ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 4853
ตอบกลับ: 9
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร วัดป่าวังเลิง ~

[คัดลอกลิงก์]


ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร


วัดป่าวังเลิง
ต.ท่าขอนยาง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม



๏ ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
      
หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร มีนามเดิมว่า บุญมี สมภาค เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พุทธศักราช 2453 ตรงกับวันขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 ปีจอ ณ บ้านขี้เหล็ก ตำบลรังแร้ง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ เป็นบุตรโทนของนายทำมา และนางหนุก สมภาค  ครอบครัวมีอาชีพทำนาทำไร่

เมื่อครั้งเยาว์วัย ท่านจะมีนิสัยรักความสงบและมีความใฝ่ใจในทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก จนมีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งในขณะที่ท่านเลี้ยงควายอยู่กลางทุ่งนาร่วมกับเด็กๆ ในหมู่บ้านเดียวกัน ท่านได้พบภาพพระพุทธรูปในแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งเข้า ก็เกิดความสนใจมากเป็นพิเศษ จึงได้เก็บกระดาษแผ่นนั้นซ่อนเอาไว้ พอมีเวลาว่างท่านก็จะเอามานั่งดูจนเกิดปีติ จึงเอาดินเหนียวมาปั้นเป็นพระพุทธรูป โดยมีเพื่อนๆ เด็กเลี้ยงควายพากันนั่งดู และก็ปั้นบ่อยๆ ทั้งมีความสวยงามด้วย เมื่อมีพระพุทธรูปดินเหนียวปั้นมากขึ้น หลวงปู่จึงได้แจกและแบ่งปันให้เพื่อนๆ เอาไป ตอนนั้นหลวงปู่บอกว่ามีอายุประมาณ 8-9 ปีเห็นจะได้

พออายุได้ประมาณ 10-12 ปี ท่านก็ได้เริ่มเรียนหนังสือกับหลวงน้า ซึ่งบวชพระอยู่ที่วัดใกล้ๆ บ้าน ท่านช่วยโยมมารดาทำนาและช่วยงานบ้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานของเด็กผู้หญิงก็ตาม ท่านทำทุกอย่าง นับว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถกว่าเด็กทั่วๆ ไป และที่สำคัญก็คือ มีนิสัยชอบช่วยเหลือเพื่อนบ้านไม่ว่าเขาจะทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นงานหนักงานเบา ถ้าพอจะช่วยเหลือได้ท่านจะรีบช่วยทันที โดยไม่ต้องให้คนอื่นขอร้อง และชอบถามคำถามที่เกี่ยวกับธรรมะอยู่เสมอ เช่น เห็นคนตายก็จะถามว่า คนไม่ตายไม่ได้หรือ คนป่วยไม่ป่วยไม่ได้หรือ อย่างนั้นเป็นต้น   

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-12 15:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
      
หลังจากที่หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 แล้ว ก็ไม่ได้เรียนต่อ ต้องออกมาช่วยเหลือโยมมารดาทำนาทำไร่ และงานบ้าน เลี้ยงควาย จนอายุได้ 17 ปี จึงได้มาบวชเป็นสามเณรอยู่กับหลวงน้า คือพระอาจารย์สิงห์ ผู้เป็นน้องชายของโยมมารดา โดยบวชในสังกัดฝ่ายมหานิกาย หรือที่เรียกว่า “วัดบ้าน” บวชได้ 1 พรรษา พอจวนจะเข้าพรรษาที่ 2 ซึ่งเหลือเวลาเพียง 1 เดือน โยมมารดาก็ขอร้องให้สึกออกมาช่วยเหลือทำงานบ้าน เพราะโยมมารดาสุขภาพไม่ดี ท่านจึงต้องลาสิกขาออกมาช่วยโยมมารดาทำงาน และได้สมัครทำงานเป็นคนขายหินทำทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา-สุรินทร์
      
