ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
ตำนานพระเกจิอาจารย์แห่งแดนสยาม
»
พระองค์ที่ ๓ : สมเด็จพระสังฆราช (มี)
1
2
3
/ 3 หน้า
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
เจ้าของ: kit007
พระองค์ที่ ๓ : สมเด็จพระสังฆราช (มี)
[คัดลอกลิงก์]
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
21
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-6-2 23:37
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระภิกษุที่เป็นธรรมกถึกจงมีจิตปราศโลภโลกามิสให้ตั้งเมตตาศรัทธาเป็นบุรจาริก
จงสำแดงธรรมเทศนาให้พระสงฆ์สามเณรและสัปบุรุษ
ฟังอันควรแก่ราตรีวันนั้นทุกอาราม
ให้กระตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมานี้เสมอไปทุกปีอย่าให้ขาด
ถ้าฆราวาสและพระสงฆ์สามเณรรูปใดเป็นพวกทุจริตจิตคะนองหยาบช้า
หามีศรัทธาไม่กระทำความอันมิชอบ
ให้เป็นอันตรายแก่ผู้กระทำวิสาขบูชาในวันนักขัตฤกษ์นั้น
ให้ร้องแขวงนายบ้านนายอำเภอกำชับตรวจตรา
สอดแนมจับกุมเอาตัวผู้กระทำผิดให้จงได้
ถ้าจับคฤหัสถ์ได้ในกรุงฯ ให้ส่งกรมพระนครบาลนอกกรุงฯ ให้ส่งเจ้าเมืองกรมการ
ถ้าจับพระสงฆ์สามเณรได้ในกรุงฯ ส่งสมเด็จพระสังฆราช พระพนรัตน์ นอกกรุงฯ
ส่งเจ้าอธิการให้ไล่เลียงไต่ถามได้ความเห็นสัตย์ให้ลงทัณฑกรรม ตามอาญาฝ่ายพุทธจักร
และพระราชอาณาจักรจะได้หลายจำอย่าให้ทำต่อไป
และให้ประกาศป่าวร้องอาณาประชาราษฎร์
ลูกค้าวาณิชสมณชีพราหมณ์ให้จง รู้จงทั่ว
ให้กระทำดังพระราชบัญญัติดังกล่าวมานี้จงทุกประการ
ถ้าผู้ใดมิได้ฟัง จะเอาตัวผู้กระทำผิดเป็นโทษโดยโทษานุโทษฯ”
“พิธีวิสาขบูชาทำที่ในกรุงเทพฯ ในรัชกาลที่ ๒ ปรากฏว่ามีการเหล่านี้
คือนำโคมปิดกระดาษชักเสาไม้ไผ่ยอดผูกฉัตรกระดาษ
พระราชทานไปปักจุดเป็นพุทธบูชาตามพระอารามหลวงวัดละ ๔ เสาอย่าง ๑
ให้นายอำเภอกำนันป่าวร้องราษฎรให้จุดโคมตามประทีปตามบ้านเรือนเป็นพุทธบูชาอย่าง ๑
หมายแผ่พระราชกุศล แต่ข้าราชการให้ร้อยดอกไม้แขวน
เป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดารามทั้ง ๓ วันอย่าง ๑
มีดอกไม้เพลิงของหลวงตั้งจุดเป็นพุทธบูชาที่หน้าวัดพระศรีรัตนศาสดารามอย่าง ๑
นิมินต์พระสงฆ์ให้อุโบสถศีลและแสดงพระธรรมเทศนาแก่ราษฎร
ตามพระอารามหลวงฝั่งตะวันออก ๑๐ วัน ผั่งตะวันตก ๑๐ วัน
เครื่องกัณฑ์เป็นของหลวงพระราชทาน
และให้นายอำเภอกำนันร้องป่าวตักเตือนราษฎรให้ไปรักษาศีล
ฟังธรรม และห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอย่าง ๑
นำธงจระเข้ไปปักเป็นพุทธบูชา ตามพระอารามหลวงวัดละต้นอย่าง ๑
เลี้ยงพระสงฆ์ในท้องพระโรง พระราชทานสลากภัตแล้ว แล้วสดับปกรณ์พระบรมอัฐิ...”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
22
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-6-2 23:38
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ปรับปรุงการศึกษาพระปริยัติธรรม
สมเด็จพระสังฆราช (มี)
ทรงให้แก้ไขการสอบ
