หลวงปู่หลุยสยบพญานาค 2 ครั้ง!
เมื่อพระอริยสงฆ์รูปหนึ่งต้องเผชิญหน้ากับพญานาค อะไรจะเกิดขึ้น!?
หลวงปู่หลุย จันทสาโร (พรรษาที่ ๓๒) ท่านได้เดินทางมาปฏิบัติภาวนาที่ “ภูบักบิด” ชื่อ “ภูบักบิด” เป็นภูเขาเล็ก ๆ ห่างจากตัวจังหวัดเลยไม่มากนัก เป็นภูเขาซึ่งอยู่เหนือฟากฝั่งของแม่น้ำเลย โดยมีตัวเมืองเลยอยู่ฟากฝั่งตรงกันข้าม
ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ หลวงปู่หลุยท่านจำพรรษาอยู่ที่บ้านกกกอก ซึ่งเป็นพื้นที่เชิงเขา ครั้นออกพรรษาแล้ว ท่านต้องการเปลี่ยนสถานที่บำเพ็ญเพียร จึงได้มุ่งหน้ามายัง “ภูบักบิด” เนื่องจากบนภูบักบิดเป็นป่าเขาอุดมสมบูรณ์ ไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า สภาพธรรมชาติ จึงสงบวิเวก เป็นสัปปายะสำหรับพระธุดงคกรรมฐาน
การขึ้นไปยังถ้ำบนภูบักบิดนี้ จะต้องไต่เขาขึ้นไปเป็นระยะทางประมาณ ๓ กิโลเมตร และทางขึ้นก็ยากลำบากไม่น้อย เนื่องจากต้องป่ายปีนผ่านก้อนหินตะปุ่มตะป่ำแหลมคม ซ้ำยังมีพงรก เถาวัลย์ กอหนาม กอหวายขวางทางไปตลอด แต่เมื่อขึ้นไปถึงถ้ำแล้ว กลับเป็นสถานที่อันเหมาะสมในการภาวนาอย่างยิ่ง ถ้ำที่หลวงปู่หลุบบุกป่าฝ่าเขาขึ้นไปบำเพ็ญเพียรภาวน านี้ ปากถ้ำออกจะเล็กแคบ แต่ภายในกว้างขวางร่มรื่น บรรยากาศสงัดเงียบเป็นที่พอใจของหลวงปู่หลุยอย่างยิ่ ง
วัน เวลา ที่หลวงปู่หลุยขึ้นไปบำเพ็ญภาวนาบน “ภูบักบิด" เป็นเดือนธันวาคม อากาศบนภูหนาวเหน็บเย็นเยือก เวลากลางคืนมาถึงเร็ว เพียงแค่ล่วงพ้นยามเย็น ความมืดแห่งรัตติกาลก็ครอบคลุมลงมาทั่วทุกอณูบนภูสูอ ันเปล่าเปลี่ยว
คืนแรก... หลวงปู่หลุยนั่งภาวนาบนแท่นหินหน้าถ้ำ จิตรวมนิ่งสนิทอย่างรวดเร็ว แต่แล้ว ...ปรากฏการณ์ซึ่งหลวงปู่ไม่เคยคาดคิดก็พลันอุบัติขึ ้น นั่นคือมีมือใหญ่มหึมา ขนยาวรุงรังยื่นออกมานอกถ้ำ มือนั้นชูร่อนไปมา
หลวงปู่หลับตาก็มองเห็น ลืมตาก็มองเห็น...ท่านจึงกำหนดจิตถามไปว่า เจ้าของมือซึ่งชูร่อนเสมือนจะวิงวอนร้องขอสิ่งใดสิ่ง หนึ่งนั้น ปรารถนาอะไร...
แล้วหลวงปู่หลุยก็ทราบว่า เป็นเปรตที่อยู่ในภาวะแห่งความทุกข์ทรมานมานาแสนนาน เปรตตนนั้นมาขอส่วนบุญ หลวงปู่จึงแผ่เมตตาให้... นับแต่นั้น เปรตก็หายไปไม่มารบกวนท่านอีก
คืนต่อ ๆ มา กลวงปู่หลุยได้เผชิญกับสิ่งลึกลับซึ่งท่านต้องยอมรับ ว่ามีอยู่จริง ...
นั่นคือ พญานาค !!