เมื่อหลวงปู่อายุย่าง 18-20 ปี โยมมารดาจะขอผู้หญิงให้ตั้งหลายครั้ง แต่ท่านก็ปฏิเสธทุกครั้งไม่ยอมมีครอบครัว เพราะดูคนทั้งหลายแล้วมีความทุกข์ วิตกกังวลแทบทั้งสิ้น ยากที่จะทำจิตของตนให้ผ่องแผ้วได้ ท่านระลึกอยู่ว่า บวชจึงจะมีสุขหนอ การมีชีวิตอยู่อย่างฆราวาสนี้มีแต่ทุกข์ วิตกกังวลไม่สิ้นสุด มีแต่ความรุ่มร้อนเหมือนฝุ่นละอองมาจากทิศต่างๆ มีเต็มอากาศไม่รู้ว่าจะหนีไปทิศใดได้ มีแต่จะคลุกเคล้าละอองพิษลงสู่ใจ ใจก็มีแต่ความเศร้าหมอง เพราะท่านเห็นโทษของกามคุณ ถ้าผู้ใดกำลังเสพกามารมณ์อยู่เสมือนบริโภคเหล็กเผาไฟแดงๆ อยู่

จิตของท่านจึงรำลึกน้อมไปถึงการอุปสมบท ท่านจึงเอาความดำริในใจนี้เล่าสู่โยมมารดาฟังว่าท่านอยากบวช โยมมารดาของท่านจึงได้อนุโมทนาและอนุญาตให้ออกบรรพชาอุปสมบทได้ ครั้นอายุได้ 21 ปี จึงขออนุญาตโยมมารดาบวชเป็นพระฝ่ายมหานิกาย โดยมีพระอาจารย์สิงห์ เป็นภาระรับไปดำเนินการให้ทุกอย่าง ด้วยจิตใจที่ใฝ่ในเรื่องของการศึกษาธรรม ท่านจึงมีความปรารถนาที่จะเรียนด้านพระปริยัติธรรม แต่เนื่องจากการศึกษาธรรมะในสมัยนั้น วัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือวัดเลียบ ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่เสาร์ กนุตสีโล เคยพำนักมาก่อน

แต่เนื่องจากท่านเป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย จึงค่อนข้างจะยุ่งยาก เพราะวัดเลียบเป็นวัดธรรมยุต ด้วยเหตุนี้พระอาจารย์สิงห์ (ไม่ใช่พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา) ซึ่งเป็นหลวงน้าของท่าน ได้รับภาระนำไปฝาก ท่านเจ้าคุณพระศาสนดิลก เจ้าอาวาสวัดเลียบ ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่าจะต้องญัตติเป็นพระฝ่ายธรรมยุต พอได้ฟังดังนั้นหลวงปู่ก็ดีใจเป็นอันมาก ในการบวชใหม่ครั้งนี้ มีท่านเจ้าคุณพระศาสนดิลก เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระมหาสว่าง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “สิริธโร” โดยอุปสมบทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2474 เวลา 10.00 น. ณ วัดเลียบ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

หลังจากที่ได้ญัตติเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุตแล้ว ท่านก็ได้ตั้งใจเล่าเรียนข้อวัตรปฏิบัติ จนเป็นที่เล่าลือว่าท่านเก่งมาก เพียงเวลาไม่นานท่านก็สอบไล่นักธรรมชั้นตรี โท เอก ได้ตามลำดับ และในปี พ.ศ. 2478 ก็ได้ย้ายไปอยู่ที่วัดบูรพา อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พำนักอยู่สมัยปฏิบัติธรรมเริ่มแรก จากนั้นในปี พ.ศ. 2479 ก็ได้เดินทางเข้าไปศึกษาหาความรู้ในกรุงเทพมหานคร จำพรรษาที่วัดปทุมวนาราม เขตปทุมวัน อยู่ไม่นานก็สอบได้เปรียญ 3 ประโยค ท่านมีความแตกฉานในพระปริยัติธรรมมาก
      