และวางระเบียบแบบเรียนพระปริยัติธรรมเสียใหม่เพื่อความเหมาะสม
ซึ่งในสมัยก่อเรียกว่า
“บาเรียน”
(เปรียญ)
แต่มาในครั้งนี้ปรับปรุงการเรียนพระปริยัติธรรมให้เป็นหลักสูตรเสียใหม่
ให้เรียกว่า
“ประโยค”
โดยกำหนดให้เป็นประโยค ๑ เรื่อยๆ
ไปจนถึงประโยค ๙ ซึ่งสูงสุด
ณ ที่นี้จะขอนำเอาข้อความของพระราชเวที วัดทองนพคุณ
ที่ได้อรรถาธิบายเรื่องเกี่ยวกับการศึกษาพระพุทธศาสนาในเมืองไทย
ตอนแก้ไขการสอบพระปริยัติธรรมอย่างละเอียด ดังความว่า
“...การศึกษาพระปริยัติธรรมและการสอบ
ซึ่งได้ใช้หนังสือพระไตรปิฎกเป็นแบบเรียนนั้น
ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
รัชกาลที่ ๒ แห่งบรมราชจักรีวงศ์ ในสมัยสมเด็จพระสังฆราช (มี)
เป็นสกลมหาสังฆปริณายก พระพุทธศักราช ๒๓๕๙ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้แก้ไขวิธีสอบและแบบเรียนพระปริยัติธรรมขึ้นใหม่ให้มีถึง ๙ ประโยค
โดยใช้แบบเรียนดังนี้
๑. ประโยค ๑ ประโยค ๒ ประโยค ๓ ใช้คัมภีร์ “อรรถกถาธรรมบท”
เป็นแบบเรียนและต้องสอบแปลให้ได้ในคราวเดียวทั้ง ๓ ประโยค จึงนับว่าเป็นบาเรียน
๒. ประโยค ๔ ใช้คัมภีร์ “มังคลัตถทีปนี” เบื้องต้น
ต่อมาเลยใช้ทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลายรวมเข้าไปด้วย
แต่ต่อมาภายหลังกลับมาใช้แต่เพียงเบื้องต้นแต่อย่างเดียว
๓. ประโยค ๕ ได้ยินว่า แต่เดิมใช้ “บาลีมุตตกะ”
แล้วเปลี่ยนเป็นคัมภีร์ “สารรัตถสังคหะปกรณ์ วิเสส”
ภายหลังเปลี่ยนมาใช้คัมภีร์ “บาลีมุตตกะ” อีก
ในบัดนี้ใช้หนังสือ “สมันตปสารทิกาอัฏฐกถาวินัย” ตติภาค
๔. ประโยค ๖ ใช้คัมภีร์ “มังคลัตถทีปนี” บั้นปลาย
ต่อมาในสมัยแปลใช้เขียนงดใช้ชั่วคราวหนึ่งโดยใช้ “อรรถกถาธรรมบท” ทั้ง ๘ ภาค
เป็นแบบใช้ในวิลาแปลไทยเป็นมคธ ในบัดนี้กลับใช้ในวิชาแปลมคธเป็นไทยอีก
ซ้ำเพิ่มหนังสือ “กังสาวิตรณี” แก้ปาฏิโมกข์เข้ามาอีกด้วย
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
23
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-6-2 23:38
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๕. ประโยค ๗ ใช้คัมภีร์ “ปฐมสมันตปสาทิกาอัฏฐกถาวัย”
ผู้สอบได้ประโยคนี้เป็นบาเรียนเอก “ส” คือ ชั้นเอกสามัญ
ในบัดนี้ประโยคนี้ใช้ “สมันตปสาทิกา” ทุติยภาคเพิ่มขึ้นด้วย
๖. ประโยค ๘ ใช้คัมภีร์ “วิสุทธิมัคค์ปกรณ์วิเสส”
ผู้สอบได้ประโยคนี้เป็นบาเรียนเอก “ม” คือชั้นเอกมัชฌิม
๗. ประโยค ๙ ใช้คัมภีร์ “ฎีกาสารัตถทีปนี” ต่อมาเปลี่ยนเป็น
“ฎีกาอภิธัมมัตถวิภาวินี” ผู้สอบได้ประโยคนี้ เป็นบาเรียนเอก “อ” ชั้นเอกอุดม
คำว่า “ประโยค” นั้น เข้าใจว่าเรียกตามข้อความที่
ท่านผู้ออกข้อสอบให้นักเรียนแปล กำหนดไว้เป็นตอนๆ มากบ้างน้อยบ้าง
ประโยค ๓ แต่เดิมท่านกำหนดข้อความ ๓๐ บรรทัดคือ สามใบลาน
เนื่องจากนักเรียนมากและเวลาจำกัด ต่อมาจึงลดลงเหลือเพียง ๓ ลาน คือ ๑๐ บรรทัด
เป็นกรณีพิเศษ ประโยค ๔-๕-๖-๗-๘ เดิมกำหนด ๒ ลาน เหมือนกันหมด
