ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1715
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

เย็นด้วยธรรม (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

[คัดลอกลิงก์]


ภายในศาลาการเปรียญ วัดป่าบ้านตาด


เราต้องอาศัยธรรมเป็นเครื่องขัดเกลาเราให้เป็นคนดิบคนดี รูปร่างกลางตัวนี้เกิดมาโดยหลักธรรมชาติแห่งกรรมท่านตกแต่งให้เกิดมา คำว่า กรรม หมายถึงการกระทำ กรรมดี กรรมชั่ว คนทำดี ทำชั่ว สัตว์ทำดี ทำชั่ว เป็นกรรมขึ้นมาในทางฝ่ายดีฝ่ายชั่วเสมอกันหมด ผู้ที่ทำกรรมดีไปเกิดก็มีรูปสดสวยงดงาม มีความเสียสละ มีจิตใจอันกว้างขวาง ไปที่ไหนไม่อดอยากขาดแคลน เพราะเป็นผู้มีจิตใจอันกว้างขวาง เบิกทางก้าวเดินของตัวเองไปโดยลำดับลำดา จะเกิดแม้ในภพเป็นสัตว์ก็เป็นสัตว์ที่มีจิตใจอันกว้างขวาง มีความสุขความเจริญดีกว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่เป็นบริษัทบริวาร

ส่วนมากท่านมักจะพูดถึงว่า ผู้มีความดีงามแล้วไม่ค่อยไปเกิดเป็นสัตว์ หากมีจับพลัดจับผลูกันบ้างก็เพียงเล็กน้อย แล้วก็พลิกตัวได้กลับขึ้นมา นี้มีนิดหน่อย แต่ส่วนมากที่เป็นพื้นฐานแห่งการยอมรับกันก็คือว่า ผู้ทำความดิบความดี เช่น อย่างผู้มีการให้ทาน มีความรักใคร่ใฝ่ใจในการทำบุญให้ทาน เสียสละทั่ว ๆ ไป ทั้งสัตว์ ทั้งบุคคล ทั้งผู้มีบุญมีคุณ ทั้งบูชาคุณท่านผู้เลิศเลอ เหล่านี้กลายมาเป็นกุศลหนุนจิตใจของเรา เวลาไปเกิดก็ไปเกิดเป็นเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม แม้จะมาเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ที่มีรูปสดสวยงดงาม ไม่ขัดสนจนใจในทรัพย์สมบัติเงินทอง นี่คืออำนาจแห่งการให้ทาน มีความราบรื่นไปทุกกาลสถานที่เวล่ำเวลา ทุกกำเนิดที่เกิดในสถานที่ใด มักจะเป็นกำเนิดของผู้มีบุญกันทั้งนั้น

การรักษาศีลก็เหมือนกัน ศีลกับทานเป็นเครื่องกลมกลืนกันไป เป็นเครื่องกล่อมหรือหล่อหลอมให้บุคคลผู้มีทานมีศีลนั้น มีรูปร่างกลางตัวสดสวยงดงาม มองดูแล้วยิ้มแย้มแจ่มใส ถ้าเป็นผู้ชายก็ผู้หญิงตอม ถ้าเป็นผู้หญิงก็ผู้ชายตอม เพราะอะไรจึงตอม ผู้หญิงมีทั่วโลก ผู้ชายมีทั่วโลก ทำไมไม่ไปตอม มาหาตอมอะไรกับคนๆ นี้ หญิงคนนี้ ชายคนนี้ นี่เพราะเขามีเสน่ห์ เขามีการทำบุญให้ทาน หล่อหลอม กาย วาจา ใจของเขา ประพฤติปฏิบัติตัวด้วยคุณงามความดีตลอดไป เมื่อหล่อหลอมไปด้วยคุณงามความดีหนักเข้า ๆ ถึงกาลเวลาที่พลัดพรากจากไป ตายแล้วกลับมาเกิดในชาติใดภพใด จะเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ที่สวยงาม จิตใจมีความกว้างขวาง เฉลี่ยเผื่อแผ่ ไปที่ไหนคนรักคนชอบ เขาเคารพสักการบูชา แม้เป็นเด็กก็น่ารัก นี่คนมีศีลมีทาน