หลังจากหลวงปู่อุปสมบทได้เพียง 2 พรรษา โยมมารดาก็ได้ถึงแก่กรรม ในระหว่างนั้นจิตก็วิตกกังวลไปต่างๆ ท่านได้พิจารณาเห็น “อนิจจัง” ต่อมาท่านอยากจะออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเดินทางกลับมายังภาคอีสาน แล้วก็ตั้งหน้าปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-12 15:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พ.ศ. 2490-2494 จำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านห้วยทราย (วัดป่าวิเวกวัฒนาราม) อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่เสาร์ กนุตสีโล, หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่สิงห์ทอง ธมฺมวโร, หลวงปู่มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน  ฯลฯ เคยจำพรรษาพำนักปฏิบัติธรรมมาก่อน

พ.ศ. 2495-2500 จำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านม่วง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี

พ.ศ. 2501-2503 จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าหนองบัว อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. 2504-2505 จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านเหล่า อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร

พ.ศ. 2506-2508 จำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านท่าสำราญ อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย

พ.ศ. 2509-2519 จำพรรษาอยู่ที่วัดในเขตจังหวัดเลยหลายวัด เช่น วัดถ้ำเต่า, วัดบ้านหมากแข้ง ฯลฯ

พ.ศ. 2520-2530 จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าภูทอง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี

พ.ศ. 2531-2532 จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าศรีโพธิ์ทอง อำเภอพนนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด

พ.ศ. 2533  จำพรรษาอยู่ที่วัดหนองเกาะ อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์

พ.ศ. 2534-2535 จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าวังเลิง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม
  
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-12 15:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร


๏ ธรรมโอวาท
      
หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร เป็นพระสุปฏิปันโนที่เผยแผ่ธรรมด้วยการปฏิบัติ อบรมสั่งสอนสานุศิษย์ทั้งบรรพชิตและฆราวาส ด้วยการทำจริง ทำตาม ปฏิบัติตาม มากกว่าการอบรมบรรยายเทศน์หรือแสดงธรรม แต่ในวาระวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาหรือการได้รับอาราธนา หลวงปู่จะเมตตาแสดงธรรมเทศนาโปรดซึ่งมักใช้ภาษาอีสาน และมีผญาภาษิตของภูมิปัญญาท้องถิ่นมาเปรียบเทียบให้ญาติโยมได้แปลความตีความ วิเคราะห์พินิจพิจารณานัยแห่งความหมายธรรมะ ซึ่งใกล้ตัวและใกล้วิถีชีวิตชองการดำรงอยู่เป็นเนื้อแนวเดียวกันกับวัฒนธรรมการผลิตของชุมชน ดังที่จะได้ยกมาเป็นตัวอย่างพอสังเขปดังนี้ หลวงปู่บุญมีได้เทศนาอบรมในวันเข้าพรรษาครั้งหนึ่งว่า
      
การปฏิบัติเหมือนการทำนา มีคราดมีไถ มีการเก็บหญ้า กว่าสิได้หว่านข้าว หว่านแล้วกว่าสิงอก มันกะขึ้นของมันเอง บ่ได้บังคับนี่ฉันใด หัวใจของคนก็คือกัน สงบราบคาบแล้วมันกะสิเกิดเอง เกิดแล้วจังค่อยพิจารณามัน พิจารณาให้มันแตก คันบ่แตกกะให้คาโตเองไปศึกษาเอาเองบ่ได้ มันเกิดของมันเอง เมื่อมันเกิดเองเฮาต้องแก้เอง ให้ตัวเองแก้เอง ถ้าแก้ถือแล้ว มันกะบ่อมีที่ไป กะเป็นสุขคือความบ่เป็นหยังเป็นทุกข์ คือบ่เกิดทุกสิ่งทุกอย่างกะไปอยู่ความสุขเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาคิดกะบ่แล้ว วิปัสสนาเป็นการขุดฮาก สมถะเป็นการชำระ ผู้หลงหรือฮู้กะอยู่โตเดียวกัน ฮู้เรื่องการปฏิบัติบ่แม่นฮู้ย่อนการศึกษา จั่งให้มีสติ ฮู้กะให้ฮู้ถึงใจฮู้ถึงตนถึงตัว การอบรมสติคันบ่ศึกษามันกะบ่แล้ว ต้องอบรมเจ้าของให้มันเป็นไปเอาเอง มันจั่งแล้ว

