบุญนั้น จะส่งผลให้เห็นคนที่กระทำความดีจะเห็นเส้นทางที่เป็นความจริง คือเห็นว่าทางไปยังโลกมนุษย์และโลกสวรรค์มันจะเป็นเส้นทางที่สะอาดเตียนโล่งดีเหมือนกับเขาถางไว้ให้เรียบร้อยดีแล้วเส้นทางก็จะเป็นไปตามนั้นไม่มีผิดเพี้ยน
ส่วนเรื่องของคนที่ทำบาปหรือกรรมชั่วนั้น จะส่งผลให้เห็นไปว่าทางไปนรกนั้นเป็นของที่สวยงามแต่แท้จริงแล้วเป็นของที่อันตราย เส้นทางที่ดูสะอาดเตียนดี เขาก็จะเห็นเป็นเปลวไฟ เห็นสัตว์ทั้งหลายที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญมีเลือดอาบตัวอยู่ ก็สำคัญว่าเป็นกิจกรรมสนุกสนานรื่นเริงบันเทิง นั่นก็เป็นเพราะบาปกรรมทำให้เห็นเป็นอย่างนั้น ส่วนทางไปมนุษย์หรือไปสวรรค์นั้น เขาจะกลับมองเห็นว่าเป็นป่ารกชัฏ เป็นขวากหนาม”
หลวงปู่ได้ซักถามนายนิรยบาลต่อไปอีกด้วยคำถามที่น่าสนใจว่า
“สัตว์ทั้งหลายต่างศาสนากัน เมื่อตายไปและถูกท่านนำไปสู่เมืองนรกอันหฤโหดแล้วท่านทำอย่างไรต่อไปกับพวกเขา”
นายนิรยบาลตอบว่า “เมื่อได้ไปถึงสถานที่นั้นแล้ว จ่ายมบาลจะถามว่า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำงานใดเลี้ยงชีพบ้าง สุจริตหรือไม่ บางคนก็ตอบว่าค้าขายบ้างก็ว่าทำไร่ ทำนา บ้างก็ว่ารับราชการต่างๆ กันไปโดยจะไม่สามารถโกหกได้เลย จากนั้นจ่ายมบาลจะถามต่อไปอีกว่า นับถือศาสนาอะไร
ซึ่งบางพวกก็ตอบว่า ศาสนาพุทธ บางพวกก็ตอบว่า ศาสนาคริสต์ อิสลาม ซิกส์ และ ฮินดู แตกต่างไป ทีนี้จ่ายมบาลจะถามถึงเทวทูตทั้ง 5 คือ ชาติ (ความเกิด) ชรา (ความแก่)  พยาธิ (ความปวดไข้) มรณะ (ความตาย) และ เหล่านักโทษในเรือนจำในนรกนั้นแต่ละคนพิจารณาเห็นเป็นไปอย่างไร
โดยคำถามนั้นจะถามไปทีละศาสนา ตอนแรกก็จะถามศาสนาพุทธก่อน ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธทั้งหญิงชายก็ตอบว่า “เป็นทุกข์” ทั้งนี้เพราะอำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นฝังอยู่ในใจของเขา จึงดลบันดาลจิตใจของคนเหล่านั้นให้เป็นปราชญ์
คนเหล่านี้มีความฉลาดรู้สิ่งทั้งปวงนั้น ตอบคำถามโดยไม่เก้อเขิน ไม่เดือดร้อนอาทรใจ องอาจกล้าหาญ ต่อจากนั้นจ่ายมบาลท่านก็จะถามอีกเรื่องข้อธรรมเรื่องการทำสมถะวิปัสสนากรรมฐาน และ ศีล สมาธิ ปัญญามีหลักพิจารณาเป็นอย่างไร
นายนิรยบาลดูจะต้องการชี้ว่า หากเป็นผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาด้วยการยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ด้วยอำนาจของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่ฝังอยู่ในใจและเป็นสิ่งที่เขาปฏิบัติอยู่ เขาก็จะตอบได้โดยทุกๆ สรรพสิ่งในโลกเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จ่ายมบาลได้ตั้งคำถามที่น่าสงสัยอยู่ 4 ประการเป็นปริศนาว่า วัตร 6 คืออะไร วัตร 7 คืออะไร และสีมา 8 คืออะไร คนที่สำรวมกายวาจาใจไว้ได้และสร้างคุณงามความดีอยู่เป็นประจำก็จะตอบได้ว่า