คนมีการภาวนาจิตใจมักมีความรอบคอบเป็นอย่างน้อย มีใจเฉลียวฉลาด แล้วก็มาประดับตัวเองให้ประพฤติปฏิบัติตัวด้วยกาย วาจา ใจ ด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ทำอะไรไม่ค่อยบกพร่อง เพราะปัญญาเป็นเครื่องไตร่ตรองเกิดขึ้นจากศีล และภาวนานั้นแหละ ธรรมเป็นเครื่องกล่อมสัตว์โลกให้เป็นคนดี ถ้ารูปร่างก็ให้มีรูปร่างอันดีงามทั้งหญิง ทั้งชาย การแสดงออกก็ไพเราะเพราะพริ้งด้วยเหตุด้วยผล ด้วยอรรถด้วยธรรม ไม่กระแทกแดกดันด้วยอำนาจแห่งโทสะที่หาเหตุผลไม่ได้ แล้วความรอบคอบทุกอย่างขึ้นอยู่กับเรื่องภาวนา
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-20 13:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คนมีศีลมีธรรมอยู่ในใจ มักจะใคร่ครวญพินิจพิจารณาถึงรายได้รายเสียของตน วันหนึ่ง ๆ เราได้ทำประโยชน์อะไรบ้างแก่โลก แก่ตัวของเรา ได้พินิจพิจารณาเสมอ ถ้าเป็นการทำความเสียหาย ก็พยายามดัดแปลงแก้ไขความประพฤติของตนเหล่านั้นเสีย กลายเป็นคนดี ประพฤติแต่ความดีงามขึ้นมา ไปที่ไหนคนก็รักชอบใจ เคารพบูชา ไม่เหมือนอันธพาลที่สันดานเลวร้าย ไปที่ไหนไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม หมู่เพื่อนแตกกระจัดกระจายเพราะความดีไม่มีติดตัว นี่คนมีธรรมกับคนไม่มีธรรมต่างกันอย่างนี้

วันนี้ได้พูดถึงเรื่องการให้ทาน การรักษาศีลย่อ ๆ ให้แก่พี่น้องทั้งหลายได้ยินได้ฟัง แล้วนำไปปฏิบัติ ที่สำคัญที่สุดก็คือการอบรมจิตใจให้มีความสงบเย็นนั้นแล เป็นจุดหมายแห่งพุทธศาสนา หรือเป็นแก่นแห่งพระพุทธศาสนาโดยแท้ เราจะได้ประสบพบเห็นความสำราญบานใจ ความสงบร่มเย็น ความแปลกประหลาดและอัศจรรย์ภายในจิตใจของเราผู้บำเพ็ญเสียเอง ไม่ต้องไปถามคนนั้นคนนี้ เช่นถามว่า สวรรค์อยู่ที่ไหนพรหมโลกอยู่ที่ไหน นิพพานอยู่ที่ไหนก็ตาม ย่อมจะเริ่มทราบขึ้นภายในจิตใจของผู้มีจิตตภาวนา

เวลาภาวนาเบื้องต้นก็มีแต่ความสงบภายในจิตใจ เย็นภายในจิตใจ ครั้นต่อมาก็กระจายกระแสแห่งความสว่างกระจ่างแจ้งออกไป ให้มองเห็นสิ่งภายนอกจากตัวไปโดยลำดับ กว้างขวางลึกซึ้งออกไป สุดท้ายคำว่าบาป ว่าบุญ คำว่าเปรตว่าผี คำว่าสัตว์นรกอเวจีก็ไม่พ้นที่จิตดวงนี้จะสัมผัสสัมพันธ์ และเจอจนได้ในสิ่งเหล่านั้น เพราะจิตใจมีความสว่างไสว มองเห็นได้ไกลมากทีเดียว ไม่มีขอบเขต ญาณวิถีหยั่งทราบไปถึงไหน สัตว์อยู่ที่ไหน ดีชั่วประการใดบ้างเห็นไปหมด นี่คือพระญาณหยั่งทราบของนักภาวนา มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

พระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรก ที่ทรงทราบเรื่องสัตว์ทั้งหลายได้เป็นอย่างดี ทุกเพศทุกภูมิ รองจากนั้นก็เป็นสาวกทั้งหลาย ที่มีความเชี่ยวชาญเต็มกำลังวาสนาของตน ก็ทราบได้ แล้วนำมาสั่งสอนสัตว์โลกให้ละในสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย อันเป็นแนวทางให้เป็นความชั่วช้าลามก เช่นเป็นเปรต เป็นผี ตกนรกอเวจีเป็นต้น ให้ละความชั่วช้าลามกนั้น แล้วบำเพ็ญคุณงามความดีเพื่อจะไปตามวิถีทางที่ถูกต้องดีงาม คือไปทางสวรรค์ สวรรค์ ๖ ชั้น ตั้งแต่จาตุมขึ้นไปถึงปรนิมมิตวสวัตดี สวรรค์ ๖ ชั้นนี้สำหรับคนบุญ มีกุศลศีลทานประจำใจ ตายแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนั้น ๆ ตามความสามารถวาสนาของตนที่มีมากน้อย