ถ้าเจ้าของแก้บ่ได้ผู้อื่นกะแก้บ่ตกคือกัน โอเฮาแก้โตเฮามันจั่งแก้ได้ แก้ให้มันถึงที่สุดมันกะสิแล้วนั้นแหละ มันเป็นปัจจัยตังทั้งหมด สันทิฏฐิโก เห็นด้วยตัวเอง ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ วิปัสสนาสันทิฏฐิโก นอกจากความฮู้ ความเห็นเป็นบ่ได้ ทุกข์เกิดความอยาก อยากกะอยากดี อยู่ทางโลกมีแต่ควาทุกข์กับความอยากสองอย่างนี่มันได้รับกัน ศาสนากะอาศัยมรรค อาศัยทางโลก เข้าพรรษาอยู่ในไตรมาส 3 เดือน นับตั้งแต่มื้อนี้เป็นต้นไปึงกลางเดือนสิบเอ็ดบ่จำเป็นบ่ให้นอนบ่อนอื่น บ่ให้ไปแจ้งนอกวัด สังเกตเบิ่งวัดมีฮั้วล้อมเป็นเขต ถ้ามีความจำเป็นมีพ่อมีแม่เจ็บป่วย อนุญาตให้ไปดูแลรักษาได้การอื่นไปบ่ได้ไปกะไปด้วยสัตตาหะ ได้ 6 มื้อ มื้อที่ 7 ให้มาถึงวัด

มื้อนี้คือมื้อสำคัญอีกอย่างหนึ่ง เป็นมื้อที่พระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมพระเทศนาธรรมจักรอนัตตาเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ ก่อนแสดงพระธรรมจักรกับอริยสัจ 4 ให้มีการอธิฐานตามความสามารถของเจ้าของในธุดงค์วัตร 13 ข้อ เอาข้อใดข้อหนึ่ง คันสิเอาทั้งเหมิด คือ สิบ่ได้ เฮ็ดหยังให้เฮ็ดอีหลี อย่าเฮ็ดเล่นๆ คันเฮ็ดเล่นบ่เป็นหยัง บ่มีสติสตังมันกะบ่ยากได้อีหยังเลยพากันรักษาวินัย ธุดงค์เป็นวินัย ธรรมะรักษาใจบำเพ็ญภาวนา ให้ธรรมเกิดขึ้นผู้ใดสิอธิษฐานหยังกะให้อธิษฐานเอา บิณฑบาตฉันเป็นวัตร ฉันเถื่อนเดียว ฉันบ่อนั่งเดียวห่อแนวกินใส่บาตร อย่าเอาแต่ถุงพลาสติกใส่บาตร ให้ใช้ใบตอบห่อ แม่ออกกะต้องอธิษฐานใส่บาตร หรือรักษาใจของตนให้มีสติสตังอันนี้รักษาไว้ปฏิบัติไว้เผื่อหยัง เมื่อนั่งภาวนาให้เป็นผู้มีสติ อย่าให้มันขาด ธรรมะจังสิเจริญขึ้น ชาดว่าเฮ็ดซื่อๆ บ่มีสติธรรมะมันบ่เกิดเกิดขึ้นมันเกิดแนวบ่ดีแนวดีมันบ่ได้ มันบ่เกิดให้ ถ้าสิดีได้นอกจากความมีสติ ฯลฯ
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-12 15:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่สอนให้ศึกษาจากเบื้องต่ำสุดเริ่มจาก เช่น
      