ต่อมาประโยค ๗ และ ๘ ท่านลดลงเหลือ ๓ หน้าลาน คือ ๑๕ บรรทัด
ส่วนประโยค ๙ คงกำหนดให้ ๑ ลาน คือ ๑๐ บรรทัดตามเดิม
ประโยคที่ท่านกำหนดนี้
นับบรรทัดตามหนังสือของที่จารในใบลานหน้าบาน ๑ จาร ๕ บรรทัด
“แต่ก่อนแม้พระรามัญที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทย ก็มีการสอบเหมือนกัน
แต่หลักสูตรการสอบบาเรียนนั้นจะกำหนดขึ้น
อนุโลมตามหลักสูตรที่เคยใช้อยู่ในรามัญประเทศแต่โบราณ
หรือมากำหนดใหม่ในเมืองไทยนี้ ข้อนี้ยังไม่ได้หลักฐานแน่นอน
หนังสือที่ใช้เป็นแบบเรียนและสอบนั้น ใช้แต่คัมภีร์พระวินัยปิฎก
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
24
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-6-2 23:39
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เพราะพระสงฆ์รามัญนั้นศึกษาถือพระวินัยเป็นสำคัญสมด้วยคำกลางที่พูดกันว่า
“มอญวินัย ไทยพระสูตร พม่าอภิธรรม” ได้ยินว่า
ทางรามัญกำหนดเพียง ๓ ประโยค
เป็นจบหลักสูตร ภายหลังเพิ่มประโยค ๔ ขึ้นอีกประโยค ๑
จึงรวมเป็น ๔ ประโยค คือ
๑. ประโยค ๑ ใช้คัมภีร์บาลีมหาวิภังค์ คือ อาทิกัมม์หรือปาจิตตีย์
เป็นบทเรียนและสอบผู้สอบได้ประโยค ๑ เข้าใจว่า แต่เดิมคงเป็นบาเรียน
ครั้งตั้งประโยค ๔ เพิ่มขึ้นจึงกำหนดว่า
ต้องสอบประโยค ๒ ได้ด้วย จึงนับว่าเป็นบาเรียน
๒. ประโยค ๒ ใช้คัมภีร์บาลีมหาวรรค หรือจุลวรรคอย่างใดอย่างหนึ่ง
ตามแต่จะเลือกนักเรียนสอบได้ประโยค จึงนับว่าเป็นบาเรียนจัตวา
เทียบบาเรียนไทย ๓ ประโยค
๓. ประโยค ๓ ใช้คัมภีร์มัตตกวินัยวิจิต ผู้สอบได้ประโยคนี้
นับเป็นบาเรียนเทียบบาเรียนไทย ๔ ประโยค
๔. ประโยค ๔ ใช้คัมภีร์ปฐมลมันปสาทิกาอัฏฐกถาวินัย
เหมือนหลักสูตรประโยค ๗ ของผู้สอบได้ประโยคนี้นับเป็นบาเรียนโท
เทียบบาเรียนไทย ๕ ประโยค
หลักสูตรและการสอบพระปริยัติธรรมฝ่ายรามัญในเมืองไทย ตามที่กล่าวมานี้
เมื่อได้เลิกจากการสอบวิธีแปลปากเปล่ามาเป็นวิธีเขียนแล้วก็เป็นอันยกเลิกไป
บัดนี้คงใช้วิธีสอบ และหลักสูตรรวมกับหลักสูตรฝ่ายไทยเราแล้ว”
“เรื่องการสอบปากเปล่า กล่าวคือการสอบไล่พระปริยัติธรรมในสมัยก่อนนั้น
มิได้กำหนดแน่นอนลงไปว่าจะสอบกันเมื่อใด บางทีก็สอบกันในพรรษา นอกพรรษา
ทั้งนี้สุดแล้วแต่ว่าคณะกรรมการจะกำหนดแล้วแจ้งไปยังอารามต่างๆ
ให้เตรียมตัวเข้าสอบและสถานที่สอบนั้น
ก็ได้กำหนดเอาที่วัดสมเด็จพระสังฆราชสถิตอยู่นั้นเป็นหลัก
และก็มีเป็นบางครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระราชศรัทธาที่จะทรงฟังการแปลด้วย
ก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เข้าไปสอบในพระราชวัง
หรือไม่บางทีก็เสด็จไปฟังที่พระอารามสถานที่สอบเลยทีเดียว”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
25
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-6-2 23:39
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“สำหรับการสอบนั้น สมเด็จพระสังฆราชจะเป็นผู้กำหนดประโยคสอบเอง