วัตร 6 ก็คือ อินทรีย์ 6 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และจิตใจ ต้องสำรวมให้ดีตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม กายจับต้องสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง จิตน้อมนึกในธรรมารมณ์นั้นๆ ศาสนาพุทธสอนให้สำรวมให้ดี ไม่ให้ยินดียินร้ายในของเหล่านั้น ถ้ายินดียินร้ายก็เป็นเหตุให้ใจเศร้าหมองเป็นทุกข์แน่นอนเพราะเป็นของไม่จีรัง
ส่วน“วัตร 7” ก็คือ โพชฌงค์ 7 เป็นองค์เครื่องตรัสรู้ ได้แก่ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปิติสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ เพื่อความรู้ยิ่งในการตรัสรู้ธรรม
วัตร 7 ยังหมายความถึงอริยทรัพย์ 7 ประการ ได้แก่ ศรัทธา (ความเชื่อ) ศีล (ข้อปฏิบัติระงับกายวาจาให้สงบ) หิริ (ความกลัวต่อบาป) โอตตัปปะ (ความละอายที่จะทำบาป) พาหุสัจจะ (การเป็นผู้อ่านมากฟังมาก) จาคะ (ความเสียสละ) และปัญญา (ความรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมชาติ)
ส่วนสีมา 8 ก็คือ มรรคแปดเป็นเครื่องดำเนินให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ได้แก่ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ กล่าววาจาชอบ ทำการงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ เพียรละบาปและบำเพ็ญบุญชอบ ระลึกชอบ และ ความตั้งใจมั่นชอบ
มรรค 8 เป็นคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า ผู้ใดดำเนินตาม จะนำให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ ไปจนถึงสุขขั้นที่สูงที่สุดคือพระนิพพาน เป็นที่หมาย โดยมีสมถะวิปัสสนากรรมฐานเป็นที่ตั้ง สำหรับฝึกกายและจิตให้จิตมีสติ มีปัญญา นำจิตเข้าสู่ความสงบได้ และเป็นเครื่องกลั่นกรองกิเลสทั้งหมดออกจากดวงจิตได้ นั่นและ ผู้ที่มีใจนับถือศาสนาพุทธและฝึกปฏิบัติมา เขาจะตอบได้ถูกต้องทุกอย่าง
จากนั้นจ่ายมบาลจึงว่า
“พวกท่านเป็นนักปราชญ์ฉลาดรู้จริง ได้รู้จักศาสนาที่ดี เป็นศาสนาที่ล้างบาปได้ เป็นศาสนาที่กลั่นกรองกิเลสได้จริง เป็นศาสนาที่บำเพ็ญบุญกุศลคุณงามความดีให้เกิดมีขึ้น เป็นศาสนาที่ป้องกันโลกคือหมู่สัตว์ไม่ให้ไปถึงอบาย ถึงไปก็ไม่ได้เสวยทุกข์วิบากในอบายนั้น ฉะนั้น พวกท่านจึงไม่ต้องไปตกนรก แต่จะได้กลับไปเกิดในเมืองมนุษย์อีก”
หลวงปู่จึงนึกถึงคำสอนที่ปฏิบัติมาได้ว่า
“นี่แหละคือเพราะอำนาจของ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า และศีลธรรมที่ได้ประพฤติปฏิบัติหมั่นเพียรอุตสาหะ ด้วยละเว้นความชั่วทั้งทางกาย วาจา ใจ ด้วยความเคารพศรัทธาเลื่อมใสนั้นติดตามรักษาอยู่เป็นนิจจะป้องกันให้ไม่ตกไปสู่โลกที่ชั่วได้ ดังพุทธภาษิตที่ว่า “ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะ จาริง แปลว่าผู้ประพฤติธรรม ธรรมย่อมรักษาไม่ให้ตกไปในโลกที่ชั่ว ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหิต ธรรมที่ประพฤติปฏิบัติมั่นคงดีแล้ว ทั้งกาย วาจา ใจ อบายไม่ได้ไปแน่นอน ไฟนรกไม่ได้ไหม้ จะมีแต่สุคติเป็นที่ไปล้วนๆ”