ศีล คืออะไร ทุกศาสนาก็มีศีล มีสอนอะไรเราศึกษาหมดเมื่อยังประพฤติตามที่พระองค์สอนหมดหรือยังจุดประสงค์ ที่ศึกษาเรื่องศีล สรุปศีลคืออะไร
      
สมาธิ ก็สอนทุกๆ ศาสนาผิดแตกต่างบ้างอยู่ที่วิธีการ จุดประสงค์คือการที่ต้องการให้จิตใจเป็นปกติในเมื่อมีผัสสะ อะไรเกิดขึ้น เมื่อศีลเป็นปกติ สมาธิก็จะไม่ถูกรบกวนแต่จิตเป็นสิ่งที่ชอบโลดแล่นโดดไปมาตามอายตนะกระทบผัสสะ เกิดเป็นรูปเป็นนาม ก็เกิดชอบไม่ชอบรูปนั้นขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ต้องเข้าใจว่ามันทุกข์ ทั้งสองอย่างนั่นแหละ ทั้งกุศลและอกุศล
      
สติ จึงจำเป็นต้องมีสติ พัฒนาให้มีกำลังเพียงพอที่จะไปทำหน้าที่ควบคุมจิต จิตเป็นสิ่งที่จะต้องถูกควบคุมด้วยสติ ถ้าใช้สติยึดมั่นถือมั่นดื่มด่ำลงสู่ขณิกสมาธิ-อุปจารสมาธิและเข้าสู่แดนของปฐมฌานคือ จิตเข้าสู่ความสงบยิ่งในนามอัปนาสมาธิ พักชั่วขณะหนึ่งถอนความรู้สึกมาอยู่ที่อุปจารสมาธิ เพื่อสร้างสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวให้มีควบคู่กับสติให้เป็นอันเดียวกัน

สัมปชัญญะ คือความรู้สึกตัวเกาะกุมอยู่กับสติ ที่กำลังควบคุมจิตอยู่จะต้องเลือกดูพระกรรมฐาน 40 ห้องจ่อมดวอลขยแยาฝขงาสถูกจริตแต่ละห้อง ถ้าทำถูกจริตถ้าทำปุ๊บ ก็สว่าง-สงบ-ก้าวหน้าแสดงว่าถูกจริตกับกองธรรมฐานนั้นๆ ยังมีสิ่งที่จะต้องศึกษาอีกมาก เช่น ไม่ใช่ไปอ่านเอาฟังเอา ต้องเกิดจากการปฏิบัติเอาและนี่คือหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะเป็นวิปัสสนากรรมฐาน จุดเริ่มต้นของปฐมฌาน โดยต้องศึกษาเรื่อง
      
1. ศีล สมาธิ ปัญญา

2. ศึกษาเรื่องสติปัฎฐาน 4 ให้เข้าฝึกจนมีสมรรถภาพ มีพลังของสติโดยรู้ด้วยอารมณ์ของเจตสิก ว่ามีกำลังเพิ่มขึ้นๆ เป็นสติที่จะอำนวยความสะดวกในการจะเข้าปฐมฌาน

3. ต้องศึกษาพุทธประวัติ และคำสั่งสอนให้รู้ซึ้งถึงความยากลำบากกว่าจะได้เป็นสมณโคดมพระพุทธเจ้า