หรือบางครั้งก็มอบให้พระราชาคณะผู้ใหญ่กำหนดประโยคสอบ
โดยบรรจุข้อสอบไว้ในซองผนึกเรียบร้อยก่อนนักเรียนเข้าสอบ
เมื่อนักเรียนคนใดจะถึงเวรสอบเข้าไปจับฉลากต่อคณะกรรมการ
ผู้ใดจับประโยคข้อสอบใดได้ ก็มีเวลาเตรียมไว้ได้อยู่ในที่พัก
ผู้อื่นจะเข้าไปแนะนำไม่ได้ จนกว่าจะถึงเวลาที่กรรมการเรียกเข้าไปแปล
การแปลนั้นก็แปลรวดเดียว ถ้าเป็นนักเรียนใหม่สอบประโยคต้น
ก็ต้องสอบได้ ๓ ประโยคเลย จะสอบแต่ ๑ ประโยค หรือ ๒ ประโยคไม่ได้
ถ้าไม่ได้ ๓ ประโยคก็ถือว่าตกหมด
แต่ในรัชกาลที่ ๓ ถ้าสอบได้ ๒ ประโยคก็เป็นบาเรียนวังหน้า
ประโยคที่นักเรียนจับฉลากได้นั้นไม่เหมือนกัน คนหนึ่งได้ประโยค ๑
ฉะนั้นเมื่อผู้แปลในวันก่อนๆ มาแล้ว
ไม่มีโอกาสแนะหรือฝึกซ้อมกับผู้ที่ยังไม่ได้เข้าสอบได้เลย
เพราะไม่รู้ว่าผู้จะเข้าสอบแปลในวันต่อไปจะจับได้ประโยคอะไร
อนึ่ง การจับฉลากประโยคสอบนั้น ถือว่าเป็นการเสี่ยงทายด้วย
ถ้าจับได้ประโยคดี ก็จะเป็นสิริมงคลแก่ตนเองตลอดไป
ถ้าจับได้ประโยคไม่ดี ก็จะไม่เป็นมงคลแก่ตัวผู้จับ”
“ส่วนคณะกรรมการสอบนั้น สมเด็จพระสังฆราชจะทรงเป็นประธานทุกครั้งไป
เว้นแต่อาพาธหรือมีกิจพิธีสำคัญอย่างอื่น จึงจะมอบหมายให้พระราชาคณะที่อาวุโส
ทำหน้าที่แทน และกรรมการอื่นฝ่ายคณะสงฆ์ก็มีราว ๒๕ ถึง ๓๐ รูป
ล้วนแต่เป็นพระราชาคณะที่ชำนาญในพระไตรปิฎก
แต่ทำหน้าที่สอบเพียง ๓ หรือ ๔ รูป
นอกนั้นนิมนต์มานั่งเพื่อดูวิธีสอบแล้วจดจำนำไปสั่งสอนอบรมฝึกหัดนักเรียน
การสอบครั้งหนึ่งๆ กินเวลาราว ๒-๓ เดือน จึงจะเสร็จที่ต้องใช้เวลานานเช่นนี้
ก็เพราะนักเรียนต้องสอบด้วยปาก ต่อหน้าคณะกรรมการทีละองค์เรียงกันไปตามลำดับ
การสอบก็ไม่ขีดขั้นว่าองค์นั้นองค์นี้ จะต้องสอบเพียงเท่านั้นเท่านี้ประโยค
ถ้านักเรียนองค์ใดมีความรู้ความสามารถ
จะแปลรวดเดียวตั้งแต่ประโยค ๑ ถึงประโยค ๙ เลยก็ได้
และได้เคยมีนักเรียนที่สามารถแปลรวดเดียวได้ ๙ ประโยคมาแล้ว
แต่ถ้าแปลตกประโยคไหน ก็ถือว่าสอบได้แค่ประโยคที่แปลผ่านมาได้แล้ว
เช่น แปลได้ประโยค ๕ สมัครสอบประโยค ๖ ต่อ แต่แปลประโยค ๖ ตก
ก็ถือเอาว่าเป็นบาเรียน ๕ ประโยคในคราวนั้น”
“สมัยยังไม่มีนาฬิกาใช้ ก็ใช้เทียนจุดตั้งไว้เป็นกำหนดเวลาสอบ
เมื่อนักเรียนแปลจบเทียนยังไม่หมดก็ถือว่าสอบได้
แต่ถ้าหมดเทียนก่อนยังแปลไม่จบก็ถือว่าสอบตก
การจุดเทียนใช้นี้ไม่ได้หมายความว่าใช้แต่ละรูปแต่ใช้รวมกัน เช่น
จะมีสอบ ๓ รูป แต่รูปที่แปลได้แปลจบก่อนเทียนหมด
อีก ๒ รูปที่ยังไม่ได้เข้าแปลเข้าแปลก็ถือว่าตกด้วยต้องถวายคัมภีร์คืน
ด้วยถือว่าเป็นธรรมเนียมว่าไปไม่ไหว
และการสอบนั้นส่วนมากเริ่มแต่บ่าย ๓ โมง เลิกเองประมาณ ๑ ทุ่ม หรือ ๒ ทุ่ม
แต่วันโกน วันพระหยุด เพื่อให้ภิกษุสามเณรทำกิจพระพุทธศาสนา”
“ต่อมาถึงสมัยมีนาฬิกาใช้แล้ว จึงเอานาฬิกาเป็นเครื่องจับเวลาสอบ
คือ ๓ ประโยค ใช้เวลาสอบ ๑ ชั่วโมง สูงกว่า ๓ ประโยค ใช้เวลาสอบ ๑ ชั่วโมงครึ่ง”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
26