จ่ายมบาลเล่าต่อไปว่าหากผู้ใดรู้แจ้งเช่นนี้ก็จะสั่งให้นายนิรยบาลนำผู้ที่เคารพนับถือศาสนาที่รู้แจ้งเช่นนี้ได้กลับไปเกิดยังเมืองมนุษย์อีก
ต่อมาจ่ายมบาลก็หันมาซักถามผู้ที่นับถือศาสนาอื่นๆ ว่า “ศาสนาของท่านสอนอย่างไร” ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ศาสนาที่ดีหรือไม่ได้สอนให้พ้นทุกข์ ไม่ได้สอนให้เป็นคนดีนั้นก็ตอบว่า “ไม่รู้” จ่ายมบาลก็ถามเรื่องปริศนาธรรมอีกและหลักสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวกับคำสอนของศาสนาที่ดีทั้งหมด ก็ไม่มีใครตอบได้เลย
เมื่อไม่มีใครตอบคำถามได้ดังนั้นจ่ายมบาลจึงว่า
“พวกท่านทั้งหลาย เหตุจะถูกหรือผิดก็เป็นเรื่องของพวกท่านเอง วันนี้จะได้ลงนรกแล้ว เพราะผลที่ทำทั้งทางกาย วาจา ใจ ทุกอย่างเป็นกรรมของพวกท่านทำเอง ทำบาปเองก็ย่อมเศร้าหมองเอง ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตน คนอื่นจะยังคงคนอื่นให้หมดจดและเศร้าหมองนั้น หาได้ไม่
บุญก็ดี บาปก็ดี ตัวของตัวท่านเองเป็นผู้สะสมใส่ตนไว้แล้วนั้น บุญนั่นแหละ จะนำพาไปสู่สุคติ คือ สวรรค์ ส่วนบาปนั้นจะพาดวงจิตของโลกคือหมู่สัตว์ไปสู่ทุคติ มีอบายภูมิเป็นที่ไปเบื้องหน้า คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน 4 สถานนี้เป็นที่ไปของบุคคลผู้ทำบาป ไม่มีศีล ไม่มีธรรม
ฉะนั้น พวกท่านที่ทำบาปมากมายวันนี้จะได้ลงนรกแน่นอนไม่ได้กลับเมืองมนุษย์แล้ว เพราะเครื่องรับรองป้องกัน คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีในหัวใจของพวกท่าน ศีลธรรมคำสอนของนักปราชญ์ผู้ดีทั้งหลายไม่มีในหัวใจของท่าน
พวกท่านเรียกได้ว่าเป็นโมฆะมนุษย์ เพราะเมื่อไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ไปพบกับคนพาลสันดานหยาบ ชักนำให้ทำความชั่วช้าลามก ถือศาสนาผิด ศาสนามหาโจรใหญ่นั่นแหละ หลอกลวงตนและบุคคลอื่น ทำความชั่วอยู่เป็นนิจ เพราะครูผู้สอนนั้นก็ล้วนแต่เป็นคนมีกิเลสหนาปัญญาหยาบทั้งนั้น”


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-9-3 16:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จากนั้นจ่ายมบาลก็จะเรียกให้ยมทูตพาคนเหล่านั้นไปลงนรกซึ่งก็แล้วแต่กรรมของสัตว์เหล่านั้นว่ามีมากน้อยเพียงใด บางจำพวกก็หมื่นปีบางจำพวกก็แสนปี ต่างถูกต้มด้วยน้ำร้อน และถูกสังหารด้วยหอกด้ามกล้าพร้าด้ามคมของนายนิรยบาล เป็นทุกข์ไปจนกว่าจะพ้นจากสถานที่นั้น