4. ต้องศึกษามรรค 8
      
ทั้งหมดเป็นธรรมที่เป็นทางที่จะต้องเดินเข้าไปสู่ผลเท่านั้น ผลก็จะต้องได้จากการปฏิบัติที่จะต้องเอาชีวิตเข้าแลกเอา ท่านว่าอย่าไปเสียดายมันเลยชีวิตนั้น เดี๋ยวก็ตายทิ้งไปเปล่าๆ วางความตายเสีย อย่าไปเสียดายความมีอยู่เลย มันหลอกให้เราทุกข์ทั้งนั้น เกิดซ้ำๆ ซากๆ ไม่หยุดหย่อนให้ผ่อนคลายเลย นี่เป็นทาง (ชี้ไปที่หัวใจ) ทั้งหมดนี้เป็นการย่นย่อคำสอนให้สั้นที่สุด เพื่อให้เหมาะสมกับเวลาที่กำหนดตายตัว
      
สำหรับ ผญาปริศนาธรรมและภาษิตคำสอน ที่หลวงปู่อบรมสั่งสอนสานุศิษย์ อันเป็นเอกลักษณ์และจริตลีลาในการอบรมธรรมของหลวงปู่ เป็นต้นว่า
      
หลงมันใหญ่ที่สุด
      
ทุกสิ่งทุกอย่างอาศัยสติทั้งหมด
      
อีลุมปุมเป้า สามเปาเก้าขอด สุดยอดพระคาถา บารมีงุมไว้ แก้บ่ได้ เมื่อบ้านอ่านสาร
      
กกอีตู่เตี้ยต้นต่ำใบดก ฮากบ่ทันฝังแน่น ซ่างมาจีจูมดอก ฮากบ่ทันหยั่งพื้น ซ่างมาปี้นป่งใบ
      
อัศจรรย์ใจกุ้งพุงบ่มีซ่างมาเลี้ยงลูกใหญ่ ไส้บ่มีอยู่ท้องซ่างมาได้ใหญ่มา
      
แก้บ่ขัดสามปีเป็นหินแฮ่ พี่น้องบ่อแหว่สามปีไปเป็นอื่น
      
ชีวิตน้อยหนักหนา พึงฮู้ว่าลมหายใจ ชีวิตยังเป็นไป ลมหายใจชีพจร
      
แม่น้ำท่อฮอยวัว บ่มีผู้ใด เฮ็ดขัวข้ามได้ เว้นไว้แต่ผู้ฮู้เหตุผล
      
ผักหมเหี่ยนริมทางอย่างสิฟ้าวเหยียบย่ำ บัดมันทอดยอดขึ้นยังสิได้ก่ายเดิน
      
กินมำๆ บ่คลำเบิ่งท้อง
      
สี่คนหาม สามคนแห่ คนหนึ่งนั่งแคร่ สองคนพาไป
      
ดีหรือชั่วเป็นของประจำตัว
      
เป็นใหญ่แล้ว เป็นน้อยบ่อเป็น
      
สุกณา เป็นเสียงฮ้อง ปฐพี เป็นหม่องเล่น แม่นทีเป็นหม่องอยู่
      
ขวาแข็งแรงกว่า ขวาแข็งแรงที่สุด ปทักขิณา ปทักขิ
      
มีตาให้ดู มีหูให้ฟัง
      
ฟานกินหมากข้ามป้อม ซ่างมาคาคอมั่ง มั่งบ่ขี่สามมื้อกระต่ายตาย กระต่ายตายแล้วเห็นอ้มผัดเน่านำ
      
เกิดมาหยังเกิดมาเพื่อสร้างบุญญาบารมีหนีให้พ้นทุกข์
      
การปฏิบัติให้มันฮู้ จั่งแบ่งเวลา ให้มันมี เช้า-สาย-บ่าย-เย็น ให้มันมีกิน มีนอน มีเฮ็ด มีทำ เฮ็ดกินส่วนตัวแล้วกะมาเฮ็ดกินส่วนรวม
      
ใจประสงค์สร้างกลางดงกะว่าท่ง ใจขี้คร้านกลางบ้านกะว่าดง
      
มุดน้ำอย่าสิเฮ็ดก้นฟู จกฮูอย่าสิเฮ็ดแขนซั่น
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-12 15:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล


หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-12 15:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ ปัจฉิมบท
      
หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร เป็นพระสุปฏิปันโน บุตรของกองทัพธรรมพระอาจารย์ใหญ่ หลวงปู่เสาร์ กนุตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต สานุศิษย์คาดว่าหลวงปู่มหาบุญมีไม่ได้พบหรือได้ฟังธรรมภายนอกจากพระอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต โดยตรง แต่การเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ของหลวงปู่มหาบุญมี อยู่สำนักเดียวกับหลวงปู่เสาร์ กนุตสีโล คือวัดเลียบ และไปพำนักอยู่วัดบูรพา สำนักเก่าแก่ดั้งเดิมของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต นั่นเอง ด้วยบริบทและสภาวะธรรมของของสำนักวัดเลียบ วัดบูรพา และทราบประวัติของพระอาจารย์ใหญ่บูรพาจารย์ทั้งสองขณะที่ศึกษาปริยัติอยู่วัดนี้ ซึ่งเป็นแบบอย่างของการแสวงหาโมกขธรรม เกิดแรงบันดาลใจและมองเห็นลู่ทางธรรมที่เหนือกว่าการศึกษาพระปริยัติธรรม จึงเป็นสิ่งที่หลวงปู่ฝังใจตลอดเวลา

เมื่อไปศึกษาพระปริยัติธรรมที่เมืองกรุงที่วัดปทุมวนาราม ก็ได้รับทราบเรื่องราวที่บูรพาจารย์และพระป่ามาพำนักที่นี่ หลวงปู่จึงทิ้งป่าคอนกรีตออกปฏิบัติธรรมอย่างอุกกฤษ ตามรอยพระพุทธองค์และบูรพาจารย์ทั้งสอง โดยมีสหธรรมมิกที่เคยปรนนิบัติและรับใช้บูรพาจารย์ที่ธุดงค์ร่วมกัน ถ่ายทอดคำสั่งสอนมรรควิธีของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่จึงถือว่าบูรพาจารย์ทั้งสองเป็นพระอาจารย์ และมีความสนิทคุ้นเคยกับกลุ่มกองทัพธรรมสายนี้ที่สุด

ดังจะเห็นได้ว่าหลวงปู่เป็นที่เคารพนับถือของพระสุปฏิปันโน ทั้งรุ่นศิษยานุศิษย์หลวงปู่มั่น และรุ่นหลานศิษยานุศิษย์เป็นอันมาก นับตั้งแต่หลวงปู่มหาบัว ญานสมฺปนฺโน, หลวงพ่อพุธ ฐานิโย, หลวงปู่ศรี มหาวีโร,  หลวงพ่อเมือง พลวฑฺโฒ, หลวงพ่ออุ่นหล้า ฐิตธมฺโม วัดป่าแก้วชุมพล จังหวัดสกลนคร, พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก เป็นต้น ดังจะเห็นได้จากงานพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ ที่เป็นวาระการชุมนุมของคณะศิษยานุศิษย์สายหลวงปู่มั่นมากที่สุดครั้งหนึ่ง และในงานรำลึกบูชาพระเถราจารย์ศิษย์หลวงปู่มั่น ณ วัดโพธิสมภรณ์  อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ประวัติและรูปของหลวงปู่ก็ได้รับการเผยแพร่ในงานนิทรรศการครั้งนี้ด้วย
      
ครั้นต่อมา หลวงปู่เริ่มอาพาธหนักในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2532 ในระหว่างที่พักจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าศรีโพธิ์ทอง อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด สาเหตุเกิดจากการหกล้มในขณะเดินเข้าห้องน้ำแล้วเกิดอาการเข่าอ่อน หลังจากนั้นท่านเกิดอาพาธเดินไม่ได้ คณะศิษย์จึงได้พยายามช่วยกันรักษาพยาบาลอาการอาพาธของท่าน ทั้งด้วยยาแผนโบราณและยาแผนปัจจุบัน แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น ในที่สุดผู้ใหญ่สัญชัย และกำนันเซ็ง จึงได้นิมนต์ท่านไปรักษายาแผนโบราณ ที่อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ โดยพักจำพรรษาที่วัดป่าเกาะแก้วประเสริฐ์ พร้อมกับไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ ด้วยในบางโอกาส จนอาการดีขึ้น
      
