ไมเคิล อริส และ อองซานซูจี
พ.ศ. 2516 - 2520 อองซานซูจี และสามีย้ายกลับมาพำนักที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ อริสได้งานสอนวิชาหิมาลัยและทิเบตศึกษา ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ส่วน ซูจี ให้กำเนิดบุตรชายคนแรก "อเล็กซานเดอร์" ในปี พ.ศ. 2516 และบุตรชายคนเล็ก "คิม" ในปี พ.ศ. 2520 ในช่วงเวลานี้ ซูจี เริ่มทำงานเขียนและงานวิจัยเกี่ยวกับชีวประวัติของบิดาและยังช่วยงานวิจัยด้านหิมาลัยศึกษาของสามีด้วย
พ.ศ. 2528 - 2529 อองซานซูจี ได้รับทุนวิจัยจากศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ให้ไปทำวิจัยเกี่ยวกับบทบาทของนายพลอู ออง ซาน ที่ประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ไมเคิล อริสได้รับทุนให้ไปทำวิจัยที่ Indian Institute of Advanced Studies ที่เมืองซิมลา ทางภาคตะวันออกของอินเดีย ต่อมา ซูจี ได้รับทุนให้ไปทำวิจัยที่ Indian Institute of Advanced Studies เช่นกัน
พ.ศ. 2530 อองซานซูจี และสามีพาครอบครัวย้ายกลับมาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เธอเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกที่ London School of Oriental and African Studies ณ กรุงลอนดอน โดยทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับวรรณคดีพม่า
เดือนมีนาคม พ.ศ. 2531 อองซานซูจี ในวัย 43 ปี เดินทางกลับบ้านเกิดที่กรุงย่างกุ้ง เพื่อมาพยาบาล ดอว์ขิ่นจี มารดาที่กำลังป่วยหนัก ในขณะนั้นเป็นช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและมีความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศพม่า ประชาชนจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาชุมนุมเคลื่อนไหวกดดันให้นายพลเนวินที่ยึดอำนาจการปกครองมายาวนานถึง 26 ปี ต้องลาออกจากตำแหน่งประธานพรรคโครงการสังคมนิยมพม่า (The Burma Socialist Programme Party-BSPP)
วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 นายพลเนวินลาออกจากตำแหน่ง จนตามมาด้วยการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษาและประชาชนหลายแสนคนในกรุงย่างกุ้ง เมืองหลวงของพม่า ก่อนที่การชุมนุมจะแพร่ลามไปทั่วประเทศ
วันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ผู้นำทหารได้สั่งการให้ใช้กำลังอาวุธสลายการชุมนุมของประชาชนนับล้านคนที่รวมตัวกันเรียกร้องประชาธิปไตยในกรุงย่างกุ้งและเมืองต่างๆ ทั่วประเทศพม่า ทำให้ผู้ร่วมชุมนุมหลายพันคนเสียชีวิต ทั่วโลกรู้จักเหตุการณ์ดังกล่าวในนาม "เหตุการณ์วันที่ 8 เดือน 8 ปี 88 (ค.ศ. 1988)"
วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2531 อองซานซูจี เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองเป็นครั้งแรก โดยส่งจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลเรียกร้องให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อเตรียมการเลือกตั้งทั่วไป
วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2531 อองซานซูจี ขึ้นกล่าวปราศรัยเป็นครั้งแรกต่อหน้าฝูงชนประมาณ 500,000 คนที่มาชุมนุมกัน ณ มหาเจดีย์ชเวดากอง เธอเรียกร้องให้มีรัฐบาลประชาธิปไตย แต่ผู้นำทหารกลับจัดตั้ง "สภาฟื้นฟูกฎระเบียบแห่งรัฐ" หรือ สลอร์ค (The State Law and Order Restoration Council : SLORC) ขึ้นแทน รวมทั้งได้ทำการปราบปรามสังหารและจับกุมผู้ต่อต้านอีกหลายร้อยคน
วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2531 อองซานซูจี ได้ร่วมจัดตั้ง "พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย" หรือเอ็นแอลดี (National League for Democracy: NLD) ขึ้นมา และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค
วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2531 มารดาของ อองซานซูจี คือ ดอว์ขิ่นจี เสียชีวิต
วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 รัฐบาลทหารพม่าใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกสั่งกักบริเวณ ออง ซาน ซูจี ให้อยู่แต่ในบ้านพักเป็นครั้งแรก เป็นเวลา 3 ปี โดยไม่มีข้อหา และได้จับกุมสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีจำนวนมากไปคุมขังไว้ที่เรือนจำอินเส่ง ซูจี อดอาหารเพื่อประท้วงและเรียกร้องให้นำเธอไปขังรวมกับสมาชิกพรรคคนอื่นๆ ต่อมาเธอยุติการอดอาหารประท้วงเมื่อรัฐบาลเผด็จการทหารให้สัญญาว่าจะปฏิบัติต่อสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีซึ่งถูกคุมขังไว้ในเรือนจำเป็นอย่างดี
วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 แม้ว่า อองซานซูจี ยังคงถูกกักบริเวณอยู่ แต่พรรคเอ็นแอลดีของเธอกลับได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งทั่วไป รัฐบาลเผด็จการทหารพม่าในนามของสลอร์คปฏิเสธที่จะถ่ายโอนอำนาจให้แก่ผู้ชนะการเลือกตั้ง ทว่าได้ยื่นข้อเสนอให้ ซูจี ยุติบทบาททางการเมืองด้วยการเดินทางออกนอกประเทศเพื่อไปใช้ชีวิตกับครอบครัวที่ประเทศอังกฤษ เธอปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว รัฐบาลทหารจึงมีคำสั่งยืดเวลาการกักบริเวณ อองซานซูจี จาก 3 ปี เป็น 5 ปี และเพิ่มเป็น 6 ปีในเวลาต่อมา
วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2534 คณะกรรมการรางวัลโนเบลแห่งประเทศนอร์เวย์ประกาศให้ อองซานซูจี เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ แต่เธอไม่มีโอกาสเดินทางไปรับรางวัลด้วยตัวเอง ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน อเล็กซานเดอร์และคิมเดินทางไปรับรางวัลแทนมารดาที่กรุงออสโล อเล็กซานเดอร์กล่าวกับคณะกรรมการและผู้มาร่วมเป็นเกียรติในพิธีว่า "ผมรู้ว่าถ้าแม่มีอิสรภาพและอยู่ที่นี่ในวันนี้ แม่จะขอบคุณพวกคุณพร้อมกับขอร้องให้พวกคุณร่วมกันสวดมนต์ให้ทั้งผู้กดขี่และผู้ถูกกดขี่โยนอาวุธทิ้ง และหันมาร่วมกันสร้างชาติด้วยความเมตตากรุณาและจิตวิญญาณแห่งสันติ"
วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 อองซานซูจี ได้รับอิสรภาพจากการถูกกักบริเวณครั้งแรก แต่เธอไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างอิสระ เพราะถูกห้ามไม่ให้ปราศรัยต่อหน้าฝูงชน และเมื่อเธอพยายามเดินทางออกจากบ้านพักเพื่อไปพบปะฝูงชน เจ้าหน้าที่รัฐจะติดตามไปทุกแห่งหนพร้อมกับจัดตั้งฝูงชนอีกกลุ่มหนึ่งมาพยายามทำร้ายเธอและเพื่อนร่วมคณะ ซูจี จึงดำเนินการต่อสู้ด้วยแนวทางสันติวิธี ผ่านการใช้วิธีเขียนจดหมาย เขียนหนังสือ บันทึกวิดีโอเทป เพื่อส่งผ่านข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลทหารพม่าของเธอออกมาสู่ประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง
เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2541 อองซานซูจี นั่งประท้วงอยู่ในรถยนต์ของเธอเป็นเวลาห้าวัน หลังจากถูกตำรวจสกัดขัดขวางไม่ให้รถยนต์คันดังกล่าวเดินทางออกจากกรุงย่างกุ้งเพื่อไปพบปะกับบรรดาสมาชิกพรรคเอ็นแอลดี
เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2541 อองซานซูจี ถูกสกัดกั้นไม่ให้เดินทางไปพบปะกับบรรดาสมาชิกพรรคของเธออีกครั้งหนึ่ง เธอใช้ความสงบเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเวลาหกวัน กระทั่งเสบียงอาหารที่เตรียมไปหมด จากนั้น ซูจี ถูกบังคับให้กลับไปยังบ้านพักในย่างกุ้ง
|