ถ้าวาสนาเป็นพื้นแห่งสวรรค์ก็ขึ้นสวรรค์ชั้นจาตุมนี้ก่อน จากนั้นก็ลำดับขึ้นไปถึงดาวดึงส์ จนกระทั่งถึงสวรรค์ ๖ ชั้น เพราะอำนาจวาสนาต่างกัน เลื่อนขึ้นไปเป็นชั้น ๆ และขึ้นสู่พรหมโลก ๑๖ ชั้น นี่ด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลศีลทานของเรา เราจะได้ครองสมบัติทิพย์ทั้งหลายบนสวรรค์ เราได้ยินแต่ตำรับตำราว่าท่านเป็นเทวบุตรเทดา อินทร์ พรหม อยู่สวรรค์ชั้นนั้น ๆ เราก็มีสิทธิที่จะบำเพ็ญตัวให้ไปในสถานที่เช่นนั้น ๆ ได้เหมือนกันกับคนอื่น หรือเทวดา อินทร์ พรหม ทั้งหลายอื่น ๆ นั้นแล เพราะทางสายเดินไปเพื่อความเป็นเช่นนั้น เกิดขึ้นจากการสร้างความดีของเรามากน้อย

การให้ทาน การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา การรักษาตัวด้วยความมีศีล ไม่เบียดเบียนทำลายผู้อื่นผู้ใดให้ได้รับความกระทบกระเทือนเสียหาย เป็นผู้มีปกติดีงามทางกาย วาจา ใจ ไม่กระทบคนอื่น ตัวเองก็เป็นสุข เหล่านี้แลเป็นเครื่องหนุนให้เราได้ไปเกิดสถานที่ดี คติที่เหมาะสมเป็นลำดับลำดาไป จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้อบรมจิตใจให้มีความสงบเย็นบ้างนะ วันหนึ่งๆ อย่างน้อยเวลาจะหลับจะนอน ขอให้มีการไหว้พระเสียก่อน คือเข้าห้องพระ หรือเวลาจะนอนไม่มีห้องพระก็ตาม เราจะนอนกราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ที่หมอนเรียบร้อยแล้ว ให้พากันนั่งทำความสงบใจ

ทำความสงบใจอย่างไร คือปกติใจนั้นไม่สงบ เวลาจะนอนมันก็ยังคิดยังปรุงไปตามกระแสของกิเลสที่ฉุดลากไป ให้ได้รับความกังวลวุ่นวายอยู่นั้นแล เราให้สงบอารมณ์เหล่านั้นเสีย แล้วนำอารมณ์แห่งธรรมซึ่งเป็นอารมณ์น้ำดับไฟ คือความรุ่มร้อนของกิเลสให้เย็นลงด้วยคำบริกรรม เช่นเราบริกรรมพุทโธ ๆ หรือธัมโม หรือสังโฆ บทใดก็ได้ที่เราชอบใจตามจริตนิสัยของเรา นำเข้ามาบริกรรมจิตใจของเรา นึกคำว่า พุทโธ ๆ มีสติกำกับอยู่กับคำว่า พุทโธ ๆ นั้นตลอดไป สำรวมใจไม่ให้กิเลสฉุดลากออกไปคิดในแง่ต่าง ๆ นอกจากอรรถจากธรรมที่เราบริกรรมอยู่นี้เท่านั้น เราสำรวมระวังไว้ให้ดี

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-20 13:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อเราสำรวมระวังไว้ด้วยดีโดยมีสติควบคุมอยู่เสมอแล้ว จิตใจของเราที่เคยคิดฟุ้งซ่านรำคาญนั้นจะค่อยสงบตัวเข้ามา สงบตัวเข้ามาสู่ตัวเองแล้วปรากฏเป็นความสงบผ่องใส รื่นเริงขึ้นที่ใจของเรา ด้วยธรรมซึ่งเป็นน้ำดับไฟ ที่เราบริกรรมอยู่นี้ไปเรื่อย ๆ  นี่เรียกว่าน้ำดับไฟคือคำบริกรรม ดับความคิดปรุง ความเดือดร้อนทั้งหลาย กลายเป็นใจที่สงบเย็นขึ้นมาภายในตัวของเรา นี่คือภาวนาได้ผล คนที่มีการภาวนาจิตใจสงบลงแล้ว ตื่นขึ้นมาวันหลังนี้ มีความประหวัดมีความปฏิพัทธ์ยินดีในความสงบร่มเย็นจากผลแห่งการภาวนาของตนไม่ลดละ แม้จะไปประกอบหน้าที่การงานใด ๆ ก็ตาม จิตย่อมประหวัด ๆ มาถึงการภาวนาที่ได้ผลเป็นที่พอใจอยู่โดยสม่ำเสมอ นี่คืออารมณ์ที่ถูกต้องดีงามแก่จิตใจ



ที่มา : http://www.luangta.com/thamma/thamma_ta ... 57&CatID=2                                                                                       
..........................................................................................................

ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=45724

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้