หลวงปู่หลุยเผชิญกับพญานาคขณะมี่ท่านกำลังนั่งภาวนาอ ยู่ พญานาคแห่งภูบักบิดตนนี้เป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิมาแต่เดิ ม ไม่ยอมรับนับถือพระสุปฏิปันโน เมื่อหลวงปู่มาบำเพ็ญภาวนาในเขตของตน จึงแสดงฤทธิ์ปรากฏกายลองดีกับท่าน โดยใช้ส่วนหางพันรอบกายทานหลายรอบแล้วรัดแน่น !!
หลวงปู่หลุยเล่าว่า ทันทีที่รู้สึกว่าพญานาคมารัดตัว ท่านตั้งสติไม่ทัน ทำให้ตกใจ...
หลวกปู่บอกว่า “หนักอึ่กซึ่ก...” หนักอึ่กซึ่ก หมายถึง อึดอัดมาก
อันที่จริงหลวงปู่หลุยเคยมีประสบการณ์เรื่องพญานาคมา เหมือนกัน แต่ไม่เคยพบถึงขั้นเข้ามารัดตัวท่าน จึงทำให้ท่านอดสะดุ้งหวั่นไหวไม่ได้ แต่เมื่อตั้งสติได้ ก็กำหนดจิต เอา “พุทโธ” เป่าเข้าไป ขดลำตัวพญานาคซึ่งรัดตัวท่านก็คลายออกอย่างรวดเร็ว กระทั่งหายวับไป
แม้หลวงปู่หลุยจะเผชิญกับความน่ากลัวของพญานาคถึงปาน นี้ ท่านก็ไม่ได้พรั่นพรึง ไม่ยอมหนีไปจากถ้ำภูบักบิด คงบำเพ็ญภาวนาต่อไปด้วยความมั่นคงแน่วแน่ พร้อมกันนั้นก็ได้แผ่เมตตาไปให้พญานาคตนนั้นไม่มีประ มาณ ตราบจนจิตของพญานาคอ่อนลง ยอมรับนับถือท่านและกลายเป็นมิตรที่ดีของหลวงปู่
ภายหลังหลวงปู่มักจะพาพระเล็กเณรน้อยไปบำเพ็ญเพียรที ่ภูบักบิด และก็ได้พญานาคเป็นผู้ช่วยทรมานทดสอบความมั่นคงของจิ ตใจพระเณรเหล่านั้นอย่างได้ผล
การทดสอบของพญานาค หลวงปู่หลุยท่านไม่ได้เล่าเอาไว้ แต่น่าเชื่อว่า พญานาคผู้ทรงฤทธิ์ในการแปลงกายและสามารถเนรมิตสิ่งหน ึ่งสิ่งใดก็ได้ คงจะกระทำให้พระเณรเกรงกลัว จิตไม่กล้าส่งออกนอก จิตแนบแน่นอยู่กับการภาวนาจนรวมเป็นสมาธิได้อย่างรวด เร็ว
การกระทำความเพียรที่ภูบักบิดนี้ หลวงปู่หลุยได้บันทึกเอาไว้ว่า...
“ถ้ำภูบักบิด เป็นสถานที่ทำความเพียร ไม่เบื่อ จิตไม่คุ้นเคยในสถาน เกรงกลัวในสถานเสมอ นำมาซึ่งความเจริญ นิมิตไม่ร้าย เมตตาจิตเสมอภาค ไม่มีอคติ แผ่เมตตาจิตเยือกเย็นดี ถ้ำนี้ปรุโปร่งทั่ว ธันวาคม พ.ศ. ๙๙ ถ้ำนี้ได้พิจารณาตาย ตายที่สงัดดี เป็นหนทางพระอริยเจ้า ตายคนเดียว ตายด้วยกิเลส คือตายด้วยหมู่ไม่ดี”
“ถ้ำนี้พิจารณาธรรมะแจ่มใส พิจารณาแห่งเดียวรู้ทั่ว ภาวนาได้ทะลุทั้งตัว ภาวนาลมหายใจทุกเส้นขน เทพ อมนุษย์ นาค ในที่นี้ชอบใจมาก แผ่เมตตาจิตนั้นชอบนัก มีเมตตาเสมอภาคต่อบุคคลทั้งปวง จิตสูง มีอำนาจมาก ความรู้เลื่อนจากฐานะเดิมสู่ที่สูงมาก ประหวัดถึงกึ่งพุทธกาลเสมอ มีปาฏิหาริย์ดีกว่าถ้ำอื่น ๆ ... จิตอุ้มหนุน เอื้อเรื่อย ๆ อยู่ถ้ำนี้ไปนาน ๆ จะมีความรู้ใหญ่โต จิตประหวัดคิดถึงกามไม่มี เหมือนที่ถ้ำผาปู่ นิมิตความฝันเป็นมงคล”