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-6-2 23:39
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระกรณียกิจพิเศษ
พ.ศ. ๒๓๖๐ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทววงศ์
ทรงผนวชเป็นสามเณร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
สมเด็จพระสังฆราช (มี)
เป็นพระราชอุปัธยาจารย์
สมเด็จพระญาณสังวร (สุก)
วัดราชสิทธาราม
เป็นพระอาจารย์ถวายสรณะและศีล
เมื่อทรงผนวชแล้ว เสด็จไปประทับ ณ วัดมหาธาตุ
เป็นเวลา ๑ พรรษา จึงทรงลาผนวช ๑๔ วัน
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
27
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-6-2 23:40
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระอวสานกาล
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี)
ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช อยู่เพียง ๓ ปี กับ ๑ เดือน
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๕๙ ระยะเวลาสั้นๆ ดังกล่าวนี้
ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ขึ้นหลายอย่าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์อันเป็นการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่คณะสงฆ์
ซึ่งทุกเหตุการณ์ สมเด็จพระสังฆราชพระองค์นั้นได้ทรงมีส่วนอย่างสำคัญ
ในการจัดการให้เรื่องนั้นๆ สำเร็จลุล่วง หรือผ่านพ้นไปด้วยดี
สมเด็จพระสังฆราช (มี) สิ้นพระชนม์เมื่อวันเสาร์ แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๐
ปีเถาะ เอกศก จุลศักราช ๑๑๘๑ ตรงกับวันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๓๖๒
ในรัชกาลที่ ๒ มีพระชนม์มายุได้ ๗๐ พรรษา
ถึงเดือน ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
โปรดเกล้าฯ ให้ทำเมรุผ้าขาวที่ท้องสนามหลวง
แล้วชักพระศพสมเด็จพระสังฆราช (มี) เข้าสู่เมรุ มีวารสมโภช ๓ วัน ๓ คืน
พระราชทานเพลิงเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๑
ตรงกับวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๖๒
รวบรวมและเรียบเรียงมาจาก ::
หนังสือชุดพระเกียรติคุณ สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ :
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี)
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์, สุเชาวน์ พลอยชุม เรียบเรียง, มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑.
http://www.dharma-gateway.com/
http://www.mbu.ac.th/
http://mahamakuta.inet.co.th/
กระทู้ในบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13241
............................................................................
ที่มา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=44310
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
1
2
3
/ 3 หน้า
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...