เมื่อพ้นจากนรกแล้วก็จะต้องไปเป็นเปรตพ้นจากเปรตแล้วไปเป็นอสุรกายแล้วไปเป็นเดรัจฉานต่างๆท่องเที่ยวเกิดดับในภพน้อยภพใหญ่ ใช้กรรมใช้เวรอยู่อย่างนั้นไม่มีวันจบสิ้นได้เป็นทุกข์ยากแสนลำบากไร้ทรัพย์ อับปัญญา เพราะความดีของตนไม่มี
นายนิรยบาลได้เล่าเรื่องต่างๆ ในเมืองนรกให้หลวงปู่ได้ฟังอย่างนั้นและก่อนจะจากไปนายนิรยบาลก็ได้กล่าวกับหลวงปู่ทิ้งท้ายไว้
“ท่านอาจารย์บวชในพุทธศาสนาแล้วก็จงไปเทศน์แนะนำพร่ำสอนพี่ป้าน้าอา ให้เขาทั้งหลายเอา พระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง บำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา อย่าได้ลดละชีวิตร่างกายล้วนแต่เสื่อมสลาย พิจารณาธาตุขันธ์ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตาอยู่เสมอ จึงจะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ยินดีในโลกสงสารอีกต่อไปจิตใจจะเห็นว่าธาตุขันธ์ไม่พอกับความต้องการ ไม่นานก็จะพลัดพรากกันไปเท่านั้น
แล้วจงบอกให้คนเหล่านั้นให้เร่งรีบสร้างบุญอย่าผัดวันประกันพรุ่งรีบสะสมแต่บุญกุศล ทาน ศีล ภาวนากอบโกยเอาบุญกุศลใส่ตนไว้ จะมากจะน้อยประณีตปานใดก็เป็นของเราหมดผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ด้วยน้ำใสใจจริง แม้เพียงน้อยนิดถึงไปแล้วก็ไม่ได้ตกนรกเป็นแน่นอน
จากนั้นพวกนายนิรยบาลก็ลาจากไป
ต่อมาไม่นาน หลวงปู่ก็ได้เห็นว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกจากบ้านเฉลียงลับ เมื่อเดินมาถึงก็กราบหลวงปู่แล้วพูดว่า
“ท่านอาจารย์ ดิฉันหมดเกษียณภพชาติมนุษย์จะได้ไปสู่เมืองนรก ใจร้อนเหมือนไฟ ขออนุโมทนาส่วนบุญกับท่านบ้างเถอะ”
หลวงปู่ก็เลยอุทิศส่วนบุญให้ว่า แม่หนูน้อยจงตั้งใจยินดีในการโมทนารับส่วนบุญกับหลวงพ่อนะบุญกุศลทั้งปวงที่ได้บำเพ็ญมา ขอแบ่งครึ่งให้นะแม่หนูน้อยจงตั้งใจโมทนารับเอาไปเถิด เมื่อเธอได้รับบุญนั้นไปแล้วก็กล่าวว่า
“ใจร้อนๆเมื่อสักครู่เมื่อได้รับส่วนบุญจากหลวงปู่แล้วใจก็เย็นสบายดี จะไปตกนรกไหม”
หลวงปู่จึงปลอบใจว่า
“ไม่ตกหรอกแม่หนูน้อย จงบริกรรม พุทโธ ธัมโม สังโฆเสมอ อย่าได้ลดละ อย่าได้ประมาท เมื่อไปถึงนรกแล้ว จ่ายมบาลเขาจะซักไซ้ไต่ถามเรื่องเทวทูต๕ และอำนาจของพุทโธ ธัมโม สังโฆที่ฝังอยู่ที่จิตใจของแม่หนูน้อยนั้นจะตอบได้โดยเร็วพลัน สมบัติทั้งหลายทั้งปวงนั้นล้วนเกิดขึ้นจาก พุทโธ ธัมโม สังโฆ ทั้งนั้น”
เธอก็รับคำว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็กราบเสียสามครั้งแล้วขอลาออกเดินทางตามนายนิรยบาลไปหลวงปู่ก็จดจำรูปร่างลักษณะของสาวน้อยคนนั้นไว้ เป็นคนผิวขาว ไว้ผมยาวใบหน้ารูปใบโพธิ์ สวมเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่ มีผ้าขาวเฉลียงบ่านุ่งผ้าซิ่นมีลวดลายที่ปลายทั้งสอง