พญานาคที่ถ้ำแก้งยาว
ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ... หลวงปู่หลุย จันทสาโร จำพรรษาอยู่ที่ถ้ำแก้งยาว อยู่บนภูเขาซึ่งเป็นเขตของวัดป่าถ้ำแก้งยาว
ภูเขาที่ถ้ำแก้งยาวนี้ เชิงเขาทอดลงมาบรรจบติดกับทุ่งนา เป็นภูเขาไม่สูงนัก แต่ป่าที่ปกคลุมเขาอุดมสมบูรณ์ และสงบวิเวก เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรอย่างยิ่ง
ถ้ำบนภูแก้งยาวไม่ใหญ่โตกว้างขวางนัก ทำแคร่เล็ก ๆ พอนั่งภาวนา กางกลดมุ้งได้ แต่หลวงปู่หลุยสรรเสริญถ้ำแก้งยาวมาก ท่านว่าเทพมาก มีพระปัจเจกพุทธเจ้าเสด็จมาอนุโมทนาการกระทำความเพีย รของท่านด้วย
หลวงปู่หลุยท่านมักเปลี่ยนที่ภาวนา หากเห็นก้อนหินเหมาะ เห็นร่มไม้ใหญ่ดี ท่านจะใช้ผ้าอาบปัด ๆ หินก้อนนั้น หรือพื้นที่ตรงนั้นให้สะอาด และท่านก็นั่งลงทำความเพียรทันที บางคราวหลวงปู่หลุยเห็นต้นไม้ใหญ่ล้มทอดไปตามพื้นดิน ท่านก็จะขึ้นไปเดินจงกรมบนขอนไม้ล้มนั้น ทำให้มีสติระมัดระวังดี มิฉะนั้นจะตกลงมาจากขอนไม้ล้ม
วันหนึ่ง... หลวงปู่หลุยออกจากถ้ำไปวิเวกที่ร่มไม้ในป่า เมื่อสมควรแก่เวลาท่านก็กลับเข้ามาที่ถ้ำ ได้เห็นงูใหญ่ตัวหนึ่ง ขดอยู่ใต้แคร่ ซุกหัวอยู่ในขนดนิ่งเฉย ไม่ได้ส่อแสดงกิริยาดุร้ายใด ๆ ออกมา
หลวงปู่คิดว่า ท่านอาจตั้งแคร่ปิดปากรูทางเข้าออกของงูยักษ์นี้ก็ได ้ แต่เมื่อพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่เห็นปากรูหรือปากโพรงใด ๆ ผนังราบเรียบสนิท ไม่ปรากฏหลืบหินอันอาจอำพรางช่องทางใด ๆ ไว้
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลวงปู่หลุยจึงคาดเดาเอาว่า ก่อนหน้าที่ท่านจะกลับเข้ามาในถ้ำ งูใหญ่คงเลื้อยผ่านปากถ้ำอันเย็นและสงบสงัด จึงเข้ามาพักผ่อนนอนเล่นดังที่เห็นอยู่ หลวงปู่คิดว่าเมื่อเขารู้แล้วว่าท่านเข้ามา เขาก็คงจะกลับออกไปสู่ถิ่นที่อยู่เดิม ท่านจึงออกจากถ้ำไปทำกิจส่วนองค์เบื้องนอก เดินจงกรมอยู่นานพอสมควรก็กลับมายังถ้ำ
ขณะนั้น...เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แทนที่งูใหญ่จะเคลื่อนย้ายออกไป กลับนอนขดอยู่ใต้แคร่เช่นเดิม ส่วนหัวที่ซุกหลบในตอนแรก ตอนนี้ยกมาพาดวางบนลำตัวมหึมา หลวงปู่หลุยมีความรู้สึกชักจะคุ้นกับงูตัวนี้ จึงเข้าไปดูใกล้ ๆ เห็นนัยน์ตาของเขาจ้องมองกลับมานิ่งเฉย ในขณะที่นัยน์ตาของหลวงปู่หลุยเต็มเปี่ยมด้วยความเมต ตากรุณา