ภายหลังจากนั้น คณะศิษย์จากจังหวัดมหาสารคามได้พากันไปอาราธนาท่านให้มาพักจำพรรษาที่วัดป่าวังเลิง และท่านก็ได้มาพักจำพรรษาที่วัดป่าวังเลิง เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2533 ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. 2534 หลวงปู่ก็ได้เกิดอาพาธอีกครั้งหนึ่ง คณะศิษย์จึงได้นำตัวท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น และตั้งแต่นั้นมาอาการอาพาธของหลวงปู่ก็มีแต่ทรงกับทรุดมาตลอด ตามลำดับดังนี้
      
เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ครั้งที่ 1 วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2534
ออกจากโรงพยาบาล เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2534
      
เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ครั้งที่ 2 วันพุทธที่ 25 ธันวาคม 2534
ออกจากโรงพยาบาล เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2535
      
เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ครั้งที่ 3 วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2535 และในเช้าวันที่ 28 มีนาคม 2535 ท่านก็ได้อนุญาตให้นายแพทย์วันชัย วัฒนศัพท์ เพื่อทำการผ่าตัดใส่สายยางทางหลอดลม เข้า โอ อาร์ เวลา 16.15 น. ออกเกือบจะเวลา 17.00 น. และฟื้นเวลาประมาณ 20.00 น. หลังจากนั้นอาการอาพาธของหลวงปู่ ก็ทรุดหนักมาเรื่อยๆ จนเป็นที่หนักใจของคณะแพทย์และคณะศิษยานุศิษย์ผู้เฝ้ารักษาพยาบาลเป็นอย่างมาก จนในที่สุดหลวงปู่ก็ละสังขารไปด้วยอาการอันสงบ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2535 เวลา 10.10 น. ซึ่งตรงกับวันจันทร์ แรม 3 ค่ำ เดือน 5 ปีวอก สิริรวมอายุหลวงปู่ได้ 81 ปี 6 เดือน 6 วัน พรรษา 60
      
เหลือเพียงภาพลักษณ์แห่งความเป็นพระภิกษุที่เยือกเย็น เบิกบาน เมตตาหาที่ประมาณมิได้ สันโดษ เรียบง่าย และแบบอย่างแห่งมรรควิธีไปสู่ความหลุดพ้น ที่พุทธศาสนิกชนจะต้องปฏิบัติตาม ขออำนาจบารมีธรรมของหลวงปู่ที่ได้ประพฤติปฏิบัติมา จงแผ่เมตตาบารมีให้พุทธบริษัทได้เกิดธรรมจักษุ พบแก่นพุทธธรรมเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของสรรพสัตว์ทั้งพิภพด้วยเทอญ

8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-12 15:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

หลวงปู่มหาบัว ญานสมฺปนฺโน


หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หลวงปู่ศรี มหาวีโร

9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-12 15:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

หลวงพ่อเมือง พลวฑฺโฒ


หลวงพ่ออุ่นหล้า ฐิตธมฺโม


พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก



.............................................................

♥ คัดลอกเนื้อหามาจาก ::
หนังสือแก้วมณีอีสาน

http://www.manager.co.th/Dhamma/
♥ ขอกราบขอบพระคุณที่มาของรูปภาพทุกแหล่ง                                                                                        
.....................................................

ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=20929

กราบหลวงปู่ครับ....
เหรียญหลวงปู่เป็นเหรียญแรกสำหรับน้องใหม่ทุกคน
จะได้รับศิษย์ มข.รุ่นปี 2536
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้