|
ประวัติท่านขุนรองปลัดชู กองอาทมาต และวัดสี่ร้อย
วัดสี่ร้อย จังหวัดอ่างทอง ในอดีตล่วงมาถึงปีพุทธศักราช ๒๓๐๓
พระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่า กำลังฉลองพระเกศธาตุ อยู่ที่เมืองย่างกุ้ง
จึงรับสั่งให้ “มังระราชบุตร” กับ “มังฆ้องนรธา” คุมทัพพล ๘,๐๐๐ คน
ลงไปตีเมืองทวายที่แข็งเมือง มังระราชบุตรตีเมืองได้แล้ว
ทราบว่ากำปั่นจากเมืองทวายหนีมาอาศัยอยู่ที่เมืองตะนาวศรี
และเมืองมะริด (ของไทย) หลายลำ จึงขอยกทัพไปตีเมืองทั้งสอง
ซึ่งอยู่ในความปกครองของกรุงศรีอยุธยา ต่ออีก
มังระราชบุตรยกทัพพล ๘,๐๐๐ ซึ่งคงตายไปบ้าง
ไปตีเมืองตะนาวศรี และเมืองมะริด (ของไทย) ได้โดยง่าย
เป็นผลให้พม่าประมาทฝีมือไทย จึงคิดจะเข้ามาตีหัวเมืองไทย
ทางฝ่ายกรุงศรีอยุธยาทราบข่าวศึกจากเมืองตะนาวศรี ก่อนที่เมืองตะนาวศรีจะแตก
จึงให้ พระยายมราช เป็นแม่ทัพคุมพล ๓,๐๐๐ คนยกไปรักษาเมืองมะริด
และให้ พระยารัตนาธิเบศร์ ซึ่งเป็นจตุสดมภ์กรมวัง
(เรียกว่าตั้งแม่ทัพแบบตั้งส่งเดช) คุมทัพพล ๒,๐๐๐ คนยกหนุนขึ้นไป
ในครั้งนั้นยังโปรดให้ ขุนรองปลัดชู กรมการเมืองวิเศษไชยชาญ
ซึ่งเป็นผู้ทรงวิทยาคมแก่กล้า ชำนาญในการรบด้วยดาบสองมือ มีลูกศิษย์มากมาย
พร้อมด้วยพรรคพวกชาววิเศษไชยชาญอีกจำนวน ๔๐๐ คน
โดยใช้ชื่อว่า “กองอาทมาต” ทุกคนที่อยู่ในกองอาทมาตเรียกว่า
จะยิงก็ไม่เข้า จะแทงก็ไม่เข้า หนังเหนียวกันทั้งกอง จนเป็นที่เลื่องลือ
ยกไปเข้าสมทบกับกองทัพของพระยารัตนาธิเบศร์ด้วย
ส่วนทัพพระยายมราชยกกองทัพไปทางด่านสิงขร ที่ประจวบคีรีขันธ์
ข้ามเขาบรรทัดไป พอพ้นแดนไทยก็ทราบว่า เมืองตะนาวศรีและเมืองมะริด
เสียแก่พม่าแล้ว จึงยั้งทัพอยู่ที่แก่งตุ่มปลายน้ำตะนาวศรี หวังรอคำสั่งต่อไป
ครั้นเมื่อกองทัพพม่ารู้ว่า ทัพไทยตั้งอยู่ที่ปลายน้ำตะนาวศรี
มังระราชบุตรจึงให้มังฆ้องนรธา ยกมาตีกองทัพพระยายมราชแตกพ่ายไป
(พระยายมราช เดิมคือ พระยาราชครองเมือง ไร้ฝีมือในการรบ)
ขณะนั้นทัพของพระยารัตนาธิเบศร์ตั้งอยู่ที่เมืองกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
จึงได้สั่งให้กองอาทมาตของขุนรองปลัดชู คุมขึ้นไปตั้งสกัดกองทัพพม่า
อยู่ที่อ่าวหว้าขาว ตั้งอยู่เหนือที่ว่าการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบันนี้
พอพม่ายกทัพผ่านมาแต่เช้าตรู่ ขุนรองปลัดชูจึงคุมกองอาทมาต
ออกโจมตีพม่าข้าศึก รบด้วยอาวุธสั้นถึงตะลุมบอน
ถึงแม้ทหารของไทยจะน้อยกว่า แต่ก็ไล่ฆ่าฟันพม่าล้มตายเป็นอันมาก
การต่อสู้ผ่านไป ๑ คืนถึงเที่ยงวันรุ่งขึ้น ก็ยังไม่สามารถเอาชนะพม่าได้
เพราะพม่ายกทัพหนุนเข้ามาช่วยอีก ด้วยกำลังที่น้อยกว่าจึงเหนื่อยอ่อนแรง
สิ้นกำลังลง ในที่สุดก็ถูกพม่ารุกไล่โจมตีแตกพ่ายยับเยิน
ฝ่ายพระยารัตนาธิเบศร์พอทราบว่า กองทัพพระยายมราชแตกถอยลงมาแล้ว
ก็ให้เกณฑ์พลอีก ๕๐๐ คน ให้ยกไปหนุนกองอาทมาตของขุนรองปลัดชู
ที่มีพลยกไปเพียง ๔๐๐ คน แต่กองหนุนก็ยกทัพไปช่วยไม่ทัน
เพราะขุนรองปลัดชูและกองอาทมาตนั้นรบมาตั้งแต่เช้าตรู่จนยันเที่ยง
แม้ทหารกองอาทมาตจะมีวิชาอาคมแก่กล้า ฟันแทงไม่เข้า หนังเหนียว
แต่ทหารพม่าก็ใช้วิธีทุบตีและไสช้างเข้าเหยียบย่ำทหารกองอาทมาตให้ตาย
ที่ไม่ตายด้วยการถูกทุบตีหรือช้างเหยียบ ก็ถูกไล่ลงน้ำทะเลจนจมน้ำตายหมด
ในที่สุด ขุนรองปลัดชู พร้อมด้วยทหารกองอาทมาตอีกจำนวน ๔๐๐ คน
ก็เสียชีวิตลงด้วยฝีมือของทัพพม่าหมดทั้งกอง
พระยารัตนาธิเบศร์นั้น พอทราบข่าวว่า ทหาร “กองอาทมาต” แตกพ่าย
ก็ถอยหนีกลับไปยังเมืองเพชรบุรี กองทัพพม่าก็ตีตามไล่เข้ามา
ฝ่าย พระเจ้าอลองพญา ที่มาตรวจตราดูเมืองตะนาวศรีที่ตีได้
พอทราบข่าวว่าได้ชัยชนะอย่างง่ายดายเช่นนั้น จึงคิดมาตีกรุงศรีอยุธยาทันที
แต่การรบในครั้งนี้ พระเจ้าอลองพญา (น่าจะไม่ใช่ทหารปืนใหญ่)
ตอนมาล้อมกรุงศรีอยุธยา ทรงบัญชาการยิงปืนใหญ่ด้วยพระองค์เอง
จะเอาระยะไกลเข้าว่า จึงบรรจุดินปืนมากจนลำกล้องระเบิด
และการระเบิดของลำกล้องปืน เป็นผลให้พระเจ้าอลองพญาบาดเจ็บสาหัส
จึงยกทัพกลับไปทางเมืองตาก หมายจะพ้นแดนไทยทางด่านแม่ละเมา
แต่ยังไม่พ้นแดนไทย ก็สิ้นพระชนม์ในป่า ซึ่งสถานที่แห่งนี้ในปัจจุบัน
ก็คือ อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช จังหวัดตาก
|
|