เมื่องูใหญ่ไม่ยอมขยับเขยื้อนเคลื่อนย้ายไปจากใต้แคร ่ หลวงปู่ท่านก็วางเฉยเสีย คิดว่าต่างฝ่ายต่างอยู่ ต่างฝ่ายย่อมใช้ชีวิตตามเพศตามชาติของตน ไม่ขัดเคืองขัดขวางกัน มีแต่เมตตาต่อกัน
ในค่ำคืนนั้น... หลวงปู่หลุยกางมุ้งนอนกลดบนแคร่ของท่านตามปกติ ไหว้พระสวดมนต์ นั่งทำความเพียรตามวัตรปฏิบัติเป็นปกติ โดยมีงูตัวมหึมานอขดอยู่ใต้แคร่เงียบเชียบ
ตอนเช้า...ตี ๓ ...หลวงปู่จะลุกขึ้นล้างหน้า สวดมนต์ภาวนา แผ่เมตตาไปโดยไม่มีประมาณ งูใหญ่ที่ขดอยู่ใต้แคร่ก็ย่อมได้รับกระแสธรรมจากหลวง ปู่โดยตรงยิ่งกว่าผู้ใด
น่าแปลกอย่างยิ่งที่งูใหญ่ตัวนั้นขดตัวนิ่งอยู่ใต้แค ร่ของหลวงปู่หลุยถึง ๓ วัน ๓ คืน ประหนึ่งมาขอรับบารมีอันชุ่มเย็นจากหลวงปู่หลุยโดยตร ง ซึ่งท่านก็แผ่เมตตาให้ด้วยความการุณย์
อยู่ครบ ๓ วันแล้ว งูใหญ่จึงได้จากไปในขณะที่ท่านออกไปวิเวกนอกถ้ำ เวลาเลื้อยออกไปท่านไม่เห็น แต่เห็นรอยที่ผ่านไป ปรากฏว่าต้นไม้ใบหญ้าราบเป็นทางยาวตั้งแต่ปากถ้ำไปจน ถึงเชิงเขาซึ่งเป็นชายทุ่ง
ขณะนั้นนาข้าวกำลังขึ้นเขียวขจี รอยงูที่เลื้อยผ่านทุ่งนาเป็นช่องโล่ง แลลิบลิ่วไปไกลสุดสายตา แสดงว่าเป็นงูยักษ์ตัวมหึมาอย่างน่ากลัว เพราะต้นข้าวที่เขาปักดำเป็นแถวเป็นกอห่าง ๆ กันนั้น ถูกลำตัวงูทับราบไปถึง ๓ กอ ๓ แถว เป็นทางโล่งไปตลอด !!
ทั้งนี้ หลวงปู่หลุยเล่าว่า ขณะที่งูใหญ่เข้ามานอนขดอยู่ใต้ปคร่ของท่านมองดูก็ใช ่ว่าจะใหญ่โตเท่าใดนัก แต่ร่องรอยซึ่งปรากฏเป็นหลักฐานตั้งแต่ปากถ้ำไปจนถึง ชายทุ่ง แล้วเลื้อยฝ่าท้องทุ่งกว้างใหญ่หายเข้าไปในป่าเขาลำเ นาไพรอีกฟากหนึ่ง เป็นรอยพญางูตัวมหึมา ยากที่จะมีผู้ใดพบเห็นมาก่อน !!
มีผู้ถามหลวงปู่หลุยว่า ชะรอยจะเห็นพญานาค การที่เขามาขดอยู่ใต้แคร่ของหลวงปู่โดยมีขนาดลำตัวไม่ใหญ่โตนักนั้น คงเนื่องจากการนิรมิตด้วยฤทธิ์ให้ตัวเล็กลง เพราะยังมีเณรน้อยไปคอยปรนนิบัติอุปัฏฐากท่านอยู่ด้วย พญานาคจึงไม่ต้องการให้เณรเกิดความตื่นตระหนกหวาดกลัว หลวงปู่หลุยไม่ตอบ หากท่านยิ้ม ๆ เท่านั้นแล้วท่านก็พูดเลี่ยง ๆ ไปว่า
เวลาพญานาคออกไป เขาส่งเสียงดัง “อี๊...อึ่ด...อึ่ด...” มีคนได้ยินหลายคน แต่ไม่มีใครคิดว่าเป็นเสียงพญานาค
|