ในขณะนั้นเป็นเวลาตีสามกว่าแล้ว จิตก็เลยถอนออกจากสมาธิพอจิตถอนออกแล้วได้ยินเสียงร้องไห้มาจากบ้านเฉลียงลับ ซึ่งวัดกับบ้านอยู่ไม่ไกลกันพอตื่นเช้าก็ออกบิณฑบาต พอกลับมาถึงวัดก็มีโยมที่เป็นผู้ชายนำอาหารอันประณีตมาถวาย แล้วจึงพูดว่า
“ท่านอาจารย์ครับ เมื่อคืนลูกสาวของข้าพเจ้าเธอได้ขาดใจตายเสียแล้ว เมื่อเวลาประมาณตีสาม”
ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเมื่อคืนนี้ตอนที่หญิงสาวคนนั้นไปหาหลวงปู่ในนิมิตนั้นก็เป็นช่วงระยะเวลาตีสาม พอดีก็เลยพูดกับโยมด้วยความถ่อมตนไปว่า
“อาตมาเพิ่งมาอยู่ใหม่ ไม่เคยพบเห็นลูกสาวของโยมแต่ก็จะแถลงไขให้ทราบลูกของโยมคนนั้นหมดเกษียณภพชาติเพียงแค่นั้นเพราะบุญเก่าเขาเอามาน้อย มีนายนิรยบาลแปดคนมาเอาตัวไปพวกนายนิรยบาลก็มาสนทนากับอาตมาอยู่ที่วัดนี้แหละ
เขาบอกว่ามีหญิงสาวอายุแค่ 16 ปี หมดเกษียณภพชาติเพียงแค่นั้น แล้วทีนี้ลูกสาวของโยมเป็นคนผิวขาวไว้ผมยาว ใบหน้ารูปใบโพธิ์ สวมเสื้อกลางเก่ากลางใหม่ มีผ้าเฉลียงบ่านุ่งผ้าซิ่นมีลายคล้ายงูเหลือมใช่ไหม ”
“ใช่แล้วครับ มันไม่ผิดหรอกลักษณะถูกต้องตรงทุกอย่าง”
“ลูกของโยม เป็นคนมีกิริยามารยาทดูงดงาม เรียบร้อยสุภาพ มีท่าทางเป็นนักปราชญ์ใช่ไหม”
“ใช่แล้วครับลูกของข้าพเจ้าเมื่อเกิดมาพอรู้เดียงสาแล้วถ้าเขาไม่ได้ทำบุญแล้วจะไม่ยอมไปโรงเรียน ไม่ว่าจะมีงานบุญบวช บุญกฐินหรือบุญอะไรที่ไหนใกล้หรือไกล ที่บ้านน้อยเมืองใหญ่ เป็นต้องไปร่วมทั้งนั้นบางทีก็ไปนานเป็นสิบวันหรือยี่สิบวัน แล้วกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ”
พอหลวงปู่ได้ฉันเช้าเสร็จแล้วโยมผู้เป็นทายกก็นิมนต์ไปทำพิธีเพื่อเผาศพลูกสาวของเขาตั้งแต่เช้า เมื่อไปถึงหลวงปู่เปิดฝาโลงดูก็เห็นศพมีรูปร่างหญิงสาวเหมือนอย่างที่เขาไปหาในนิมิตเมื่อคืนพอทำกิจพิธีทุกอย่างเสร็จแล้วก็เผาศพเป็นการเสร็จสิ้น
เรื่องนี้หลวงปู่จันทาถาวโรท่านได้เห็นด้วยตนเองว่านรกนั้นมีแน่นอน เพราะได้เห็นทูตานุทูตคือนายนิรยบาลเป็นผู้ส่งข่าวสารให้ทราบพร้อมทั้งมีคนตายให้เห็นเป็นพยานอีกด้วยท่านก็สิ้นสงสัยที่ในเรื่องนรกสวรรค์ที่เคยมีมาทั้งหมด
ในเรื่องเล่าของหลวงปู่นั้นไม่ได้ระบุว่าหญิงสาวที่ท่านได้พบจะมีสุคติหรือทุคติเป็นที่ไปแต่เมื่อพิจารณาจากกรรมของหญิงสาวแม้เธอจะมีอายุสั้นแต่ก็มีข้อปฏิบัติในขณะที่ยังมีชีวิตเป็นอย่างดีและมีความเย็นใจในตอนสุดท้ายที่ได้มาขอส่วนบุญกับหลวงปู่ไปเชื่อได้ว่าเธอน่าจะไปเกิดในภพภูมิที่ดีได้
แม้ในเรื่องเล่านั้นจะมีแต่การเผชิญหน้าของหลวงปู่กับ นายนิรยบาลเป็นการถามตอบปัญหาธรรมซึ่งกันและกัน แต่เราก็จะเห็นได้ว่า “ทัศนคติ” หรือ “จิต” ที่ถูกตั้งเอาไว้ดีแล้วจะเป็นเหตุให้มีภพภูมิที่ดีเป็นที่ไปคนที่จะตกนรกในแง่มุมจากเรื่องเล่าของหลวงปู่ก็น่าจะเป็น คนที่ไม่เชื่อเรื่องบุญบาปไม่เชื่อผลของกรรม ทำให้ขาดความรู้ในการดำรงชีวิตที่ถูกต้อง
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้